Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

651

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
มีสัญญาณอะไรที่ชี้ว่าสงครามในตะวันออกกลางใกล้ถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
Key Takeaways:
▶️ การขยายตัวของสงครามในตะวันออกกลางเริ่มทวีความรุนแรงจากความขัดแย้งในฉนวนกาซา สู่การเผชิญหน้าหลายแนวรบ ทั้งกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนและกลุ่มอื่น ๆ ในภูมิภาค
▶️ ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านใกล้ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากการสังหารผู้นำกลุ่มฮิซบอลเลาะห์และฮามาส นำไปสู่การตอบโต้ด้วยขีปนาวุธหลายร้อยลูกจากอิหร่าน ทำให้อิสราเอลประกาศจะตอบโต้อย่างรุนแรง
▶️ นักลงทุนควรระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีแนวโน้มที่ภาวะ risk-off จะเกิดขึ้น หากสงครามขยายตัว
รายละเอียด:
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง: สงครามในตะวันออกกลางครั้งล่าสุดเริ่มต้นขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการโจมตีอย่างไม่คาดคิดของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอล การโจมตีครั้งนี้สร้างความสูญเสียอย่างหนัก โดยมีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คนและมีการจับตัวประกันไปกว่า 250 คน เหตุการณ์ดังกล่าวได้จุดชนวนให้อิสราเอลตอบโต้อย่างรุนแรงต่อฉนวนกาซา ซึ่งในช่วงแรกดูเหมือนว่าจะเป็นความขัดแย้งที่จำกัดวงอยู่เฉพาะในพื้นที่นี้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งที่ซับซ้อนมากขึ้นในเวลาต่อมา
การขยายตัวของสถานการณ์: แม้ว่าในช่วงแรกเหตุการณ์จะจำกัดอยู่ในพื้นที่ฉนวนกาซา แต่สถานการณ์ได้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกลุ่มต่างๆ ในภูมิภาคเริ่มมีส่วนร่วมในความไม่สงบ ทำให้อิสราเอลต้องรับมือกับความท้าทายจากหลายด้าน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกเบนจามิน เนทันยาฮู ได้ตัดสินใจขยายขอบเขตการดำเนินการออกไปนอกพื้นที่ฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ การตัดสินใจนี้นำไปสู่การเปิดแนวรบใหม่กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มฮูตีในเยเมน รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในอิรักและซีเรีย นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่อิสราเอลอาจต้องเผชิญหน้ากับอิหร่านโดยตรง ซึ่งอาจทำให้อิสราเอลต้องต่อสู้ถึง 7 แนวรบพร้อมกันในอนาคต
ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับสหรัฐ: ความสัมพันธ์ระหว่างนายเนทันยาฮูกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน เริ่มมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการดำเนินการทางทหารในฉนวนกาซาและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม สหรัฐยังคงให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความขัดแย้งทางความคิดก็ตาม ในขณะเดียวกัน มีการคาดการณ์ว่านายเนทันยาฮูอาจเริ่มเอนเอียงไปทางนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งกร้าวมากกว่า
จุดเปลี่ยนที่สำคัญ: การยกระดับของสถานการณ์เกิดขึ้นเมื่ออิสราเอลสังหารผู้นำระดับสูงของฮิซบอลเลาะห์และฮามาสในดินแดนเลบานอนและอิหร่านตามลำดับ เหตุการณ์นี้ทำให้อิหร่านตัดสินใจตอบโต้อย่างรุนแรงในต้นเดือนตุลาคม 2024 ด้วยการยิงขีปนาวุธหลายร้อยลูกเข้าใส่อิสราเอล ซึ่งนับเป็นการโจมตีครั้งที่สองของปีนี้ต่อจากการโจมตีครั้งแรกในเดือนเมษายน
ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น อิสราเอลประกาศว่าจะตอบโต้อิหร่านอย่างรุนแรง ซึ่งนำมาสู่การคาดการณ์ถึงรูปแบบการโจมตีที่อิสราเอลอาจเลือกใช้ โดยมีความเป็นไปได้ 3 รูปแบบหลัก คือ 1) การโจมตีฐานทัพทางทหาร 2) การโจมตีสถานที่พัฒนานิวเคลียร์ และ 3) การโจมตีแหล่งผลิตน้ำมัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอิหร่าน
แนวโน้มของสถานการณ์และผลกระทบต่อภูมิภาค: จากการประเมินปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน การโจมตีฐานทัพทางทหารดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากเป็นเป้าหมายที่ชอบธรรมทางทหารและเป็นไปตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law) รองลงมาคือการโจมตีสถานที่พัฒนานิวเคลียร์ ซึ่งอาจเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ ส่วนการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันนั้น แม้จะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงต่ออิหร่าน แต่ก็อาจนำมาซึ่งการประณามจากนานาชาติและส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันโลก จึงมีความเป็นไปได้น้อยที่สุด กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าอิสราเอลจะเลือกโจมตีในรูปแบบใด ก็มีโอกาสถูกตอบโต้หรือเป็นชนวนที่ทำให้เกิดสงครามเต็มรูปแบบกับอิหร่านในอนาคตได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะเลือกแนวทางใดยังคงขึ้นอยู่กับการหารือระหว่างรัฐบาลอิสราเอลและผู้นำทางทหาร ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แม้แต่อดีตผู้นำอิสราเอล 3 คนยังมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้
บทสรุปของความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์และข้อควรระวังสำหรับการลงทุน: จากสถานการณ์ที่ดำเนินมากว่าหนึ่งปี “เราเริ่มมีความกังวลว่าสงครามมีแนวโน้มที่จะขยายวงกว้างจากการเป็นสงครามแบบจำกัดพื้นที่ (contained war) ไปสู่สงครามระดับภูมิภาค (regional war)” เนื่องจากมีหลายประเทศและกลุ่มติดอาวุธเข้ามาเกี่ยวข้อง ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ในตะวันออกกลาง โดย อิสราเอลอาจใช้โอกาสนี้ในการกำจัดศัตรูที่เชื่อว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน รวมถึงการพยายามทำลายศักยภาพในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความพร้อมในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear threshold state) อิสราเอลอาจมองว่านี่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
โดยสรุปในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 จึงเป็นช่วงเวลาที่นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์ โดยไม่ประมาทต่อความเป็นไปได้ที่ปัญหาอาจลุกลามไปสู่สงครามระดับภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลให้เกิดภาวะ risk-off ในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ รวมถึงตลาดหุ้น

สรุปภาพตลาดวานนี้
SET ย่อ วานนี้ กดดันโดยพลังงาน-ปิโตรฯ PTT PTTEP PTTGC SCC BANPU คอมเมิร์ช CPALL CRC ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ DELTA CCET กลับมาดันตลาด พร้อมกับ รพ. BDMS BH และกลุ่ม GULF-ADVANC เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
ยกฐานใหม่ (ว่าแต่ฐานอยู่ตรงไหน...ดูคำตอบใน Paragraph แรก)
สัปดาห์นี้คาด ดัชนีหุ้นไทยยกฐานใหม่ ที่สูงขึ้น คาดแนวรับ 1,450 จุด แนวต้าน 1,490 จุด โดยความผันผวนจากแรงขายทำกำไร คาดเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใกล้โซน 1,500 จุด ซึ่งการพักฐานบนกรอบแนวรับขึ้นอยู่กับทิศทางผลการดำเนินงานกลุ่มธนาคารตลอดทั้งสัปดาห์ ว่าจะเห็นกำไรที่ดีเกินคาดหรือไม่ หากงบแย่ผิดคาดอาจกดดันให้ดัชนีปรับฐานแต่เราคาดว่ายังไม่หลุดเส้นแนวรับสำคัญของรอบที่บริเวณ 1,438 จุด
ส่วนประเด็นการลงทุนอื่นๆที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยในประเทศ โอกาสที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์เดิมของตลาด คือการลดดอกเบี้ยในการประชุม 16 ต.ค.นี้เลย โดยไม่ต้องรอ รอบ ธค. ซึ่งอาจจะเป็นเซอร์ไพร์สด้านบวกต่อตลาดหุ้นไทย มากกว่าเป็นลบ, ลุ้นศาล รธน.จะรับคำร้องคดีการเมืองหรือไม่ กรณีพรรคเพื่อไทยกับคำร้องครอบงำพรรค ฯลฯ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ มีเพียงเรื่อง ความเสี่ยงตะวันออกกลาง ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะบรรเทาลงหลัง อิสราเอลส่งข้อความยันไม่โจมฐานน้ำมันอิหร่าน ส่วนเรื่องเลือกตั้งสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจ เราคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด
กลยุทธ์แนะเลือกเก็งกำไรหุ้นตามกระแส และงบการเงินที่ดีขึ้นเมื่อมองไปข้างหน้า

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
เมื่อวานวิเคราะห์ภาพรายเดือน SET Index monthly อยู่ในโครงสร้าง “Bullish wolf wave” คลื่นหมาป่าขาขึ้นไปแล้ว แต่! หากดูสัญญาณรายวันพบว่าโมเมนตัม RSI divergence เริ่มเตือนการปรับฐาน ขณะที่ดัชนีชนกรอบโซนต้าน Fibonacci retracement 50% บริเวณ 1480 จุด อาจส่งผลให้แนวโน้มระยะสั้นปรับฐานลงสู่แนวเส้นค่าเฉลี่ย EMA 10 & 25 วัน 1,450-1,460 จุด (ย่อไม่ลึก) ส่วนแผนเทรดเล่นรอบ จะใช้แผน switching เน้นเลือกเป็นรายกลุ่ม เช่น ธนาคาร & ร.พ.ขนาดกลาง (แผนเทรดอยู่ที่หน้าถัดไป ส่วนแผนลุยเก็งกำไร แนะนำกลุ่มค้าปลีก COM7 MOSHI และ CPAXT
(อ่านต่อหน้า 11)


What to watch
งบธนาคาร: วันที่ 17 คาด งบ BBL วันที่ 18 คาด KTB TTB KKP และวันที่ 21 คาด KBANK (ติดตามดูคาดการณ์รายงานงบ 3Q24 ในรายงานฉบับเต็ม)
ตั้งกองทุนซื้อคืนสัมปทาน รถไฟฟ้า เดินหน้าโครงการ 20 บาทตลอดสาย
รอ ครม. เคาะนำร่อง ลงทุนกาสิโน แสนล้านบาท เดือน ต.ค.นี้
การประชุม กนง. 16 ต.ค. และสรรหาประธานแบงก์ชาติคนใหม่ ตลาดยังคงคาดว่าจะคงดอกเบี้ยฯที่ 2.5%
คาดเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 4.5%, คาดธนาคารกลางยุโรป ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 3.25%
MSCI รอบใหม่ประกาศ 6 พ.ย. และมีผล 26 พ.ย. 67 มีลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย จับตา IVL-MTC โอกาสสูงเข้าคำนวณ แนะเก็งกำไร IVL เป้าราคา 34 บาท ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดหุ้นไทยไตรมาสสุดท้าย กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะออกมาดี ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า วายุภักษ์-กองทุน TESG หนุน เล็งจับมือสมาคมบลจ. กระตุ้นตลาดทุน หวังวอลุ่มฯ ตลาดปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 53,331 ล้านบาทต่อวัน (ที่มา ข่าวหุ้น)

หุ้นแนะนำวันนี้
BBL เล่นดักงบ (S 154 R 160 SL 153)

Tactical port
ถอด CPALL PTTEP ERW GUNKUL

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Commodities
ในสัปดาห์ก่อน ค่าการกลั่นและราคาถ่านหินปรับตัวขึ้นเร็ว
สัปดาห์ที่แล้ว ค่าการกลั่น (GRM) มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบรายสัปดาห์ ตามมาด้วยราคาถ่านหิน ขณะที่ส่วนต่างของเคมีภัณฑ์ส่วนใหญ่ลดลงอย่างมาก และค่าระวางเรือเทกองก็ลดลงเช่นกัน
มองไปข้างหน้า หากการขัดแย้งในตะวันออกกลางทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นเพียงชั่วคราว แนวโน้ม 4Q24 คาดราคาน้ำมันควรลดลง เนื่องจากความต้องการที่อ่อนแอลง และจะทำให้ GRM โดยรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
ในทางตรงข้าม หากความขัดแย้งบานปลาย ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นต่อเนื่อง ค่าพรีเมียมน้ำมัน (Crude Premium) จะสูงขึ้น ทำให้ GRM ถูกกดดัน
สำหรับเคมีภัณฑ์ ความต้องการที่ฟื้นตัวช้า จะยังคงกดดันส่วนต่างเคมีภัณฑ์ (Chremical Spread) และผลประกอบการ 2H24 ของบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่มฯ ยกเว้น IVL ที่มีแนวโน้มจะมีกำไรโดดเด่นสวนทางกลุ่มใน 3Q24 และต่อเนื่อ 4Q24 นอกจากนี้ ตลาดยังเฝ้าจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่จากจีนที่หากมีน้ำหนักพอ จะช่วยเพิ่มความต้องการโดยรวมกลุ่มเคมีฯ กลับมา
อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมตอนนี้ เราคาดว่าส่วนต่างราคาของกลุ่มย่อย PE จะดีกว่าส่วนต่างราคาของกลุ่ม PP เนื่องจากปีนี้กลุ่ม PP มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามา (และจะ COD ในปีหน้า) มากกว่าของกลุ่ม PE ที่เพิ่มเข้ามาใหม่


BCH
บางกอก เชน ฮอสปิทอล
ถึงเวลาแล้ว
เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ที่ผ่านมา ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการพิเศษขึ้นเพื่อพิจารณา เรื่องของการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของประกันสังคม กลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) โดยจะให้เรื่องแล้วเสร็จภายใน 90 วัน โดยข้อเสนอหลัก คือ การค้ำประกันการชำระเงินบริการขั้นต่ำ 12,000 บาท/Adj.RW เรามองว่าหากมีการค้ำประกันจริง บวกต่อ รพ. รับประกันสังคม ที่จะถูกลดรายได้ส่วนนี้ (ซึ่งก่อนหน้านี้มีประเด็นว่าเดือนท้ายๆ ถูกลดลงเหลือ 7,200 บาท/Adj.RW
BCH มั่นใจว่าจะได้รับการชำระเงินขั้นต่ำที่ 12,000 บาท/Adj.RW โดยรายได้ในส่วนนี้ของ BCH คิดเป็น 20% ของรายได้จากประกันสังคม และที่เราเคยทำ sensitivity analysis ไปแล้วว่า หากมีการค้ำประกันขั้นต่ำที่ 12,000 บาทจะเห็น upside ต่อประมาณการกำไรหลักของเราที่ 1.4%
นอกจากนี้หลังจากสองปีที่ผ่านมาที่บริษัทได้มีการปรับปรุงโครงการต้นทุน โดยได้มีการชำระคืนหนี้ของโรงพยาบาลที่เวียงจันทน์ทั้งหมด ทำให้โครงการต้นทุนของ BCH ปรับตัวลงอย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้ชัดใน 3Q24
เราคาดกำไรหลัก 3Q24 ที่ 551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% YoY และ 99% QoQ โดดเด่นกว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่เหลือ หลักๆ มาจากช่วง high season และการปรับตัวขึ้นของผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ CLMV และยังมีเรื่องของการบันทึกเงินได้ส่วนเพิ่มจากกลุ่มโรคเรื้อรังประกันสังคมราว 80 ล้านบาท
Fundamental view: เรายังคงคำแนะนำซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 21 บาท

 


SAFE
เซฟ เฟอร์ทิลิตี้
เทรนด์มาแรง ของกลุ่ม Medical Tourism ในไทย
เมื่อเดือนกันยายน ดร.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ ได้ไปบรรยายเรื่องของ PGT A Seq ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่เกี่ยวกับการตรวจโครโมโซมที่ประเทศจีน ซึ่งทาง SAFE เองจะเป็นเพียงบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับสิทธิการใช้งานเครื่องนี้ โดยเทคโนโลยีที่ดีขึ้นของการตรวจโครโมโซมทำให้มีอัตราความสำเร็จของการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศจีนเองก็มีความสนใจที่จะใช้เทคโนโลยีนี้ในการทำ IVF
เราเชื่อว่าการที่ SAFE ได้เชิญไปพูดเรื่องเทคโนโลยีใหม่จะช่วยอะไรบริษัทได้ เพียงผู้บรรยายเดียวของประเทศไทย ในประเทศจีน จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่คนจีนระดับบน ที่ต้องการมีบุตร หากดูตัวเลขของผู้เข้ามารับการรักษาจากชาวจีนแล้ว บริษัทเห็นสัญญาณการเข้ามาใช้บริการจากทั้งชาวจีนแผ่นดินใหญ่ และฮ่องกง ไต้หวัน มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราประเมินเบื้องต้นว่าแนวโน้มระยะถัดไปดีขึ้น และเราได้เชิญผู้บริหาร SAFE เข้าร่วมบรรยานในงาน BLS Tourism Day ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ด้วย

Quantitative Strategy
คาดดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้อีก
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 1.4% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนจากภาวะ Risk-on ของนักลงทุน หลังจากมีข่าวดีทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เราคาดว่าตลาดหุ้นไทย จะยังปรับตัวขึ้นได้ต่อในระยะอันใกล้ เนื่องจากดัชนี Composite Short-term ได้ปรับตัวลงมาแล้วจากโซนตึงตัว โดยดัชนี Short-term Bull-to-Bear ได้ปรับลงจากกรอบบน นอกจากนั้นดัชนี Composite Medium-term แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. เนื่องจากองค์ประกอบย่อยที่ดีขึ้น อันได้แก่ ดัชนี Medium-term Bull-to-Bear ดัชนี Medium-term Momentum Strength และดัชนี Volume Flow ส่วนการกระจายตัวในการปรับขึ้นของหุ้นระยะกลาง (Medium-term Market Breadth) แม้ว่าจะปรับตัวลดลงจาก 74% ในสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เป็น 70% ในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 50% ซึ่งยังคงเป็นสัญญาณ Bullish เราประเมินกรอบการแกว่งตัวของ SET ในช่วง 1445-1510 ในวันที่ 15-28 ต.ค.



รายงานผลประกอบการวันนี้

TISCO
ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
TISCO รายงานกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 1.7 พันล้านบาท เป็นไปตามที่เราและตลาดคาด โดยลดลง 9% YoY (NIM อ่อนตัวลงและ credit cost สูงขึ้น) และ 2% QoQ (สินเชื่อหดตัวลงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้น) ด้านคุณภาพสินทรัพย์ค่อนข้างทรงตัวใกล้เคียงไตรมาสก่อน โดย NPLs/loans ratio ณ สิ้น 3Q24 ทรงตัวที่ระดับ 2.44%
เราคาดกำไรสุทธิ 4Q24 จะลดลง 5% YoY (NIM ลดลงและ credit cost สูงขึ้น) และทรงตัว QoQ (สินเชื่อเติบโตแต่จะถูกหักล้างด้วยค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงขึ้น) ทั้งนี้ เราคาดแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2024 ให้ลดลง 7% YoY และลดลงต่อเนื่องอีก 4% YoY ในปี 2025 เราจึงยังแนะนำขาย

สรุปประเด็นจาก Quick take

TISCO
ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์
TISCO ยังคงระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจใน 4Q24-2025 เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวค่อนข้างช้า
View From Fundamental: เรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อย เนื่องจากแนวโน้มกำไรสุทธิ 4Q24-2025 จะถูกกดดันจากแนวโน้ม credit cost ที่จะปรับสูงขึ้น จึงยังแนะนำขาย

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้