***กำไรสุทธิ 3Q24F ลดลง แต่จะฟื้นตัวใน 4Q24F***
คาดกำไรสุทธิ 3Q24F ลดลง -12%YoY, -20%QoQ เป็น 1.16 พันล้านบาท การลดลงเป็นผลจาก 1) อุปสงค์บรรจุภัณฑ์กระดาษอ่อนตัวลง เนื่องจากธุรกิจในไทยและอินโดนีเซียได้รับผลกระทบจากพายุและน้ำท่วมทำให้ลูกค้าเลื่อนคำสั่งซื้อออกไป รวมทั้งความต้องการซื้อ บรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ลดลง โดยเฉพาะในจีน, 2) มาร์จิ้นอ่อนลงจากราคาขายเฉลี่ยลดลง -7%QoQ ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 5-6%QoQ และ 3) ธุรกิจในอินโดนีเซียขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 50 ล้านบาท สำหรับธุรกิจไฟเบอร์ อุปสงค์ในยุโรปและสหรัฐที่อ่อนลงได้รับการชดเชยจากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น +12%YoY, +1%QoQ
แนวโน้ม 4Q24F คาดว่าจะฟื้นตัว จากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น ในช่วงเทศกาล และต้นทุนลดลง ทั้งนี้ราคาเศษกระดาษลดลงใน 3Q24 ทำให้คาดการณ์ว่าต้นทุนวัตถุดิบใน 4Q24F จะลดลง QoQ
บริษัทคาดว่าธุรกิจของ Fajar จะถึงจุดคุ้มทุนได้ใน 4Q24F เมื่อมีการสะสมสต็อกเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาล ซึ่ง Fajar มีส่วนแบ่งการตลาดสูงราว 30% ในตลาดอินโดนีเซีย ทั้งนี้ทาง SCGP ประเมินว่าต้นทุนในการซื้อ Fajar ที่ประมาณ 900 ดอลลาร์/ตัน ยังถูกกว่าการลงทุนสร้างโรงงานใหม่
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของจีนเป็ นผลดีกับ SCGP โดยจะทำให้ความต้องการซื้อบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นตามการอุปโภคและบริโภคที่ฟื้นตัว
ตั้งเป้าหมาย EBITDA เพิ่มเท่าตัวเป็น 30-33 พันล้านบาทภายในปี 2030 โดยมีแผนลงทุน 80 พันล้านบาทใน 6 ปีข้างหน้า ซึ่งทำให้ D/E ratio จะขึ้นไปที่ 2.5-3.0 เท่า โดยเน้นไปยังธุรกิจปลายน้ำ เช่น บรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์, บรรจุภัณฑ์กระดาษ, ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และอุปกรณ์ในห้องปฎิบัติการ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคและมีมาร์จิ้นดี นอกจากนั้น จะใช้ AI ในธุรกิจมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะลดต้นทุนได้กว่า 1.0 พันล้านบาท/ปี ภายในปี 2030
การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะซื้อสะสม ให้ราคาพื้นฐานใหม่ 37 บาท (เดิม 44 บาท) ซึ่งอิงกับวิธี DCF (WACC : 8.28%, TG) : 0.5% ทั้งนี้เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 24F-25F ลง -21% และ -14% สะท้อนมาร์จิ้นที่ตํ่ากว่าคาดการณ์เดิม และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
บริษัทมี SET ESG Ratings : AAA และมี CG Report : 5 ดาว
นักวิเคราะห์ : ดุลเดช บิค : duladethb@th.dbs.com : Tel. 02 857 7833