"Anti-Commodities Plays"
KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Up" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1443/1438 จุด ดัชนี S&P500 +0.97% แกว่งขึ้นจ่อทำ All Time High ใหม่ นำโดยกลุ่มเทคฯ ผสานแรงหนุนจากทุกกลุ่ม ยกเว้น Energy ลงตามราคาน้ำมันร่วงเฉลี่ย -4.6% หลังสถานการณ์ตะวันออกกลางเริ่มมีกระแสข่าวกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เจรจาหยุดยิง ขณะที่การตอบโต้อิหร่านของอิสราเอลน่าจะมุ่งไปที่หน่วยทหารและข่าวกรอง ไม่กระทบแหล่งน้ำมันผสานตลาดได้ปรับมุมมองวงจรดอกเบี้ยขาลงใกล้เคียง Fed Dot Plot ไปแล้ว ทำให้ US Bond Yield เริ่มนิ่ง และรอประเมิน US CPI เดือน กย 2024 พรุ่งนี้ ตลาดคาด +2.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. 2.5%y-y, 0.2%m-m ภาวะดังกล่าวหนุน Risk Asset ส่วนการแถลงนโยบายของสภาพัฒน์จีน เป็นการให้แนวทางและคำมั่นต่อนโยบายที่ตรงจุด คือ การบริโภคและภาคอสังหา ซึ่งในส่วนขนาดเม็ดเงินที่ตลาดรอคอย น่าจะมีรายละเอียดจากทางการ ในการประชุม NPC ปลาย ต.ค. นี้ จะทำให้ตลาดหุ้นจีน พักสั้นๆ แล้วเดินหน้าต่อ ขณะที่ภายในเข้าสู่ฤดูจับจ่าย+ท่องเที่ยว ที่สัญญาณแรงส่งออกมาเชิงบวกเร่งขึ้น หนุน SET ไปต่อ โดยมีหุ้น Anti-Commodities (โรงไฟฟ้า สายการบิน วัสดุ) กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก สื่อสาร ท่องเที่ยว เช่าซื้อ) และ China Plays นำตลาด วันนี้แนะ GULF, BJC, TASCO เด่น
Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1443/1438 จุด
What happened around the world ?
(*/+) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกปรับขึ้นอีกครั้ง หลังคาดการณ์ GDP 3Q24F (GDPnow) แกร่ง และสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางมีพัฒนาการเชิงบวก หลังเริ่มมีการคาดการณ์กลุ่มฮิซบอลเลาะห์จะเจรจาหยุดยิง Dow jones (+0.3%) , S&P500 0.97%d-d Nasdaq +1.44%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับขึ้นเกือบทุก Sector ยกเว้น กลุ่ม Energy (Chevron -1.57% ) ที่พลิกปรับลงตามราคาน้ำมันดิบที่พลิกลงแรง โดยกลุ่มที่ปรับขึ้นนำโดย IT, ICT, Consumer discretionary ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่นคือ NVDIA+4%, Apple+1.26%, แต่Alibba ADR -6.67% ตามตลาดหุ้นฮ่องกง หลังจากตลาดผิดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จีน
(*/+) US GDP : Fed Atlanta คาดการณ์ GDP Now 3Q24 3.2%q-q เร่งขึ้นจากรอบก่อนที่ 2.5%q-q (ผลจาก ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐออกมาดีกว่าคาดเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และ PMI ภาคผลิตดีกว่าคาด) เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีรายได้เชื่อมโยงสหรัฐ อาทิ IVL, XO, TU, MALEE
(*/*) Fed Speaks : 1.) คุณ Collins ประธาน Fed สาขา Boston (Non Voter) เผยการลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเพิ่มเติมมีแนวโน้มที่จะจําเป็น' เพื่อรักษาเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะเดินหน้าลงมาแตะ 2.0% (กรอบเป้าหมายของ Fed) 2.) คุณ Bostic ประธาน Fed สาขา Atlanta (Voter) เผยตลาดแรงงานไม่อ่อนแอ เศรษฐกิจสหรัฐอาจแข็งแกร่งเกินไปสําหรับการปรับนโยบายการเงิน KSS ประเมินความเห็นของ 2 ท่านตรงกับมุมมองของเราคือวงจรดอกเบี้ยสหรัฐยังเดินหน้าขาลง และเศรษฐกิจสหรัฐแกร่ง โดยรวมบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
(*/+) China คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) แถลงว่ามีแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่ยังไม่เปิดเผยขนาดของเม็ดเงินและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประมินรายละเอียดของมาตรการจะทยอยออกมาอีกนับจากนี้ โดยเฉพาะการประชุมสมาชิกสภาประชาชนจีน NPC ที่มีวาระจะจัดขึ้น 31 ตค 2024 นี้ คาดเม็ดเงินราว 2-3ล้านล้านหยวน(2-3%ของ GDP จีน) ที่ตลาดคาดหวังน่าจะประกาศออกมา จะหนุนตลาดหุ้นจีนเดินหน้าต่อ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นตลาดหุ้นจีน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผิดหวังและปรับลงระยะสั้น จากก่อนหน้าคาดจะมีรายละเอียด แต่ระยะกลางยาว ยังมองเป็นจังหวะสะสมหุ้น China Play เป็นบวกต่อหุ้น China Play นำโดย SCC IVL , SCGP ,PTTGC ,HANA ,AOT, CPALL, AU
(*) US Hurricane : พายุ Hurricane Milton กลายเป็นพายุระดับ 5 เคลื่อนตัวเข้าใกล้รัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ความเร็วลมสูงสุด 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐเตรียมรับมือโดยสั่งการให้ประชาชนอพยพมากกว่า 500,000 คน KSS ประเมิน ผล 2 ส่วนคือ 1.) คาดจะกระทบต่อตัวเลขแรงงานสหรัฐ เดือน ต.ค. อ่อนตัวลงเล็กน้อย จากผลกระทบ Hurricane 2.) คาดจะกระทบต่อ Supply ผู้ผลิตน้ำมันและโรงกกลั่น หนุนแนวโน้มราคาน้ำมันเพิ่ม เป็นจิตวิทยาบวกต่อ PTTEP, PTT
(*)Gogle & Utilities Stocks Google เร่งหากำลังผลิตไฟฟ้ารองรับ Data Center และ AI ต่อเนื่อง โดยเจรจาบริษัทไฟฟในสหรัฐและในต่างประเทศ สะท้อนความต้องการไฟฟ้าที่มีอีกมาก มองบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าไทย เน้น GPSC, BGRIM, GULF
(*/+)Apple Play : APPLE เตรียมเตรียมเปิดตัว MacBOOK รุ่นใหม่ 1 พ.ย.2024 ผสานกับเปิดตัว IphoneSE รุ่นใหม่ซึ่งจุดเด่น ตัดปุ่ม Home ออก และ iPad Air สำหรับปี 2025 มองเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นขายมือถือ Iphone หุ้นที่มียอดขาย IPhone สูง หรือฐานยอดขายสินค้า Apple ยังต่ำ คือ COM7 (KSS คาดโอกาสเข้า SET 50 รอบ 1H25 90%) และ ADVICE
(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 10 ต.ค. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI ก.ย. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +2.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. +2.5%y-y, +0.2%m-m, เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +3.1%y-y, +0.3%m-m vs prev. +3.2%y-y, +0.3%m-m ตามลำดับ, 11 ต.ค. ติดตามเงินเฟ้อ PPI ก.ย. คาด +2.4%y-y vs prev. 2.0%y-y 11 ต.ค. ติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน ต.ค. คาด 70.0 จุด vs prev. 70.1 จุด
(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับลง อายุ 2 ปี ปรับขึ้น - 3 bps อยู่ที่ 3.96% อายุ 10 ปี -1 bps อยู่ที่ 4.01% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกระยะสั้นต่อหุ้นการเงิน กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC, BGRIM กลุ่มหนี้สูง CPALL, BJC, TRUE, MINT ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อ 102.2
(*/+) Oil : น้ำมันดิบพลิกลงแรง อิง Brents -4.5%d-d ปิดที่ US$ 77.4/barrel. น้ำมันดิบ West Texas -4.6%d-d ปิดที่ US$ 73.8/barrel แรงกดดันหลักมาจากตลาดผิดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน และความตึงเครียดสงครามลดน้อยลง อิง กลุ่มฮิซบุลเลาะห์กำลังมองหาแนวทางการหยุดยิงกับอิสราเอล โดยรวมเป็นจิตวิทยาลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP แต่เป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่ม Anticommodity วันนี้เด่น อาทิ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF, GPSC, BGRIM กลุ่มวัสดุก่อสร้าง TASCO, SCC กลุ่มที่มีต้นทุนเป็นน้ำมัน อาทิ สายการบิน เน้น BA, AAV
What happened in Thailand ?
(*/+) SET : SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น +0.6 จุด ปิดที่ 1452.8 จุด แม้ตลาดหุ้นต่างประเทศผันผวน กลุ่มหนุน คือ กลุ่มประกัน (TLI, BLA) ตลาดเก็งภาพการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ที่ช่วยให้ความผันผวนกำไรระยะถัดไปลดต่ำลง กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC) รับภาพต่างชาติเพิ่มน้ำหนักลงทุนต่อเนื่อง ผสาน เก็งภาพก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูกาลจับจ่ายปลายปี กลุ่มถ่วง คือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTT, PTTEP) โรงไฟฟ้าจากแรงกดดัน Bond Yield รีบาวน์ และ เงินบาทอ่อนค่า ส่วนกลุ่มน้ำมัน เรามองตลาดขายทำกำไรหลังเก็งภาพ Supply ตั้งแต่เมื่อวานนี้ กลุ่มชิ้นส่วน (DELTA) จิตวิทยาลบแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯสหรัฐ
(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -89.2 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -10.2 ล้านเหรียญฯ TFEX Net long 14,587 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 33.56 +/- บาท
(+) Vayupak: กระแสเงินกองทุนวายุภักษ์ (VAYU1) เป็นภาพไหลเข้าต่อเนื่อง บ่งชี้นักลงทุนสถาบันซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องนับจาก 1 ต.ค. ที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ใหม่เริ่มเข้าลงทุนในตลาด เราพบว่า นักลงทุนสถาบันในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมา ซื้อหุ้นไทยมีนัยฯ ที่ 15.1 พันล้านบาท vs ก.ย. และ 9M24 ที่ขายสุทธิ -1.7 พันล้านบาท และ 2.3 พันล้านบาท ภาพดังกล่าวเริ่มสอดคล้องกับในอดีตช่วงที่ Vayupak เริ่มเข้ามาในตลาดหุ้น คือ 1 ธ.ค. 2003 Vayupak 1 เริ่มซื้อขาย SET Index นับจาก 1 ธ.ค. – จุด Peak (12 ม.ค.2004) หรือปรับขึ้นรวม 153 จุด +23% โดยกลุ่มนักลงทุนที่เป็นฝั่งหนุนให้ SET Index เส้นเหลือง ปรับขึ้นในรอบนั้น คือ ภายในประเทศ(นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิรวม 9.44 พันล้านบาท , นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิรวม 2.37 พันล้านบาท) โดยรวมหนุน KSS ประเมินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด (PER2024 17.1X EPS24 ที่ 90.0 ) แรงหนุนมาจากการเมืองภายในชัดหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2024 โต 2.4% และปี 2025 คาดโต 2.8-3.0% และ Key สำคัญคือปัจจุบันเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มเข้าตลาดวานนี้ ทำให้ประเมินในรอบนี้จะคล้ายกับในอดีตปี 2003 -2004 คือ กลุ่มนักลงทุนภายในประเทศ จะเป็นกลุ่มหลักที่จะหนุนหุ้นไทย นักลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นวางกลยุทธ์สะสมหุ้น Top Picks งวด 4Q24 ของเราใน 3 ธีมหลัก คือ
1.) Rate Cut Cycle Plays : GULF, GPSC, MTC
2.) New Government Policy Support : CPALL, BJC
3.) The Return of Domestic Long-term Funds (Vayupak+ThaiESG) : BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
(+) TH Tourism: นักท่องเที่ยวต่างชาติสัปดาห์ล่าสุด 30 ก.ย. – 6 ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น +7.8%w-w อยู่ที่ 6.38 แสนคน สูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ หนุน YTD สูง 26.6 ล้านคน เรามองกรอบทั้งปี 2024F ยังใกล้กับตลาดประเมิน 35.5-36 ล้านคน ช่วงที่เหลือของปี เรามองเร่งขึ้นได้จาก
การเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวต่อเนื่องยาวจากงวด 4Q24 – 1Q25
เริ่มเห็น Upside ของนักท่องเที่ยวจีน โดยปัจจุบันกำลังให้บริการต่อที่นั่ง ต่อ กม. (ASK) ของจีนเดินทางไปต่างประเทศ ณ 7 ต.ค. (หลัง Golden Week) แตะระดับ 75% ของ Pre-COVID ปรับเพิ่มมีนัยฯ 47%y-y
นอกจากนี้ ระดับกำลังให้บริการต่อที่นั่ง ต่อ กม. (ASK) ของจีนเดินทางมาไทย ณ 7 ต.ค. สูง 68% ของ Pre-COVID เทียบกับยอดนักท่องเที่ยวจีน 8M24 ที่อยู่เพียง 63% ยิ่งสะท้อนภาพชัดเจน
เชิงกลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้นท่องเที่ยว+ภาคบริการที่คาดฟื้นตัวเด่นช่วงฤดูกาลต่อเนื่อง เน้น AOT ERW CPALL ADVANC
(*/+) Stimulus: รมว. คลัง เตรียมนัดประชุมเตรียมพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รอบใหม่ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2024 ไปจนถึงปี 2025 เรามองมาตรการที่ออกมาได้เร่งด่วน น่าจะอยู่ที่การกระตุ้นภาคบริโภค ท่องเที่ยว และอสังหาฯ เป็นหลัก ส่วนอื่นๆที่เป็นไปได้ คือ การเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยรวม เรามองตลาดจะเริ่มคาดหวัง Upside ของหุ้น Domestic เน้นหุ้นที่เป็นตัวแทนเศรษฐกิจไทยก่อน อาทิ CPALL BJC AOT BBL KTB
(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. วานนี้ อนุมัติ ปรับหลักเกณฑ์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย อัตราเดียว 9,000 ต่อครัวเรือน ครอบคลุม ครอบคลุมครัวเรือนผู้ประสบภัย จำนวน 338,391 ครัวเรือน ทั้งหมด 57 จังหวัด ผสาน คาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือล่าสุดน่าจะคลี่คลายใน 7 วัน เชิงกลยุทธ์ แนะนำสะสมหุ้นได้ประโยชน์หลังน้ำท่วมต่อเนื่อง GLOBAL, HMPRO, TASCO, SCC
(*/-) Healthcare: รพ.เอกชน ลงชื่อเพิ่ม 70 แห่ง ออกจากการเป็นคู่สัญญาประกันสังคม ปี 2025 เรียกร้องปรับปรุงค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับปัจจุบัน ก่อนเซ็นสัญญาปลายปีนี้ เราประเมิน Overhang ของกลุ่ม รพ.ประกันสังคม เนื่องจากส่วนค่ารักษาที่เป็นประเด็นหลัก คือ ค่า Adjusted RW สำหรับโรคซับซ้อน ซึ่งตามเงื่อนไข ประกันสังคมจะต้องจ่าย RW ละ 12,000 บาท ทั้งนี้ ในช่วงปีหลังๆ พบว่าช่วงท้ายปี รพ.เอกชนมักไม่ได้รับในอัตราดังกล่าว ความคืบหน้าปัจจุบัน ในส่วนงวดปี 2024 ยังอยู่ในขั้นตอนรอหนังสือยืนยันจากประกันสังคม ส่วนปีถัดๆไป ยังต้องเจรจากันอีกครั้ง vs ความกังวลของตลาดที่อาจจะเกิดขึ้นหาก รพ.ประกันสังคมบางแห่งเลือกยุติบริการ แม้เราประเมินโอกาสเกิดต่ำมาก แต่หากเกิดขึ้นจะกระทบรายได้ระยะสั้นมีนัยฯ (หาผู้ป่วยปกติทดแทนไม่ทัน) ตัวเลือกระยะสั้นกลุ่ม รพ. เราให้เน้น BDMS เป็นหลักก่อน
(*) To Monitor: : สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม 7-15 ต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 56.5 จุด
Daily Strategy : GULF, BJC, TASCO เด่น
ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Up" แรงหนุนหลักมาจากกระแสข่าวสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ออกมาในทางที่มีโอกาสคลี่คลาย รวมถึงความเสี่ยงต่อราคาน้ำมันลดลง ทำให้ US Bond Yield ชะลอรีบาวน์ ส่วนเอเชียแม้จีนแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นภาพรวม แต่เรามองดีที่ยังย้ำภาพการกระตุ้นส่วนที่สร้างแรงกดดันเศรษฐกิจ คือ การบริโภคและอสังหา ส่วนภายใน แรงขับเคลื่อน คือ เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว+จับจ่ายปลายปี ขณะที่ลุ้นแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐฯที่ออกมาเพิ่มเติม กลุ่มหนุน คือ 1.) กลุ่ม Anti-Commodities (โรงไฟฟ้า สายการบิน วัสดุ) 2.) กลุ่ม Domestic (ค้าปลีก สื่อสาร ท่องเที่ยว เช่าซื้อ) และ 3.) หุ้น China Plays
หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT
กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA
หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)
• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL
• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA
Tactical & Investment Idea
Research Highlight
• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7
ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)
• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)
• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS
• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF
• Strategy Update : THB Appreciate
ค่าเงินบาท : เงินบาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องล่าสุด 32.9 บาท (แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน -4 บาทจากสิ้น 2Q24 หรือแข็งค่าราว 10%qtd ผลจาก 1.) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง 2.)Capital Inflow 3.)เศรษฐกิจภายในมีสัญญาณการฟิ้นตัว หลังการเมืองชัด KSS ประเมินแนวโน้มมีโอกาสแข็งค่าต่อ แนวรับสำคัญทางเทคนิคค่าเงินบาทที่ 32.55/32.186 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 33.17/ 33.34 บาท
ประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ กลุ่มการบิน AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) รองลงมาคือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM เพิ่มราว 13%, EGCO เพิ่มราว 8%, GULF และ GPSC เพิ่มราว 3-4% ตามลำดับ) กลุ่มเกษตร TVO เพิ่มราว 3% หุ้น Mid /Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ คือ MOSHI (นำเข้า 55% ของต้นทุน) KCG (50%) TAN (70%), SABINA (56%) โดยรวมทุกบริษัท ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร ตลาดในปี 2024F เพิ่มราว 1-1.5%. ฯลฯ กลุ่มที่กระทบจากเงินบาทแข็งค่าคือ กลุ่มส่งออก ชิ้นส่วน และ เกษตร มี Downside ราว -2.9%, -1.3% ตามลำดับ
กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และบวกต่อการลงทุน 4Q24 โดยยังคงเป้าดัชนี ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1,540 จุด แนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทแข็งค่า และได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Domestic play เน้น กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC กลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มเกษตรเน้น TVO กลุ่ม Mid Small เน้น MOSHI, TAN ICHI
• Strategy Update : Vayupak Plays
การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่
1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24
2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก
3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป
4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น
5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท
เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท
ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น
กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)
กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP
กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF
กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH
กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)
• Strategy Update : Data Center
กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP
มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)
Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE
• CPF (Buy, TP31): เรามีมุมมอง "Slightly positive" ต่อแนวโน้ม 3Q24F คาดเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี คาดกำไรปกติที่ 6,418 ลบ. (พลิกจากขาดทุน y-y, +15%q-q) คาดบันทึกมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพเพิ่มขึ้น +600 ลบ. จึงคาดกำไรสุทธิ 7,158 ลบ. (พลิกจากขาดทุน y-y, +3%q-q) ปัจจัยหนุนจากราคาหมูไทย/เวียดนาม ปริมาณการส่งออกไก่เพิ่ม ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง หนุน GPM เพิ่มขึ้น y-y, q-q และคาดส่วนแบ่งกำไร CTI เพิ่ม y-y, q-q เพราะราคาหมูจีนเพิ่มขึ้นโดดเด่น สำหรับโมเมนตั้ม 4Q24F คาดลดลง q-q ตามปัจจัยฤดูกาล คงคำแนะนำ BUY TP25F 31.00 บ. เลือกเป็น Top pick กลุ่มคู่กับ GFPT (TP25F 17.30บ.)
• TASCO (Buy, TP31): เรามีมุมมอง Positive ต่อคาดกำไรสุทธิ 3Q24F 654 ลบ. (+224% y-y, +560% q-q) จากตลาดในประเทศมีแรงส่งจากงบประมาณที่อั้นมา หนุนทั้งปริมาณขายและราคาขาย ขณะที่ ตลาดต่างประเทศดีจากราคาขายเป็นทิศทางขึ้น โดยเราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2024-25F ขึ้นเฉลี่ย 58% มาที่ 1.27 พันลบ. (-45%) และ 1.45 พันลบ. (+14%) แม้เป็นปีที่กำไรยังต่ำ แต่ภาพระยะสั้น 3Q-4Q24F ยังดี จากงบภาครัฐ เราปรับเพิ่มเป็น Trading Buy จาก TP25F 20.1 บาท (เดิม 17.6 บาท) อิง P/BV 1.8 เท่า (ค่าเฉลี่ย -0.7SD)
• Aviation (Bullish): เรามอง Positive ยอด นทท.สัปดาห์ที่ 40/24 ฟื้น +8% w-w เป็น 0.64 ล้านคน จากช่วงวันหยุด Golden week ประเทศจีนหนุยอด นทท.จีนฟื้นกว่า +34% w-w และเข้าสู่ช่วง High season ของตลาดระยะไกลยอด นทท.ฟื้น +11% w-w แนวโน้มสัปดาห์ถัดไปเราคาดยอด นทท.ชะลอลง w-w จากฐานสูงในสัปดาห์นี้ ส่วนราคาน้ำมัน (Jet Fuel) ปรับขึ้น +9% w-w จากความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางแต่ยังต่ำกว่าสมมติฐานเรา -12% ส่วนเงินบาทกลับมาอ่อนค่า +1.03 บาท/USD w-w คลายแรงกดดันต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวไทย
• LH (Neutral, TP6.5): มุมมอง negative ต่อ 3Q24F presale คาดที่ 4.9 พันลบ. (-12% y-y, +14% q-q) ถึงแม้โต q-q แต่มาจากการเปิด condo phase ใหม่ ในขณะที่เรากังวลต่อ presale ที่ยังลดลง y-y โดยเฉพาะกลุ่ม low-rise ที่ลดถึง -41% y-y สะท้อนการเสีย market share ที่มากต่อเนื่อง ทั้งนี้ 9M24F presale คาดที่ 14.8 พันลบ. (+3% y-y) คิดเป็น 48% ของเป้าปี 2024F ที่ 31.0 พันลบ. โดย KSS คาด presale ปี 2024F ที่เพียง 19.0-2020 พันลบ. ซึ่งต่ำกว่าปีก่อน (ที่ 23.0 พันลบ.) แนวโน้ม 3Q24F Norm. profit น่าจะต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และทำให้ประมาณการ Norm. profit 2024F ของทั้งเราและ consensus ปรับลงได้อีก ซึ่งเป็น downside ต่อราคาหุ้น ถึงแม้เราคง TP25F ที่ 6.5 บาท (แต่มีแนวโน้มปรับลง) แต่ปรับลดคำแนะนำลงเป็น Neutral มองราคาหุ้นยัง overhang ทั้งจาก 4Q24F-1H25F outlook ไม่ดี และแผนปรับกลยุทธ์ของ LH ยังไม่ชัดเจน แนะนำ "wait and see" จนกว่าสถานการณ์ presale เริ่มกลับมาดีค่อยกลับมาพิจารณาอีกครั้ง
4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point
Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO
Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA