"Rate Cut Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1495/1501 จุด รับ 1478/1472 จุด ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯฟื้น +0.47% ตอบรับกำไรกลุ่มธนาคาร และกลุ่มบริการที่ดี บ่งชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯยังขยายตัว ขณะที่เงินเฟ้อชะลอลงต่อเนื่อง เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง วันนี้ตลาดจะรอประเมินรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือน ก.ย. 24 ตลาดคาด 0.3%m-m vs เดือนก่อน 0.1%m-m ส่วนเอเชียวันนี้ ติดตามการหารือระหว่าง รมว.อสังหาและ PBOC อาจมีการเน้นย้ำแนวทางมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ขณะที่ภายในภาวการณ์ลงทุนเป็นบวก หลัง กนง.สร้าง Surprise ลดดอกเบี้ยวานนี้ เป็นสัญญาณนโยบายการเงิน+การคลังสอดประสานอย่างที่ตลาดคาดหวัง ซึ่งสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้ Equity Risk Premium เพิ่มสู่ 3.7% vs Avg +1 S.D. ที่ 4% +/ - หนุน SET อิงวงจรดอกเบี้ยลง 3 ครั้งหลังสุดของไทย SET จะขึ้นเฉลี่ย 0.8%, 1.7%, 3.9% และ 14.9% ภายใน 1,3,6 และ 12 เดือน หนุน SET ขึ้นต่อ กลุ่มเด่นวันนี้ คือ หุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยปรับลง (โรงไฟฟ้า Consumer Finance อสังหาฯ หนี้สูง High Yield) กลุ่มอิงเศรษฐกิจภายใน(ค้าปลีก ท่องเที่ยว) วันนี้แนะ GULF, GPSC, CPALL
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1495/1501 จุด รับ 1478/1472 จุด
What happened around the world ?
(+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกปรับขึ้นอีกครั้ง Dow jones +0.79%d-d , S&P500 +0..47%, Nasdaq +0.28%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ที่ปรับขึ้นนำโดย กลุ่ม Utilities, Financials, Real estate, Materials ฯลฯ Sector ปรับลงคือ ICT, Consumer staples ฯลฯ หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ Coinbase +7.2% หนุนจากราคา Crypto currency หลายสกุลปรับขึ้นในทางเดียวกัน, NVDIA +3.13% rebound หลังจากปรับลงแรงจากวันก่อนตาม ASML รายงานผลประกอบการต่ำคาด ,หุ้นสายการบิน United airline +10% รับงบ 3Q24ดีกว่าคาด ฯลฯ
(*) US Econ : 1.) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะ 30 ปี(Mortgage Rate) จากสมาคม MBA สัปดาห์ล่าสุด เร่งขึ้น 2 สัปดาห์มาอยู่ที่ 6.52% prev.6.36% 2.)ปริมาณการยื่นขอสินเชื่อที่อยุ่อาศัย(Mortgage Application) ลดลง 4 สัปดาห์ติด ล่าสุด -17%w-w prev. -5.1% สะท้อนความต้องการอสังหาริมทรัพย์ชะลอลง หนุนทิศทางเงินเฟ้อในหมวด Shelter มีโอกาสชะลอลงในทางเดียวกัน
(*/+) Hong kong Stimulus : ฮ่องกงเตรียมผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยและปรับลดภาษีสุรา เพื่อสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นฮ่องกง KSS ยังคงให้น้ำหนักการลงทุน Overweight โดยประเมินแนวต้าน 22700/24,000 จุด
(*/+) China Stimulus 1.) Bloomberg รายงานกลุ่มธนาคารพาณิชย์รายใหญ่ของจีน ICBC , CCB เตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากบางประเภทคาดว่าจะเริ่มภายในสัปดาห์นี้ 2.)วันนี้ติดตามการหารือกันระหว่าง รมว. กระทรวงเกี่ยวข้องกับภาคอสังหา+ที่อยู่อาศัยกับธนาคารกลางจีน (PBOC) ในการหารือการออกมาตรการกกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ 3.)ตลาดรอ การประชุมสมาชิกสภาประชาชน (NPC)ช่วงปลายเดือน ต.ค. คาดรอมาตรการพันธบัตรรัฐบาลพิเศษมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านหยวนภายในสิ้นปี 2567 โดยรวมมองตลาดมีความคาดหวังเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีน และบวกต่อหุ้น China Play นำโดย IVL , SCGP ,PTTGC ,HANA ,AOT
(*/+) Philippine Rate cut ธนาคารกลางฟิลิปปินส์(BSP) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 6.0% เป็นการลดอัตราดอกเบี้ยเติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 มองเป็นการตอกย้ำวงจรดอกเบี้ยโลกและอัตราดอกเบี้ยในอาเซียนเข้าสู่ขาลงในทางเดียวกัน
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 17 ต.ค. ติดตามดัชนีค้าปลีก ก.ย. คาด +0.2%m-m ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด -0.1%m-m 18 ต.ค. ติดตามยอดขอสร้างบ้านใหม่ ก.ย. คาด 1.35 ล้านหลัง ฝั่งจีน 18 ต.ค. ติดตามรายงาน GDP ไตรมาส 3 จีน คาด 4.6% ฝั่งยุโรป 17 ต.ค. ติดตามการประชุม ECB คาดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ระดับ 3.4% และเงินเฟ้อ CPI ก.ย. 24 คาดเงินเฟ้อทั่วไป +1.8%y-y vs prev. +2.2%y-y
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐทิศทางระยะสั้น อายุ 2 ปี แกว่งตัวออกข้าง - อยู่ที่ 3.94% สวนทางอายุ 10 ปีทรงตัว อยู่ที่ 4.01%(US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อ 103.3 จุด ตลาดคาดจากการเก็ง Candidate ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัล ทรัมป์ (นโยบายเน้นคือ American First) มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสหรัฐในรอบนี้ โดยให้โอกาสชนะมากกว่า Kamal Harris โดยรวมเป็นปัจจัยกดดันต่อค่าเงินสกุลเอเชียมีแนวโน้มอ่อนค่าในทางเดียวกัน และเป็นจิตวิทยาลบต่อ Fund Flow ชะลอการไหลเข้าระยะสั้น
•(*/-)Oil : ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกระยะสั้นป็นขาลง ล่าสุด แกว่งตัวบริเวณจุดต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ อิง น้ำมันดิบ Brent -0.4%d-d ปิดที่ US$ 74.2/barrel น้ำมันดิบ West Texas -0.27%d-d ปิดที่ US$ 70.4/barrel ปัจจัยที่คาดจะมีผลต่อราคาน้ำมันดิบระยะสั้น คือ สงครามในตะวันออกกลาง ล่าสุด CNN รายงาน เจ้าหน้าที่สหรัฐคาดอิสราเอลจะโจมตีอิหร่านก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ หากเกิดขึ้นจริงมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อราคาน้ำมันดิบคาดจะกลับมาเร่งขึ้นอีกครั้ง
What happened in Thailand ?
(+) SET : SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเด่น +19.98 จุด หรือ +1.36% ปิดที่ 1485.01 จุด หนุนจากผลประชุม กนง. ที่ Surprise ตลาด ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps ลงมาที่ 2.25% กลุ่มหนุน คือ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, TRUE, INTUCH) การปรับลดดอกเบี้ยบวกต่อ ADVANC, INTUCH ในฐานะหุ้น High Yield ส่วน TRUE หนุนที่มีสถานะเป็นหุ้นหนี้สูง กลุ่มอสังหา (AWC, AP, SIRI) จิตวิทยาบวก กนง. ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL) มีผลกระทบระยะสั้นจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย แต่เชิงกลยุทธ์มองน่ารอตั้งรับ จากภาพบวกเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว จะหนุนการขยายตัวสินเชื่อ, ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง และคุณภาพหนี้ กลุ่ม ร.พ. (BDMS, BCH) หุ้น Defensive ถูกลดสถานะ หลังตลาดกลับมาปรับตัวขึ้นเด่นจากอานิสงส์การลดดอกเบี้ย
(+) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -43.3 ล้านเหรียญฯ ซื้อหุ้น +126.7 ล้านเหรียญฯ TFEX Net long 1,900 สัญญา เป็นการ long ถึง 8 จาก 9 วันทำการล่าสุด เงินบาทแข็งค่าสู่ 33.2 +/- บาท
(+) Vayupak: กระแสเงินกองทุนวายุภักษ์ (VAYU1) เป็นภาพไหลเข้าต่อเนื่อง บ่งชี้นักลงทุนสถาบันซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องนับจาก 1 ต.ค. ที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ใหม่เริ่มเข้าลงทุนในตลาด เราพบว่า นักลงทุนสถาบันในช่วง 11 วันทำการที่ผ่านมา ซื้อหุ้นไทยมีนัยฯ ที่ 25.9 พันล้านบาท vs ก.ย. และ 9M24 ที่ขายสุทธิ -1.7 พันล้านบาท และ 2.3 พันล้านบาท ภาพดังกล่าวเริ่มสอดคล้องกับในอดีตช่วงที่ Vayupak เริ่มเข้ามาในตลาดหุ้น คือ 1 ธ.ค. 2003 Vayupak 1 เริ่มซื้อขาย SET Index นับจาก 1 ธ.ค. – จุด Peak (12 ม.ค.2004) หรือปรับขึ้นรวม 153 จุด +23% โดยกลุ่มนักลงทุนที่เป็นฝั่งหนุนให้ SET Index เส้นเหลือง ปรับขึ้นในรอบนั้น คือ ภายในประเทศ(นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิรวม 9.44 พันล้านบาท , นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิรวม 2.37 พันล้านบาท) โดยรวมหนุน KSS ประเมินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด (PER2024 17.1X EPS24 ที่ 90.0 ) แรงหนุนมาจากการเมืองภายในชัดหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2024 โต 2.4% และปี 2025 คาดโต 2.8-3.0% และ Key สำคัญคือปัจจุบันเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มเข้าตลาดวานนี้ ทำให้ประเมินในรอบนี้จะคล้ายกับในอดีตปี 2003 -2004 คือ กลุ่มนักลงทุนภายในประเทศ จะเป็นกลุ่มหลักที่จะหนุนหุ้นไทย นักลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นวางกลยุทธ์สะสมหุ้น Top Picks งวด 4Q24 ของเราใน 3 ธีมหลัก คือ
1.) Rate Cut Cycle Plays : GULF, GPSC, MTC
2.) New Government Policy Support : CPALL, BJC
3.) The Return of Domestic Long-term Funds (Vayupak+ThaiESG) : BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
(+) MPC Meeting: ผลการประชุม กนง.
มีมติ 5:2 ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps เหลือ 2.25% จากเดิม 2.5%
มองเศรษฐกิจมองใกล้เคียงเดิม GDP ปี 24-25 อยู่ที่ 2.7% และ 2.9% โดยปี 2024 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากฝั่งส่งออก แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากนี้ กนง. มองบวกที่แรงขับเคลื่อนกระจายมากขึ้น ได้แก่ การบริโภค, การบริโภค+ลงทุนภาครัฐฯ และท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออก
เงินเฟ้อ คาดปี 2024-25 มองใกล้เคียงเดิมที่ 0.5% และ 1.2% โดยคาดเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายช่วงปลายปีนี้
เรามองบวกต่อมติ กนง. ดังกล่าว ด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้ 1.)สัญญาณนโยบายการเงินการคลังสอดประสาน อย่างที่ตลาดคาดหวัง สร้างสัญญาณบวกต่อการกลับมาขยายตัวเศรษฐกิจ 2.)การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เรามองมีส่วนช่วยทั้งฝั่งเศรษฐกิจ ลดภาระดอกเบี้ยประชาชน หนุนโอกาสเห็นภาพขยายตัวสินเชื่อ + กำลังซื้อ การลงทุนที่กลับมาหนุนเศรษฐกิจ 3.) จุดยืนของ BOT ที่มองการลดครั้งนี้ ไม่ใช่การเข้าสู่ Easing Cycle ทำให้เชื่อว่าระดับหนี้ครัวเรือนยังบริหารจัดการได้ 4.) มุมมองต่อเศรษฐกิจระยะถัดไปที่ยังคงเดิม แม้มีปัจจัยเสี่ยงระดับมหภาคระยะหลังบ้าง เช่น สถานการณ์ตะวันออกกลาง รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน ยังไม่แน่นอน BOT มองภายในมีปัจจัยบวกที่ช่วยสร้าง Upside Risk ชดเชยได้ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ
Strategy: เรามองบวกต่อ SET การลดดอกเบี้ยฯทำให้ Equity risk Premium ตลาดหุ้นไทยกว้างขึ้นถึง 3.62% ใกล้ +1SD ที่ 4%+/- จะทำให้ตลาดหุ้นเร่งขึ้น สู่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด โดยประเมินทุกๆ 25 bps เป็น Upside ต่อ SET Index ราว 45-50 จุด ส่วนหุ้นเด่น แนะนำ กลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับลดลง กลุ่มเช่าซื้อ (จำนำทะเบียน MTC , JMT) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, GPSC) กลุ่มหนี้สูง (CPALL, TRUE, IVL) กลุ่มอสังหาฯ (AP, SIRI, SC) กลุ่ม High Yield (ADVANC)
(*/+) Consumption Stimulus: นายกฯ เปิดตัวโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แบ่งเป็น 1.) ลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก 2.) เพิ่มพื้นที่ค้าขายให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก 3.) ลดค่าครองชีพให้ประชาชน เช่น การจัดมหกรรมลดราคาสินค้า โดยร่วมมือกับทุกกลุ่มผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง คาดเม็ดเงินสะพัด 1.1 แสนล้านบาท มองจิตวิทยาบวกต่อกลุ่มอิงบริโภคภายใน ค้าปลีก เน้น CPALL, BJC และกลุ่มเช่าซื้อ
(*/+) IE: เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์สัญชาติจีน ประกาศแผนลงทุนเพิ่มมูลค่ารวมกว่า 2.3 หมื่นล้านบาทภายใน 3 ปี ย้ำไทยเป็นฮับรถยนต์พวงมาลัยขวาระดับโลก และยืนยันไทยยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางสำหรับการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาไปสู่ตลาดโลก มองจิตวิทยาบวกต่อผลบวกการลงทุนทางตรงต่างประเทศ (FDI) ที่ยังเป็น Uptrend หนุนจิตวิทยาลงทุนหุ้นนิคมทั้ง WHA และ AMATA
(*) Mass Transit: แผนเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายคืบหน้า กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าเมืองในช่วง 5 ปีแรกที่ราคา 40-50 บาทต่อครั้ง เพื่อเป็นรายได้ของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ระดมทุนเพื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชน ประเด็นดังกล่าวยังน่าจะเป็น Overhang กับกลุ่ม Mass Transit โดยเฉพาะ BEM ที่มีอายุสัมปทานยาวกว่า แต่น้ำหนักระยะสั้นยังน่าจะต่ำกว่าโครงการ Double Deck ที่เดินหน้า ทำให้เรามองเป็นกลางสำหรับ BEM ส่วน BTS สัมปทานอายุสั้นกว่า หนุนการหาข้อสรุปน่าจะง่ายกว่า ขณะที่ BTS ยังมีเส้นทางสายสีชมพู สีเหลืองที่มีโอกาสได้ประโยชน์การหยุดรับรู้ผลขาดทุน เชิงกลยุทธ์ เรายังชอบ BTS มากกว่า BEM
(*) To Monitor: : สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายใน ติดตาม 15 ต.ค. กลุ่มธนาคารเริ่มรายงานกำไรงวด 3Q24F คาดธนาคารที่ศึกษารายงานกำไรสุทธิ 3Q24F ที่ 5.22 หมื่นลบ. กำไรเพิ่มขึ้น +3% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุน (FVTPL) ขณะที่กำไรลดลง -3% q-q ธนาคารคาดเติบโต y-y และ q-q คือ TTB สำหรับธนาคารที่รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น y-y ลดลง q-q คือ BBL, KBANK ,KTB และ SCB สำหรับธนาคารที่รายงานกำไรสุทธิลดลง y-y เพิ่มขึ้น q-q คือ KKP ส่วนธนาคารรายงานกำไรสุทธิลดลง y-y และ q-q คือ TISCO โดยช่วงที่เหลือของสัปดาห์ (18 ต.ค.) ติดตาม TTB, KKP ส่วน BBL (18-21 ต.ค.) ที่เหลือสัปดาห์หน้า (21 ต.ค.) ติดตาม KBANK, KTB, SCB
Daily Strategy : GULF, GPSC, CPALL เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Sideways/Up" ภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับมาฟื้นตัวได้ หลังสัญญาณกำไร บจ. ยังเป็นบวก ในฝั่งกลุ่มธนาคาร ในส่วน Morgan Stanley และ ภาคบริการ United Airlines บ่งชี้ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเดินหน้าได้ ในช่วงเวลาเงินเฟ้อค่อยๆอ่อนลง ขณะที่ในส่วนไทย แรงขับเคลื่อนเดินหน้าต่อจาก ผลประชุม กนง. ที่ Surprise ปรับลดดอกเบี้ย จะเปิด Upside หลายส่วน ทั้งเศรษฐกิจที่แรงกดดันดอกเบี้ยลดลง รวมถึงผลบวก Equity Risk Premium ที่ถ่างกว้างขึ้น มองหุ้นนำ คือ หุ้นได้ประโยชน์ดอกเบี้ยปรับลง (โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ อสังหา หนี้สูง High Yield) กลุ่มที่ BOT มองแรงขับเคลื่อนการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากนี้ (ค้าปลีก ท่องเที่ยว)
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, DELTA ADVANC, TRUE, INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• KSS Strategist Comment : BOT Meeting
Fact :
• กนง. มีมติ 5:2 ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps เหลือ 2.25% จากเดิม 2.5%
• ด้านมุมมองเศรษฐกิจมองใกล้เคียงเดิม GDP ปี 24-25 อยู่ที่ 2.7% และ 2.9% โดยปี 2024 ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากฝั่งส่งออก ขณะที่แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากนี้ กนง. มองบวกที่แรงขับเคลื่อนกระจายมากขึ้น ได้แก่ การบริโภค, การบริโภค+ลงทุนภาครัฐฯ และท่องเที่ยว รวมถึงการส่งออก
• เงินเฟ้อ กนง. คาดปี 2024-25 มองใกล้เคียงเดิมที่ 0.5% และ 1.2% โดยคาดเงินเฟ้อเข้าสู่กรอบเป้าหมายช่วงปลายปีนี้
Key Ideas :
• เรามองบวกต่อมติ กนง. ดังกล่าว ด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้
o สัญญาณนโยบายการเงินการคลังสอดประสาน อย่างที่ตลาดคาดหวัง สร้างสัญญาณบวกต่อการกลับมาขยายตัวเศรษฐกิจ
o การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ เรามองมีส่วนช่วยทั้งฝั่งเศรษฐกิจ ลดภาระดอกเบี้ยประชาชน หนุนโอกาสเห็นภาพขยายตัวสินเชื่อที่กลับมาหนุนเศรษฐกิจ
o นอกจากนี้ จุดยืนของ BOT ที่มองการลดครั้งนี้ ไม่ใช่การเข้าสู่ Easing Cycle ทำให้เชื่อว่าระดับหนี้ครัวเรือนยังบริหารจัดการได้
• มุมมองต่อเศรษฐกิจระยะถัดไปที่ยังคงเดิม แม้มีปัจจัยเสี่ยงระดับมหภาคระยะหลังบ้าง เช่น สถานการณ์ตะวันออกกลาง รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน ยังไม่แน่นอน BOT มองภายในมีปัจจัยบวกที่ช่วยสร้าง Upside Risk ชดเชยได้ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐฯ
Strategy: เรามองบวกต่อ SET การลดดอกเบี้ยฯทำให้ Equity risk Premium ตลาดหุ้นไทยกว้างขึ้นถึง 3.62% ใกล้ +1SD ที่ 4%+/- จะทำให้ตลาดหุ้นเร่งขึ้น สู่ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด โดยประเมินทุกๆ 25 bps เป็น Upside ต่อ SET Index ราว 45-50 จุด ส่วนหุ้นเด่น แนะนำ 2 ธีมหลัก
กลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับลดลง
o กลุ่มเช่าซื้อ (จำนำทะเบียน MTC , JMT)
o กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, GPSC)
o กลุ่มหนี้สูง (CPALL, TRUE, IVL)
o กลุ่มอสังหาฯ (AP, SIRI, SC)
o กลุ่ม High Yield (ADVANC)
ผสาน
หุ้นเด่นไตรมาส 4 : 4Q24 Best Picks: GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• GULF (Trading Buy, TP56.75 (Pre-Synergy): We resume our coverage of GULF with a 'Trading Buy' and a target price of Bt56.75. Despite the recent uptick in share price and stretched valuation, we expect GULF to sustain a ROE of 7-9% for 2025-26F (post-amalgamation), positioning as a sector leader. We expect a 2-year (2024-26F) Cagr of 12% in earnings, driven by the commencement of new projects. The realization of its 40.44% stake in ADVANC could drive a 17% Cagr. Given the stock has not fully capitalized on the potential synergy, a re-rating seems warranted.
• TOP (Buy, TP73.5): เรามอง Negative ต่อข่าวที่ผู้รับเหมาช่วงก่อสร้างโครงการ CFP อาจรวมตัวเรียกร้องค่าแรงในวันที่ 18 ต.ค. 2024 และหากการประท้วงยืดเยื้ออาจส่งให้ตลาดกังวลต่อการก่อสร้างและการ COD รวมถึงผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น เราประเมิน worst case หาก TOP ต้องเข้ามาแบกรับค่าแรงส่วนเพิ่ม 2-5 พันลบ. อาจกระทบ TP25F ราว 1-2 บาท/หุ้น (ทุกๆ 100 ลบ. กระทบกำไร 2025F -1%) เราแนะนำรอดูความชัดเจนการจัดการปัญหาข้างต้นก่อนได้ จากระยะสั้นไม่มี catalyst (งบ 3Q24F แนวโน้มขาดทุน) ค่อยกลับมาทยอยซื้อรับการฟื้นตัวใน 4Q24-1H25 และการเติบโตตามการขยายกำลังการผลิต (+45%) ใน 2026F
• Property (Neutral): มีมุมมอง slightly positive ต่อการที่ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพราะมีโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกลุ่มฯ ทั้งจาก i) ต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายของกลุ่มฯ ที่ลดลง ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิ 2025F มีโอกาส downside ที่ลดลง โดยดอกเบี้ยที่ลดลงทุก 250 bps จะมีผลต่อดอกเบี้ยจ่ายที่คาดลดลงราว 400 ลบ. ต่อปี ซึ่งจะมีผลต่อ upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิ 2025F กลุ่มฯ ราว 1.2% (เทียบปี 2025F ที่ราว 33.3 พันลบ.) โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากคือกลุ่มที่ฐานกำไรต่ำ (ANAN, LPN) และกลุ่มที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูง (SC, ORI) ตามลำดับ รวมถึง ii) ผลบวกจากความสามารถในการผ่อนชำระผู้กู้ลดลง ทำให้ผู้กู้มีโอกาสกู้ผ่านได้มากขึ้น ซึ่งช่วยด้าน demand ทางอ้อม เราคง Neutral sector rating โดยมองสถานการณ์ทั้งด้าน demand และ % GPM ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก โดยปัจจัยบวกกลุ่มฯ อาจต้องคาดหวังจากปัจจัยภายนอก เช่น นโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ จากภาครัฐ ซึ่งอาจเห็นในช่วงปลาย 4Q24F เราเลือกหุ้นแบบ bottom up จากปัจจัยบวกเฉพาะตัว โดยให้ SIRI (TP = 2.20) เป็น top pick สำหรับการลงทุนปี 2025F ในขณะที่ AP (TP = 11.70) เด่นสำหรับการลงทุนระยะสั้น
• Banking and Consumer Finance (Neutral & Bearish): กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2.25% เรามอง Slightly Negative ต่อกลุ่มธนาคารขนาดกลาง-ใหญ่ (BBL, KBANK, KTB, SCB, TTB) เพราะเป็นกลุ่มที่เสียประโยชน์ อย่างไรก็ตามเรามอง Slightly Positive ต่อกลุ่มธนาคารที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ (KKP, TISCO) และกลุ่ม Consumer Finance ทั้งมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (SAWAD, MTC, TIDLOR,THANI, MICRO) และไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (KTC, AEONTS) เพราะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA