Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

521

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม
Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ

อัปเดต Momentum Tracker แนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
Key Takeaways:
▶️ รัฐมนตรีคลังจีนส่งสัญญาณถึงการเพิ่มการกู้ยืมและขาดดุลงบประมาณ แต่ยังไม่มีมาตรการสนับสนุนการบริโภคที่ชัดเจน ส่งผลให้ผลกระทบเชิงบวกต่อจิตวิทยาตลาดมีจำกัดในระยะสั้น ในขณะเดียวกัน ตลาดน่าจะจับตาไปที่การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในปลายเดือนนี้ เพื่อดูว่าจะมีการอนุมัติเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ออกมาหรือไม่ เนื่องจากมูลค่าการอัดฉีดมีผลต่ออัพไซด์ของตลาดหุ้นจีนในระยะถัดไป
▶️ ดัชนีตลาดหุ้นโลกอาจผันผวนมากขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ โดยตลาดหุ้นพัฒนาแล้วซึ่งมี valuation แพงและมีสัญญาณ negative divergence ของ Momentum Tracker มีโอกาสผันผวนมากกว่า ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามและไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นโดดเด่นในสัปดาห์นี้จากสภาวะที่ไม่ได้ตึงตัวเท่า
รายละเอียด:
"ภาวะการลงทุนในสัปดาห์ก่อน"
สัปดาห์ที่ผ่านมาสินทรัพย์ที่มี Momentum Tracker อยู่ในโซนตึงตัวให้ผลตอบแทนเป็นบวกเล็กน้อย เช่น ดัชนี MSCI All-Country World เพิ่มขึ้น 0.6% และทองคำ 0.1% ในขณะที่ราคาน้ำมัน WTI และดัชนี SET ซึ่งมี Momentum Tracker ยังไม่ตึงตัวได้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยปรับตัวขึ้น 1.1% และ 1.8% ตามลำดับ โดยมีเซคเตอร์ของไทยที่ปรับตัวขึ้นเด่น 3 อันดับแรก ได้แก่ Electronics 7.5%, Insurance 5.7% และ Media 5.2%
"พัฒนาการที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่แล้วมีดังต่อไปนี้"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของจีน หลาน โฟอาน กล่าวกับผู้สื่อข่าวระหว่างการแถลงข่าวถึงนโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญในวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า
1 รัฐบาลกลางยังมีพื้นที่ในการเพิ่มหนี้และการขาดดุลงบประมาณได้อีกมาก โดยระบุว่ามาตรการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการหารือ และเน้นย้ำว่า การแถลงข่าวนี้จะไม่ใช่จุดสิ้นสุด เพราะยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆเพิ่มเติมที่จะตามมาในอนาคต
2 กระทรวงการคลังจะอนุญาตให้รัฐบาลท้องถิ่นออกพันธบัตรพิเศษเพื่อซื้อที่ดินและให้เงินอุดหนุนสำหรับที่อยู่อาศัยในราคาย่อมเยา โดยสามารถนำไปใช้กับที่อยู่อาศัยที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะใช้ได้เฉพาะกับโครงการก่อสร้างใหม่ นอกจากนี้ยังกำลังพิจารณาแผนการลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย แต่ไม่ได้ระบุตัวเลขเฉพาะเจาะจง
3 ธนาคารของรัฐขนาดใหญ่จะได้รับการเสริมสภาพคล่อง โดยแม้ว่าธนาคารทั้ง 6 แห่ง จะมีระดับเงินทุนที่สูงกว่าเกณฑ์กำหนดแล้ว แต่ความช่วยเหลือนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันหลังจากที่ PBoC ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านและลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจ
4 ไม่มีมาตรการอื่นๆ ที่ระบุเพื่อกระตุ้นการบริโภคเป็นการเฉพาะเจาะจง ซึ่งนับว่าเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจจีน และไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินอุดหนุนสำหรับการบริโภคของครัวเรือน มีแต่เพียงการที่รัฐมนตรีคลังได้กล่าวว่ารัฐบาลท้องถิ่นมีเงิน 2.3 ล้านล้านหยวนจากพันธบัตรพิเศษที่พวกเขาสามารถใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้ แต่นั่นไม่ใช่การกระตุ้นใหม่ เพราะเป็นพันธบัตรที่ออกแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้
ความเห็นของเราต่อข่าวดังกล่าว:
ข่าวดังกล่าวแม้จะช่วยหนุนจิตวิทยาเชิงบวกในระยะสั้น แต่คงไม่มากนัก เนื่องจากต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ ดังนั้นนักลงทุนน่าจะโฟกัสไปที่การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติในปลายเดือนนี้ โดยหากมีการอนุมัติเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น มูลค่า 6 ล้านล้านหยวนขึ้นไป หรือคิดเป็นมากกว่า 5% ของ GDP ก็คงสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดและจะทำให้ดัชนีหุ้นจีนแรลลี่ขึ้นต่อไปได้อีกไม่น้อยกว่า 15% จากระดับปัจจุบัน แต่หากมีมูลค่าต่ำเกินไปเหมือนกับปีที่ผ่านมา ก็คงไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นได้มากนัก เนื่องจากนักลงทุนอาจมองว่าไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ดังนั้นอัพไซด์ของตลาดหุ้นจีนในช่วงที่เหลือของปีนี้จึงขึ้นอยู่กับข่าวมาตรการทางการคลังเป็นสำคัญว่าจะมีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน
"ปัจจัยเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่"
วันพฤหัสบดี: (1) JP Exports (consensus คาดตัวเลขการส่งออกญี่ปุ่นเดือนกันยายนจะเพิ่มขึ้น 0.5% YoY ชะลอตัวลงจาก 5.6% ในเดือนก่อนหน้า), (2) US Retial Sales (consensus คาดตัวเลขค้าปลีกสหรัฐเดือนกันยายนจะเพิ่มขึ้น 0.3% MoM เร่งตัวขึ้นจาก 0.1% ในเดือนก่อนหน้า)
วันศุกร์: (1) JPCore Inflation (consensus คาดอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานญี่ปุ่นเดือนกันยายนจะเพิ่มขึ้น 2.3% YoY ชะลอตัวลงจาก 2.8% ในเดือนก่อนหน้า), (2) CN 3Q GDP (consensus คาดเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 จะเติบโต 4.6% YoY ชะลอตัวลงเล็กน้อยจาก 4.7% ในไตรมาสก่อนหน้า), (3) CN Retail Sales (consensus คาดตัวเลขค้าปลีกจีนเดือนกันยายนจะเพิ่มขึ้น 2.4% YoY เร่งตัวขึ้นจาก 2.1% ในเดือนก่อนหน้า)
"แนวโน้มของราคาสินทรัพย์ต่างๆในระยะสั้น"
1 ดัชนี MSCI All-Country World Equity อาจผันผวนมากขึ้นในสัปดาห์นี้ จากการเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบ ทำให้หลายๆดัชนีอาจมีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยคาดว่าตลาดที่มี forward PE แพงและ Momentum Tracker ที่มีภาพ negative divergence กับราคา มีโอกาสที่จะเผชิญกับความผันผวนมากขึ้น เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐและญี่ปุ่น ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามซึ่งมี valuation และ Momentum Tracker ยังไม่ตึงตัวเท่า มีโอกาสปรับตัวขึ้นเด่นในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่าดัชนี VNI จะทะลุแนวต้านสำคัญระดับ 1300 จุดได้ในระยะอันใกล้นี้ (รูป 1)
2 ราคาทองคำ (Gold Spot) เริ่มแสดงความผันผวนมากขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา แม้จะมีปัจจัยบวกจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางเข้ามาหนุนก็ตาม ความผันผวนนี้มีสาเหตุหลักมาจากภาวะ overspeculation ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการมี net speculative long position ในระดับสูงถึง 226,280 สัญญา สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวถึง 1.9 เท่า นอกจากนี้ ยังเริ่มปรากฏสัญญาณลบจากการลดลงของ net long position ถึง 22,680 สัญญาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของตลาด สอดคล้องกับ Momentum Tracker ที่อยู่ในโซน super stretched level อันเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาอาจจะปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามในอนาคตอันใกล้ ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มที่จะยังคงผันผวนต่อไปในระยะสั้น และมีแนวต้านสำคัญที่ระดับ 2,700 เหรียญ (รูป 2)
3 ราคาน้ำมัน WTI สัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 70-74 เหรียญ ซึ่งเป็นการพักตัวหลังจากปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 14% นับจากจุดต่ำสุดในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันยังคงมี upside risk ในระยะสั้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะโจมตีอิหร่านเพื่อเป็นการตอบโต้ในอนาคตอันใกล้ และหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ก็มีความเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมัน WTI จะพุ่งทะลุระดับ 78 เหรียญขึ้นไป แต่การปรับตัวขึ้นนี้อาจไม่ยั่งยืนตลอดช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากมีปัจจัยกดดันสำคัญสองประการ ประการแรกคือความอ่อนแอของอุปสงค์ซึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประการที่สองคือการกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสในเดือนธันวาคม ด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนเหล่านี้ ตลาดน้ำมันจึงอยู่ในภาวะที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้หุ้นพลังงานไม่เหมาะกับนักลงทุนที่เน้น absolute return เนื่องจากความเสี่ยงของความผันผวนที่อาจมากกว่าปกติในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อาจทำให้ผลตอบแทนไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงสูงเกินไป ซึ่งจะขัดกับวัตถุประสงค์ในการสร้างผลตอบแทนที่แน่นอนและสม่ำเสมอ ในทางกลับกัน สถานการณ์นี้อาจทำให้กองทุนที่เน้น relative return ซึ่งมุ่งเอาชนะ benchmark จากผลตอบแทนส่วนเกิน (excess return) อาจต้องมี position ในหุ้นน้ำมันบางส่วน เพื่อเฮดจ์ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น
4 พันธบัตร 10 ปีสหรัฐยังคงเผชิญกับแรงขายทำกำไรต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สาม อย่างไรก็ตาม เริ่มเห็นสัญญาณของแรงกดดันที่ลดลง โดยสะท้อนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของยีลด์เพียง 9 bps เมื่อเทียบกับ 22 bps ในสัปดาห์ก่อนหน้า แม้จะมีแรงขายในระยะสั้น แต่เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดพันธบัตรในช่วง 6-9 เดือนข้างหน้า จากวงจรการลดดอกเบี้ยของเฟดและเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง โดยยังคงคาดการณ์ว่ายีลด์พันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐจะปรับตัวลงสู่ระดับ 3.0% ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จึงแนะนำให้เข้าซื้อสะสมในจังหวะที่ราคามีการอ่อนตัว
5 ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 1480-1500 จุด ในสัปดาห์นี้ หนุนโดยแรงซื้อของกองทุนภายในประเทศ และจากสัญญาณของ Momentum Tracker ที่เร่งตัวขึ้น บ่งชี้ถึงแรงส่งที่เพิ่มขึ้นของตลาด นอกจากนี้ การที่ Momentum Tracker ยังมีพื้นที่ให้ปรับตัวขึ้นต่อ แสดงให้เห็นว่าตลาดอาจยังไม่อยู่ในภาวะ overbought

สรุปภาพตลาดวานนี้ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีบวกต่อ นำโดยกลุ่มพลังงาน PTT PTTEP กลุ่ม GULF-ADVANC และธนาคาร KTB BBL KBANK BAY ส่วนหุ้นขึ้นแรง MCOT SEI MVP HYDRO ASN เป็นต้น ขณะที่หุ้นใหญ่ที่ลบกดดันตลาด เช่น SCC-PTTGC IVL (สัญญาณกลุ่มเคมีฯ ยังไม่ฟื้น) BDMS TRUE SCGP BJC เป็นต้น

แนวโน้มตลาดวันนี้
ยกฐานใหม่
สัปดาห์ที่แล้วดัชนีหุ้นไทยสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 14 เดือน ทะลุ 1,460 จุด เกินแนวต้านที่เราคาด จากแรงซื้อสลับ หุ้นใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อดัชนีฯ เช่น GULF DELTA กลุ่มธนาคาร เป็นต้น

สัปดาห์นี้คาด ดัชนีหุ้นไทยยกฐานใหม่ ที่สูงขึ้น คาดแนวรับ 1,450 จุด แนวต้าน 1,490 จุด โดยความผันผวนจากแรงขายทำกำไร อาจเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าใกล้โซน 1,500 จุด ซึ่งการพักฐานบนกรอบแนวรับขึ้นอยู่กับทิศทางผลการดำเนินงานกลุ่มธนาคารตลอดทั้งสัปดาห์ ว่าจะเห็นกำไรที่ดีเกินคาดหรือไม่ หากงบแย่ผิดคาดอาจกดดันให้ดัชนีปรับฐานแต่เราคาดว่ายังไม่หลุดเส้นแนวรับสำคัญของรอบที่บริเวณ 1,438 จุด
ส่วนประเด็นการลงทุนอื่นๆที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยในประเทศ โอกาสที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดการณ์เดิมของตลาด คือการลดดอกเบี้ยในการประชุม 16 ตค.นี้เลย โดยไม่ต้องรอ รอบ ธค. ซึ่งอาจจะเป็นเซอร์ไพร์สด้านบวกต่อตลาดหุ้นไทย มากกว่าเป็นลบ, ลุ้นศาล รธน.จะรับคำร้องคดีการเมืองหรือไม่ กรณีพรรคเพื่อไทยกับคำร้องครอบงำพรรค ฯลฯ
ส่วนปัจจัยต่างประเทศ มีเพียงเรื่อง ความเสี่ยงตะวันออกกลาง หากเกิดเหตุการณ์ โจมตีคลังน้ำมันอิหร่าน หรือเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การปิด ช่องแคบ ฮอร์มุช อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิด Panic ปรับฐานรุนแรง ส่วนเรื่องเลือกตั้งสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจ เราคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด
กลยุทธ์แนะนำ เดินหน้าเลือกเก็บหุ้นเพื่อเก็งกำไรต่อ โดยมองหาหุ้นผ่าน กระแสการลงทุนหลัก ช่วงนี้ ได้แก่ ราคาน้ำมันดิบ คาดรีบาวด์ได้ต่อเนื่อง (PTT PTTEP PCE), การลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรองรับ New S-curve ล่าสุด DAMAC แห่งดูไบประกาศลงทุนในไทย 1000 ล้านเหรียญ (PROEN INSET), Rate sensitive theme (MTC BBL) เป็นต้น
สำหรับกลุ่มเคมีฯ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มี Preview SCC ตลาดมองลบต่อประเด็นกดดันธุรกิจเคมีฯ ใน 3Q-4Q24 ที่ยังไม่ฟื้น และยังมีแรงกดดันจากมหภาคอยู่ ทำให้ PTTGC ที่เน้นในธุรกิจนี้จึงถูกเทขายลงมา โดยรายงานพื้นฐานวันนี้ นักวิเคราะห์ได้ Downgrade PTTGC ลงมา ย้ำมุมมองแนวโน้มกำไร 3Q-4Q24 ยังอ่อนแอ แม้เทียบคู่เทียบตรงๆ อย่าง IVL ที่ดูดีกว่า และในส่วนของ SCC ที่ย่อลงมา เราแนะนำให้รอหลังงบฯ 3Q24 ที่ไม่ค่อยดีรายงานออกมา ค่อยกลับมาเช็คแนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์ เพื่อกำหนดจังหวะลงทุน

กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นเล่นเป็นรายตัว โฟกัสไปข้างหน้า เน้นไปที่แนวโน้มผลการดำเนินงานที่จะมีโอกาสถูกปรับเพิ่มประมาณการณ์ หรือ มองเห็นปัจจัยหนุนชัดเจนที่จะเข้ามาเกื้อหนุนต่อผลการดำเนินงานหลังจากนี้

วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET Index รายเดือนเฉลยภาพ “Bullish wolf wave” คลื่นหมาป่าเป็นหนึ่งใน Chart patterns ที่ไว้หาจุดกลับตัวของราคา….แสดงผลลัพธ์แม่นยำ ขณะที่ MACD (month) จ่อตัดขึ้น buy signal คล้ายรูปแบบในอดีต (เกิดขึ้นไม่บ่อย เชื่อถือได้)
สรุป: ดัชนีกำลังเดินหน้าขึ้นสู่เป้า Fibonacci retracement 50% บริเวณ 1,480-1,500 จุด ตามแผน! จุด
Note: ดัชนีจะทะลุเกินเป้าหรือไม่! ขอดูทรงสัปดาห์นี้ก่อนครับ ส่วน Theme play จับตากลุ่มแบงค์กราฟสวยเล่นก่อนงบ 3Q24 จะประกาศสัปดาห์นี้ กราฟเทคนิค มีหลายตัวให้เลือก นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรงพยายบาลขนาดกลาง…..หุ้นจ่อทะลุ high

 

What to watch
งบธนาคาร: วันที่ 15 มี TISCO (คาดกำไร 1,718 ลบ. -8% y-y, -2% q-q) วันที่ 17 คาด งบ BBL วันที่ 18 คาด KTB TTB KKP และวันที่ 21 คาด KBANK (ติดตามดูคาดการณ์รายงานงบ 3Q24 ในรายงานฉบับเต็ม)
ลุ้นศาลรับไม่รับ คำร้อง ทักษิณ-เพื่อไทย เรื่องครอบงำพรรค, แก้ รธน.
"เอกชน" แห่ชิงขายไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนรอบ 2 หลัง กกพ.เปิดรับซื้อ 2.1 พันเมกะวัตต์ "กัลฟ์" มั่นใจชิงส่วนแบ่งรอบนี้ได้ 20% "เอ็กโก" ยื่นขายไฟโซลาร์ 10 โครงการ "บาฟส์" ผนึกพันธมิตรเสนอขายไฟ "ราชกรุ๊ป" ไม่ตกขบวนร่วมประมูลรอบ 2 กกพ.เผยส่วนที่เหลืออีก 1.5 พันเมกะวัตต์ รอบอร์ดชุดใหม่อนุมัติรับซื้อ
การประชุม กนง. 16 ต.ค. และสรรหาประธานแบงก์ชาติคนใหม่ ตลาดยังคงคาดว่าจะคงดอกเบี้ยฯที่ 2.5%
คาดเศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 มีโอกาสขยายตัวต่ำกว่า 4.5%, คาดธนาคารกลางยุโรป ลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 3.25%
MSCI รอบใหม่ประกาศ 6 พ.ย. และมีผล 26 พ.ย. 67 มีลุ้นเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย จับตา IVL-MTC โอกาสสูงเข้าคำนวณ แนะเก็งกำไร IVL เป้าราคา 34 บาท ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดหุ้นไทยไตรมาสสุดท้าย กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะออกมาดี ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า วายุภักษ์-กองทุน TESG หนุน เล็งจับมือสมาคมบลจ. กระตุ้นตลาดทุน หวังวอลุ่มฯ ตลาดปีนี้ดีกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 53,331 ล้านบาทต่อวัน (ที่มา ข่าวหุ้น)
ความตึงเครียดระหว่าง จีน ไต้หวันรอบใหม่
เทสลา เปิดตัวหุ่นยนต์ Humanoid

หุ้นแนะนำวันนี้
BBL เล่นดักงบ (S 154 R 160 SL 153)

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Chemical Sector
IVL แนวโน้ม 2H24 เด่นกว่า
วันนี้รายงานกลุ่มปิโตรเคมี เราแนะนำให้นักลงทุน Switching จาก PTTGC (Downgrade เป็น ขาย) ไปที่ IVL แทน (คงคำแนะนำซื้อ) ด้วยเห็นผล ดังนี้
1) ผลประกอบการหลัก 3Q24 ของ IVL ไม่ได้อ่อนแอเหมือน PTTGC โดยเราคาดกำไรหลัก IVL ที่ 2,415 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน YoY และเพิ่มขึ้น 67% QoQ ขณะที่ PTTGC คาดขาดทุนหลัก 2,543 ล้านบาท พลิกจากกำไร YoY และขาดทุนมากขึ้น QoQ เหตุผลเพราะในด้าน QoQ ของ IVL มีปริมาณขายเพิ่ม Spread เฉลี่ยขยายตัว และค่าใช้จ่าย OPEX ลดลง
2) แนวโน้ม 4Q24 ของ IVL ก็ยังโดดเด่นมากกว่า PTTGC เกิดจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และ Spread ก็คาดเพิ่มขึ้น YoY ขณะที่ของ PTTGC ยังคาดว่ายังเห็นการขาดทุน
3) ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ IVL และปรับลดของ PTTGC โดยในส่วนของ IVL ปรับเพิ่มกำไรหลักปี 2024 ขึ้น 76% สะท้อนแนวโน้มที่ดีและดีต่อเนื่องดังกล่าว ขณะที่ PTTGC ปรับลดลงเป็นขาดทุนหลัก 7,081 ล้านบาท นอกจากนี้ PTTGC ยังมี Downside อีก เช่นการด้อยค่าสินทรัพย์
Fundamental view: ดังนั้น ในส่วนของกลุ่มเคมีฯ เราจึงชอบ IVL มากกว่า PTTGC ที่ปรับลดคำแนะนำไป และในส่วนของ SCC (มีรายงานแยกออกมาเฉพาะ) เรายังคงให้คำแนะนำซื้อ โดยเรามองว่ามีปัจจัย ที่เป็นเชิงบวกมากกว่าจากธุรกิจซีเมนต์ที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้จากนี้

 

Tourism Sector
ค้นหาหุ้น ลุ้นทำกำไร วันที่ท่องเที่ยวไทยกลับมาคึกคัก
เราเห็นโอกาสที่การท่องเที่ยวไทยจะกลับมาคึกคักในช่วง 4Q24 ยาวไป 1Q25 หนุนจากทั้งฤดูกาลท่องเที่ยว และการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ นักลงทุนก็กำลังจับตาทิศทางของแนวโน้มกลุ่มท่องเที่ยวปีหน้า (หลังจากปีนี้ฟื้นตัวขึ้นมาดีอีกปี)
ในส่วนของภาครัฐนโยบายท่องเที่ยว ถูกให้ความสำคัญจากรัฐบาลและเป็นหนึ่งในนโยบายหลัก และล่าสุดนายกฯ ก็ได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวหลายส่วน เพื่อหาแนวทางกำหนดมาตรการกระตุ้น รวมทั้งนโยบายที่ได้ให้กับ ททท. (ซึ่งเราก็เชิญมาในงานด้วย) ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่งขึ้นขึ้นมาเพียง 61% (9M24) ของก่อนโควิด-19 และถูกชดเชยจากตลาดอื่นๆ เช่น อินเดีย มาเลฯ และรัสเซีย อีกทั้งเที่ยวบินจีน-ไทย ก็ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่ไปสิงคโปร์ มาเลฯ และเวียดนาม เป็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ และเราได้เชิญ Trip.com เข้ามาบรรยายเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ในเชิงลึกให้ด้วย
ภาพรวมในวันที่ 15 และ 17 ต.ค. นี้ ที่เราจึงจัดงาน BLS Tourism Days ขึ้น เพื่อให้นักลงทุนเห็นภาพเหล่านั้นได้ชัดเจนขึ้น จึงไม่ได้มีแค่ บจ. ที่เกี่ยวของกับการท่องเที่ยวหลากหลายภาคส่วน (CENTEL ERW SPA VRANDA AAV SAFE) แต่ยังได้เชิญทั้ง ททท. และ Trip.com เข้ามาร่วมบรรยายเป็น Special Session ในงานนี้ด้วย
(ลูกค้า บล. บัวหลวงที่สนใจเข้าฟัง โปรดติดต่อผู้แนะนำการลงทุน)

 

SCC
ปูนซิเมนต์ไทย
ผลประกอบการที่อ่อนแอใน 3Q24 สะท้อนไปแล้ว
เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงสัปดาห์ก่อนสะท้อนผลประกอบการที่คาดอ่อนแอใน 3Q24 โดยเราประเมินกำไรหลักที่ 2.2 พันล้านบาท ลดลง 5% YoY และ 46% QoQ และกำไรสุทธิที่ 1.7 พันล้านบาท ลดลง 36% YoY และ 54% QoQ จากการอ่อนตัวของทุกหน่วยธุรกิจ
อย่างไรก็ตามเราคาดกำไรใน 4Q24 จะกลับมาเติบโตได้ YoY จากธุรกิจซีเมนต์และแพ็คเกจจิ้ง เรามองว่าราคาปัจจุบันน่าจะสามารถสะสมรับการฟื้นตัวของอุปสงค์ซีเมนต์ใน 4Q24-2Q25 ได้
Fundamental view: ในเชิงพื้นฐานยังคงให้คำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 320 บาท
ทั้งนี้ ในภาพระยะสั้นราคาหุ้นยังคงถูกกดดันจากธุรกิจเคมีฯ แต่มองสะท้อนด้านลบไปแล้ววันก่อน เรามองเป็นโอกาสทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว ที่คาดหวังการฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์ และแพ็คเกจจิ้งได้ดังที่กล่าวมา

วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้