Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

บล.กรุงศรี พัฒนสิน : KSS Daily Strategy

601

 

"Selective Plays"

KSS Daily Strategy : คาด SET วันนี้ "Sideways/Up" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1443/1438 จุด ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับฐาน S&P500 ปรับลง -0.96% กดดันหลักจาก US Bond Yield 10 ปี ปรับขึ้น +4 bps มาปิดที่ 4.02% เป็นการปรับสถานะไปตามมุมมอง Fed ที่น่าจะปรับลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot และไม่ได้ไวเท่าที่ตลาดคาด จาก 1.) เศรษฐกิจสหรัฐมีภาพสอดคล้องคาดการณ์ของ FED สิ้นปี 2024-2026 2%+/- และ 2.) ราคาน้ำมันวานนี้ขึ้นเฉลี่ย 3.7% จากความกังวลในตะวันออกกลาง(แม้ไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยฯ) ขณะที่ฝั่ง Asia วันนี้ จะมีภาพบวกการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนเพิ่มเติม และเชิญสื่อฯ รับฟังเป็นครั้งแรกตั้งแต่ 2015 ตลาดคาดหวังขนาดของมาตรการตั้งต้นราว 2-3 ล้านล้านหยวน (2-3% ของ GDP) ต่อยอดจากนโยบายอสังหาฯราว 4-5 แสนล้านหยวน และนโยบายการเงินช่วงก่อนหน้า ภายในยอดเบิกจ่ายงบลงทุนต้นปีงบ 2568 เร่งขึ้น, ท่องเที่ยวยังคึกคัก สถานการณ์น้ำท่วมค่อยๆ คลายเร็ว SET วันนี้จะผันผวนช่วงต้นก่อนฟื้นตัว คาดหุ้น China Plays หุ้น Domestic ที่ Defensive (สื่อสาร ร.พ.) หุ้นน้ำมัน และกลุ่มได้ประโยชน์น้ำท่วมคลายเด่น วันนี้แนะ BDMS, IVL, PTTEP เด่น

 

 

Daily outlook: "Sideways/Up" ต้าน 1460/1465 จุด รับ 1443/1438 จุด

What happened around the world ?

(*/-) US Stocks : ตลาดหุ้นสหรัฐพลิกปรับลงอีกครั้ง ความกังวลสถานการณ์สงครามตะวันออกกลาง และ US Bond Yields ปรับขึ้นหลังตัวเลขแรงงานแกร่ง กดดันหุ้นกลุ่ม Tech และ อิง Dow jones (-0.94%) , S&P500 -0.96%d-d Nasdaq -1.17%d-d โดยดัชนี S&P 500 Sectors ปรับลงเกือบทุก Sector ยกเว้น กลุ่ม Energy ที่ปรันำบขึ้น โดยกลุ่มที่แรับลงนำโดย Utilities, ICT, Consumer discretionary ฯลฯ ส่วนหุ้นที่เคลื่อนไหวเด่น กลุ่ม Tech พลิกปรับลงในทางเดียวกันหลังจากปรับขึ้นแรงวันก่อน อาทิ Meta -1.87%, Apple -2.2%,Microsoft -1.57%ฯลฯ สวนทางกับกลุ่ม Semiconductor ปรับขึ้นในทางเดียวกัน อาท NVDIA+2.24%, Super micro computer +15.7% และ Micro strategy +5.4% หนุนจากราคา Bitcoin ทะลุ 6.3 หมื่นเหรียญ

(*/+) US Recession : หลังตัวเลขแรงงานสหรัฐทั้ง Nonfarm pay rolls cและอัตรากการว่างงานเดือน ก.ย. ออกมาแข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์ ทำให้เริ่มเห็นกระแสการทยอยปรับลดโอกาสการเกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) 12 เดือนข้างหน้า อาทิ Goldman Sachs ลดลงเหลือ 15% (เดิม 20%) VS. Bloomberg ล่าสุด 30% (VS. ต้นปี 2024 คาด 50%) ระยะสั้ มองหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้ในสหรัฐจะเด่นจากภาพเศรษฐกิจแข็วแกร่ง เน้น IVL, BANPU, MALEE

(*/+) China ตลาดหุ้นจะกลับมาเปิดในวันนี้คาดมีโอกาสปรับขึ้น น หลัง Politburo ด้านเศรษฐกิจออกมาให้ความเห็นพร้อมเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหา KSS มองมีโอกาสวันนี้มีโอกาสที่รัฐบาลจะเปิดรายละเอียดมาตรการคลัง เพิ่มเติม มาตาการเงิน อาทิ การอัดฉีดเงินผ่านการออกพันธบัตรพิเศษระดับ 1.2 – 1.5 ล้านล้านหยวน ซึ่ง๖อาจจะคาดหวังได้ในช่วงการประชุมคณะกรรมการสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ที่จัดขึ้นทุกสองเดือน ภายในเดือนนี้ เป็นบวกต่อหุ้น China Play นำโดย SCC IVL , SCGP ,PTTGC ,HANA ,AOT, CPALL, AU

(*/+) Vietnam GDP : เวียดนามรายงาน GDP Growth 3Q24 +7.40%y-y ดีกว่าตลาดคาดที่ 6.1% หนุนจากการส่งออก +15.3% และการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม (VS. Consensus คาดGDP ทั้งปี 2024 GDP จะเติบโต 6.0% และ 6.5% ปี 2025 เติบโตดีที่สุดในอาเซียน โดยรวมมองเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้นเวียดนาม กลยุทธยังแนะนำ Slightly Overweight ตลาดหุ้นเวียดนาม และเลือกสะสมกองทุนหุ้นเวียดนามที่กรอบดัชนีระดับปัจจุบัน PRINCIPALVNEQ-A (VN Equity) และบวกต่อหุ้นที่ทำธุรกิจเชื่อมโยงเวียดนาม อาทิ SNNP

(*) China – Taiwan Tension : ประธานาธิบดีไล่ ชิงเต๋อ ผู้นำไต้หวัน จะกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันชาติครบรอบ 113 ปี 10 ต.ค. เจ้าหน้าที่ระดับสูงของไต้หวันเปิดเผยว่า มีแนวโน้มที่จีนจะเปิดฉากซ้อมรบใกล้เกาะไต้หวันในสัปดาห์นี้ มองเป็นเพียงจิตวิทยาลบระยะสั้นต่อตลาดหุ้นฝั่งเอเซีย้หนือหากสถานการณ์ไม่รุนแรง และจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มนิคม เน้น WHA, AMATA

(*/+) Foreign Upgrade : เราเริ่มเห็นกระแส Broker ต่างประเทศปรับคำแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย ได่แก่ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย รวมถึงไทย โดยให้เหตุผลหลักจาก Valuation ที่ยังไม่แพง ผสาน ความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ที่คาดทยอยส่งผลบวกเศรษฐกิจประเทศใกล้เคียงระยะถัดไป มองบวกต่อหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติและสถานบันในประเทศ

(*) To monitor : ฝั่งสหรัฐ 10 ต.ค. ติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI ก.ย. คาดเงินเฟ้อทั่วไป +2.3%y-y, +0.1%m-m vs prev. +2.5%y-y, +0.2%m-m, เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +3.1%y-y, +0.3%m-m vs prev. +3.2%y-y, +0.3%m-m ตามลำดับ, 11 ต.ค. ติดตามเงินเฟ้อ PPI ก.ย. คาด +2.4%y-y vs prev. 2.0%y-y 11 ต.ค. ติดตามรายงานดัชนีความเชื่อมั่น ม. มิชิแกน ต.ค. คาด 70.0 จุด vs prev. 70.1 จุด

(*) US Bond Yields & Dollar : Bond yield สหรัฐ ปรับขึ้นแรงและขึ้นต่อเป็นวันที่ 4 รับมุมมองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐจะลดน้อยกว่าเดิม หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐเมื่อวันศุกร์แกร่ง อายุ 2 ปี ปรับขึ้น +7 bps อยุ่ที่ 3.99% อายุ 10 ปี +4bps อยู่ที่ 4.02% (US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว) ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มประกันชีวิต BLA, TLI กลุ่มธนาคารBBL, KBANK, KTB ส่วน Dollar Index แข็งค่าต่อ 102.3

(*/+) Oil : น้ำมันดิบบวกต่อเป็นวันที่ 7 และบวกแรง อิง Brents +3.7%d-d ปิดที่ US$ 80.9/barrel. น้ำมันดิบ West Texas +3.71%d-d ปิดที่ US$ 77.1 /barrel แรงหนุนยังเป็นประเด็นเดิม คือ ความตึงเครียดสงครามในตะวันออกกลางอิหร่าน - อิสราเอล โดยรวมเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ อาทิ PTT, PTTEP

 

What happened in Thailand ?

(+) SET : SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7.95 จุด ปิดที่ 1452.2 จุด หนุนจากสัญญาณบวกภาคแรงงานสหรัฐฯ บ่งชี้เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ ขณะที่วงจรดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง หนุนภาวะลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงโลก กลุ่มหนุน คือ กลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC) CPALL มองภาพบวกผลสำรวจ NIDA ที่ระบุว่าส่วนใหญ่เงินที่ประชาชนได้รับการอุดหุนนนำไปใช้จ่ายสินค้าจำเป็น CRC มองจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นบริโภคที่รัฐฯส่งสัญญาณออกเพิ่มเติมช่วงปลายปี กลุ่มสื่อสาร (INTUCH, ADVANC) ปัจจัยบวกเดิม รับข่าวที่ประชุมผู้ถือหุ้น GULF และ INTUCH ลงมติให้ควบรวมกิจการเป็นธุรกิจใหม่ (NewCo) สร้าง Synergy ในอนาคต, INTUCH มีปันผลพิเศษให้ 4.50 บาท รวมกับปันผลปกติใน 2H24 อีก 2 บาท จะได้ปันผลรวมอย่างน้อย 6.5 บาท ให้ Dividend yield 6.8% กลุ่มถ่วงคือ กลุ่ม Property Fund & REITs (WHART, FTREIT, LPF) จาก US Bond Yield รีบาวน์แรง หลังภาคแรงงานดีกว่าคาด หนุนตลาดปรับมุมมองปรับลดดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม กลุ่มขนส่ง (AOT) จิตวิทยาภาคท่องเที่ยวโดยรวมเป็นลบ ทั้งสถานการณ์ตะวันออกกลางและน้ำท่วมในประเทศ

(*/-) Flows: กระแสเงินทุนต่างชาติวันทำการล่าสุดไหลออก ขายพันธบัตร -177.8 ล้านเหรียญฯ ขายหุ้น -34.8 ล้านเหรียญฯ TFEX Net long 4,820 สัญญา เงินบาทอ่อนค่า 33.48 +/- บาท

(+) Vayupak: กระแสเงินกองทุนวายุภักษ์ (VAYU1) เป็นภาพไหลเข้า บ่งชี้นักลงทุนสถาบันซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องนับจาก 1 ต.ค. ที่เม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์ใหม่เริ่มเข้าลงทุนในตลาด เราพบว่า นักลงทุนสถาบันในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมา ซื้อหุ้นไทยมีนัยฯ ที่ 14.9 พันล้านบาท vs ก.ย. และ 9M24 ที่ขายสุทธิ -1.7 พันล้านบาท และ 2.3 พันล้านบาท ภาพดังกล่าวเริ่มสอดคล้องกับในอดีตช่วงที่ Vayupak เริ่มเข้ามาในตลาดหุ้น คือ 1 ธ.ค. 2003 Vayupak 1 เริ่มซื้อขาย SET Index นับจาก 1 ธ.ค. – จุด Peak (12 ม.ค.2004) หรือปรับขึ้นรวม 153 จุด +23% โดยกลุ่มนักลงทุนที่เป็นฝั่งหนุนให้ SET Index เส้นเหลือง ปรับขึ้นในรอบนั้น คือ ภายในประเทศ(นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิรวม 9.44 พันล้านบาท , นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิรวม 2.37 พันล้านบาท) โดยรวมหนุน KSS ประเมินดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด (PER2024 17.1X EPS24 ที่ 90.0 ) แรงหนุนมาจากการเมืองภายในชัดหนุนการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2024 โต 2.4% และปี 2025 คาดโต 2.8-3.0% และ Key สำคัญคือปัจจุบันเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์เริ่มเข้าตลาดวานนี้ ทำให้ประเมินในรอบนี้จะคล้ายกับในอดีตปี 2003 -2004 คือ กลุ่มนักลงทุนภายในประเทศ จะเป็นกลุ่มหลักที่จะหนุนหุ้นไทย นักลงทุนระยะกลาง-ยาว เน้นวางกลยุทธ์สะสมหุ้น Top Picks งวด 4Q24 ของเราใน 3 ธีมหลัก คือ

1.) Rate Cut Cycle Plays : GULF, GPSC, MTC

2.) New Government Policy Support : CPALL, BJC

3.) The Return of Domestic Long-term Funds (Vayupak+ThaiESG) : BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

(*/+) Cabinet: ที่ประชุม ครม. วันนี้ คาดว่าจะมีการอนุมัติเงินสนับสนุนครัวเรือนที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเท่าๆกันทุกครัวเรือนที่ 9,000 บาท (เดิมแต่ละครัวเรือนไม่เท่ากัน) นอกจากนี้ คาดมีโอกาสพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ อสังหาฯ ท่องเที่ยว และ Mega Projects มองบวกต่อกลุ่มได้ประโยชน์จากการซ่อมแซ่ม อาทิ GLOBAL, DOHOME, HMPRO, DCC, TOA เน้น GLOBAL

(*/+) TH Tourism: สัญญาณนักท่องเที่ยวช่วง Golden Week เป็นบวก ยอดผู้ใช้บริการสนามบิน AOT ไปต่างประเทศ (ชี้นำนักท่องเที่ยวต่างชาติ) 1-5 ต.ค. สูง 89.4% ของ Pre COVID vs 9M24 ที่ 88.4% คาดช่วงที่เหลือของปีเร่งขึ้น ทั้งจากการเข้าสู่ฤดูกาลและผลบวก Wealth Effect จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน มองหุ้นท่องเที่ยวที่มีจิตวิทยาลบระยะสั้นจากเรื่องน้ำท่วม จ.เชียงใหม่ และสถานการณ์ตะวันออกกลางเป็นจังหวะสะสม เน้น AOT, ERW และหุ้นภาคบริการ CPALL, BJC, ADVANC

(*/+) Asean Economic Forum: นายกฯกล่าวเปิดงาน Asean Economic Forum วางเป้าหมายเศรษฐกิจอาเซียน เติบโตปีละ 4-5% ผ่านการขับเคลื่อน 4 ด้าน 1.) ชูจุดเด่นประชากรที่มาก 670 ล้านคน และจะปลดลดอุปสรรคความร่วมมือการลงทุน กฎระเบียบ ภาษี 2.) มีความปลอดภัยในการลงทุนจากสถานะประเทศที่มีความเป็นกลาง เน้น S Curve ใหม่ เช่น EV, AI, Data Center และ Semi-conductor ซึ่งในส่วนดังกล่าวมีบริษัทที่เข้าร่วมงาน โดยเฉพาะฝั่งเทคโนโลยีที่มองไทยมีศักยภาพอย่างมาก ทั้งยักษ์ใหญ่ที่ประกาศลงทุนไปแล้ว Google, Amazon และ ผู้ให้บริการที่อยู่ในระบบนิเวศน์ ADVANC, TRUE, GULF ทำให้คาดมีความต่อเนื่องของเม็ดเงินลงทุน 3.) เพิ่มความเชื่อมโยงเส้นทาง ทางถนน รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง การพัฒนาท่าเรือ และการผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ 4.) การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยรวมสัญญาณดังกล่าว เรามองจะความคืบหน้าเพิ่มเติมในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ลาวเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ระยะสั้น มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นเกี่ยวข้อง กลุ่มนิคม WHA, AMATA กลุ่มไฟฟ้า GULF, GPSC กลุ่มสื่อสาร ADVANC, TRUE กลุ่มรับเหมา CK กลุ่มที่มีศักยภาพคาร์บอนเครดิต อาทิ DITTO

(*/+) TH Budget Disbursement: สัญญาณการใช้จ่าย+ลงทุนภาครัฐฯ เริ่มชัดเจนขึ้นว่างวด 4Q24 น่าจะมีแรงหนุนที่มีนัยฯในรอบ 6 ไตรมาส หลังงบลงทุนปี 2568 ช่วง 4 วันแรก (1-4 ต.ค. 24) เบิกจ่ายเฉลี่ยวันละ 0.48% เร่งขึ้นจากปี 2567 ที่งบประมาณมีผล 30 เม.ย. และหลังจากนั้นเบิกจ่ายได้ราววันละ 0.3% (30 เม.ย. -30 ก.ย. 24) มองจิตวิทยาบวกต่อ SET ในด้านสัญญาณบวกต่อพัฒนาการเศรษฐกิจที่กำลังเข้ามาหนุน และกลุ่มได้ประโยชน์จากงบรัฐฯที่เบิกจ่ายเร่ง อาทิ ค้าปลีก CPALL, BJC, GLOBAL ธนาคาร KTB รับเหมา CK กลุ่ม Digital Tech Consult คือ BE8, BBIK (*/+) Flood Recovery: Flood Recover Play สถานการณ์น้ำท่วม จ.เชียงใหม่ในพื้นที่เศรษฐกิจหลัก อาทิ กาดเมืองเชียงใหม่, ไนท์บาซาร์, กาดหลวง, กาดเมืองใหม่ ทยอยปรับลดลงแล้ว ขณะที่กรณีความเสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่อื่นๆ ปัจจุบันเราให้น้ำหนักเฝ้าระวัง โดยเฉพาะภาคกลางพื้นที่รับน้ำถัดไป ปัจจุบันน้ำในระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำพื้นที่ภาคกลางอยู่ที่ระดับ 59% ถือเป็นระดับน้ำต่ำสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ และห่างจากระดับวิกฤติน้ำท่วมในปี 2011 โดย 6 ต.ค. 11 สูง 98% ผสาน ปัจจุบันอยู่ในช่วงปลายฤดูฝนแล้วมองเปิดโอกาสลงทุนหุ้นที่กระทบหรือมีจิตวิทยาลบ อาทิ AWC, AOT และกลุ่มได้ประโยชน์การซ่อมแซ่ม GLOBAL, TASCO, SCC

(*/+) TH CPI: เงินเฟ้อไทย เดือน ก.ย. 24 +0.61%%y-y ต่ำและดีกว่าที่ตลาดคาด +0.8%y-y, vs prev. +0.35%y-y ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของ ธปท. 1- 3% KSS ประเมินมุมมองโอกาสเห็น Downside Risk ของการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2024 ลง 1 ครั้ง (ทุกๆ การปรับลดดอกเบี้ยลง -25 bps มักหนุน SET ราว 50-60 จุด หากอิงตามกลไก Equity Risk Premium) แนะนำการลงทุนไปที่หุ้น Top Picks งวด 4Q24 ธีม Rate Cut Cycle Plays เน้น GULF , GPSC , MTC

(*) Retirement Lottery: รมช. คลัง ปิดเผยเกี่ยวกับความคืบหน้าโครงการสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ หวยเกษียณ ว่า ขณะนี้คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้เห็นชอบการแก้ไขร่าง พ.ร.บ. กองทุนการออมแห่งชาติ เบื้องต้นได้ปรับปรุงเงื่อนไขขยายสมาชิก กอช. ที่อายุผู้ซื้อเกินกว่า 60 ปีได้ (เดิม 15-60 ปี) ขณะที่ต้องถือบัญชีซื้อหวยเกษียณไว้ต่อเนื่อง 10ปี ถึงจะถอนเงินออกมาได้ ส่วนกลุ่มที่ให้ซื้อได้ยังกำหนดตามเดิม คือ สมาชิก กอช. ผู้ประกันตน มาตรา 40 และแรงงานนอกระบบ (ผู้ที่อายุไม่เกิน 60ปีต้องถือจนมีอายุครบ 60ปี) ทั้ง 2 กลุ่มซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน ยกเว้นหากถูกเงินรางวัลจะถอนได้ทันที ส่วนเงินต้นจะยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนตลอดระยะเวลาก่อนการเกษียณผ่าน กอช. การเพิ่มช่วงอายุเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมจากเดิมที่วางแผนจะออกสลากปีละ 260 ล้านใบ ใบละ 50 บาท เท่ากับ เม็ดเงินใหม่ปีละ 1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังต้องติดตามต่อว่าจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตวงเงินหรือไม่ ทั้งนี้ หากพิจารณาขยายวงเงิน อิงสินทรัพย์ที่ กอช. ลงทุนในปัจจุบัน ที่พบว่า ส่วนใหญ่ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ราว 10% ลงทุนในหุ้น อาจนำมาสู่เม็ดเงินลงทุนระยะยาวก้อนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย แนะนำติดตามประเด็นดังกล่าวต่อเนื่อง

(*/-) Gov Divestment: ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สคร. เตรีนมนำหุ้นที่ไม่จำเป็นคาดว่าจะมีหุ้นจำนวน 20 ตัวที่ต้องขายออก ซึ่งใกล้ได้ข้อสรุปแล้ว อยู่ที่วิธีการ โดย สคร.ได้จัดกลุ่มหุ้นเรียบร้อยแล้ว มองจิตวิทยาลบต่อหุ้นใน SET ที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น (ไม่รวมส่วนที่ถือผ่านกองทุนวายุภักษ์หรืออยู่ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจ) ปัจจุบัน KSS รวบรวมได้ ดังนี้ TTB, DMT, TFFIF, OR, BCP, MCOT, MFC, BEYOND, RPH, NEP กลยุทธ์ระยะสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงไปก่อน

(*) To Monitor: : สัปดาห์นี้ ปัจจัยภายในติดตาม 1. ) 7-15 ต.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ก.ย. 24 ไม่มีคาด vs prev. 56.5 จุด 2.) 8 ต.ค. นักท่องเที่ยวรายสัปดาห์คาดเด่นสอดคล้องกับยอดนักท่องเที่ยวจีนที่ทำ New High รายวัน ช่วง Golden Week

 

Daily Strategy : BDMS, IVL, PTTEP เด่น

ระยะสั้น วันนี้มองตลาดหุ้นไทย "Sideways/Up" แม้ช่วงเปิดตลาดอาจจะมีความผันผวน จากจิตวิทยาลบฝั่งสหรัฐฯ และความกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลาง แต่โดยรวมทางพื้นฐาน ไม่มีประเด็นใหม่ ขณะที่ฝั่งบวกขับเคลื่อนจากจีนที่คาดออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ผสาน ภายในมีสัญญาณที่ดีฝั่งพัฒนาการเศรษฐกิจ ทั้งการเบิกจ่ายงบลงทุนต้นปีงบ 2568 ดูเร่ง ขณะที่ท่องเที่ยวเริ่มคึกคัก โดยรวมมองหุ้นนำวันนี้ หุ้น China Plays หุ้น Domestic ที่มีความ Defensive (สื่อสาร ร.พ.) หุ้นน้ำมัน และกลุ่มได้ประโยชน์น้ำท่วมที่คลี่คลาย

หุ้นที่มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากกองทุนวายุภักษ์ที่กำลังจะกลับมา
กลุ่มที่ 1 หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง 2024 – 2025 ได้แก่ AOT, KTB, PTT

กลุ่มที่ 2 หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF มีโอกาสเป็นเป้าหมาย

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Theme ที่ 4 คือ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHA

หุ้นในธีมประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง Infrastructure Technology ของภูมิภาค (WHA, GULF, GPSC, STPI, LTS, DELTA ADVANC, TRUE, , INSET, BE8, BBIK)
กลุ่มที่ได้ประโยชน์เงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่มีหนี้สินต่างประเทศสูง + กลุ่มนำเข้าสินค้า/บริการ/วัตถุดิบ รวมถึงงบลงทุนที่ต้องใช้อุปกรณ์จากต่างประเทศ (GULF, GPSC, BA, COM7, SYNEX, ADVICE, BE8, BBIK, TAN, MOSHI)
หุ้นภาคบริการได้ประโยชน์มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มไวขึ้นของรัฐบาลใหม่ ผสาน ท่องเที่ยว การผลักดัน Entertainment Complex คาดเป็นนโยบายหลัก หนุน บริโภค ท่องเที่ยว โรงแรม ร.พ. (AOT, BTS, VGI, BJC, STEC, ERW, BA, MBK)
กลุ่มได้ประโยชน์จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ (IVL, SCGP, DOHOME, GLOBAL, AOT, AAV)
กลุ่มได้ประโยชน์ที่วงจรดอกเบี้ยพลิกเป็นขาลงนับจากปี 2024 (GULF, GPSC, BA, AAV, MTC, AEONTS, TRUE, MINT, CPALL, CPAXT)

• OCT24 Best Picks: ADVANC, CPALL, MTC, GPSC, BJC, AOT, IVL

• 4Q24 Stock Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

Tactical & Investment Idea

 

Research Highlight

 

• Strategy Update :SET50/100 Rebalance เก็งกำไร BANPU SAWAD และ COM7

ทีมกลยุทธ์ได้คำนวณหุ้นเข้า/ออก SET50-SET100 สำหรับรอบ 1H25 ก่อนที่ตลาดจะประกาศการคัดเลือกหุ้นเข้าออกรอบนี้ในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2024 และมีผลเริ่มใช้ 1 ม.ค. 2025 โดยสำหรับผลการคำนวนในรอบนี้ใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2023 – 30 ก.ย. 2024 (ยังเหลือข้อมูลราว 2 เดือน) ผลของการคาดการณ์น่าจะมีความใกล้เคียงในส่วนของ SET50 แต่อาจคาดเคลื่อนในส่วนของ SET100 ซึ่งคาดว่าบทวิเคราะห์ฉบับนี้จะช่วยให้นักลงทุนเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในดัชนี SET50 และ SET100 ล่วงหน้าได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

• หุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET50 รอบนี้มี 4 บริษัท คือ BANPU (โอกาสเข้า 90%), SAWAD (โอกาสเข้า 90%), COM7 (โอกาสเข้า 90%) และ TCAP (โอกาสเข้า 60%)

• หุ้นคาดว่าจะหลุด SET50 รอบนี้ 4 บริษัท คือ BCP (โอกาสหลุด 60%), TIDLOR (โอกาสหลุด 60%), CENTEL (โอกาสหลุด 90%) และ EA (โอกาสหลุด 100%)

• หุ้นที่คาดเข้า SET100 รอบนี้มี 3 บริษัท คือ CCET, COCOCO และ JTS

• หุ้นที่คาดว่าจะหลุด SET100 รอบนี้ 3 บริษัท คือ TIPH, MBK และ RBF

• Strategy Update : THB Appreciate

ค่าเงินบาท : เงินบาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องล่าสุด 32.9 บาท (แข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 ปี 8 เดือน -4 บาทจากสิ้น 2Q24 หรือแข็งค่าราว 10%qtd ผลจาก 1.) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ-ไทยที่มีแนวโน้มแคบลง 2.)Capital Inflow 3.)เศรษฐกิจภายในมีสัญญาณการฟิ้นตัว หลังการเมืองชัด KSS ประเมินแนวโน้มมีโอกาสแข็งค่าต่อ แนวรับสำคัญทางเทคนิคค่าเงินบาทที่ 32.55/32.186 บาท/ดอลลาร์ แนวต้าน 33.17/ 33.34 บาท

ประเมิน Sensitivity เงินบาทที่แข็งค่าทุกๆ 1 บาท กลุ่มที่มี Upside บวกต่อกำไร มากที่สุดคือ กลุ่มการบิน AAV ทุกๆ 1 บาท Upside 1 พันล้านบาท (54% ของกำไรปี 2024) รองลงมาคือกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM เพิ่มราว 13%, EGCO เพิ่มราว 8%, GULF และ GPSC เพิ่มราว 3-4% ตามลำดับ) กลุ่มเกษตร TVO เพิ่มราว 3% หุ้น Mid /Small Cap ที่เน้นกลุ่มนำเข้าจากต่างประเทศ คือ MOSHI (นำเข้า 55% ของต้นทุน) KCG (50%) TAN (70%), SABINA (56%) โดยรวมทุกบริษัท ทุกๆ 1% ของค่าเงินที่เปลี่ยนมีผลต่อกำไร ตลาดในปี 2024F เพิ่มราว 1-1.5%. ฯลฯ กลุ่มที่กระทบจากเงินบาทแข็งค่าคือ กลุ่มส่งออก ชิ้นส่วน และ เกษตร มี Downside ราว -2.9%, -1.3% ตามลำดับ

กลยุทธ์การลงทุน : ทิศทางเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า ประเมินเป็นจิตวิทยาบวกต่อ Fund Flow และบวกต่อการลงทุน 4Q24 โดยยังคงเป้าดัชนี ณ สิ้นปี 2024 ที่ระดับ 1,540 จุด แนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ค่าเงินบาทแข็งค่า และได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง กลุ่ม Domestic play เน้น กลุ่มโรงไฟฟ้า เน้น GULF, GPSC กลุ่มสายการบิน เน้น AAV กลุ่มเกษตรเน้น TVO กลุ่ม Mid Small เน้น MOSHI, TAN ICHI

• Strategy Update : Vayupak Plays

การแถลงข่าวการนำกองทุนวายุภักษ์วานนี้ KSS มองจุดน่าจะหนุนตลาดหุ้นต่อเนื่อง ได้แก่

1.) เม็ดเงินที่จะระดมทุนรอบนี้ 1.5 แสนล้านบาท จะเป็นเม็ดเงินใหม่ที่ทยอยลงทุนในตลาดนับจาก 1 ต.ค. 24

2.) กองทุน แม้สามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย แต่จะเน้นการลงทุนที่หุ้นไทยเป็นหลัก

3.) เม็ดเงินกองทุนที่จะเพิ่มขึ้น คาดจะเห็นการกระจายเม็ดการลงทุน เน้นลงทุนหุ้นที่มี ESG Score สูง เน้นหุ้นที่มี SET100 ได้เรทติ้ง ESG A ขึ้นไป, ต่ำกว่า SET100 ได้เรทติ้ง AA ขึ้นไป

4.) ข้อจำกัดของกองทุนบางส่วน อาทิ การลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของ NAV และกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งไม่เกิน 30% ของ NAV รวมถึงลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่งไม่เกิน 25% ของสิทธิ์ออกเสียง น่าจะทำให้โอกาสการเพิ่มเม็ดเงินใน PTT และ SCB จำกัดขึ้น

5.) กรอบผลตอบแทนวายุภักษ์ 3-9% น่าจะจูงใจเม็ดเงินใหม่ใกล้เป้าหมายระดมทุนที่ 1.5 แสนล้านบาท

เรามองบวกต่อความชัดเจนดังกล่าว มองเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาดในงวด 4Q24 มีนัยฯ โดยการลงทุนกองทุนวายุภักษ์ที่กระจายมากขึ้นสู่หุ้นที่มี ESG Score สูงๆ จะหนุนมีทั้งฝั่งวายุภักษ์ 1.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินการลงทุนลดหย่อนภาษีกองทุน ThaiESG ซึ่งเกณฑ์มีความจูงใจ (ลดหย่อนได้ 30% ของรายได้ วงเงินสูง 3.0 แสนล้านบาท แยกจากวงเงินลดหย่อนภาษีรูปแบบเดิม) จะได้รับความนิยมมากขึ้น โดยรวมมองเม็ดเงินลงทุนเร่งขึ้นในช่วง 4Q24 สูงถึงราว 1.7-1.8 แสนล้านบาท

ทิศทางดังกล่าวคาดจะหนุน SET เดินหน้าสู่เป้าหมายสิ้นปี 2024 ประเมินที่ 1540 จุด ประเมินจะตอบรับเชิงบวกคล้ายกับในอดีต 1 ธ.ค. 2003 ซึ่งกองทุน Vayupak เริ่มซื้อขาย SET Index ปรับขึ้นรวมราว 146 จุดหรือ +22.9% ในช่วง 30 พ.ย. 2003 - 12 ม.ค.2004 จุด Peak ในรอบนั้น

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำลงทุนหุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์และอยู่ใน ThaiESG ใน 5 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 หุ้นที่คลังถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีเติบโตดี 2024 – 2025 (AOT, KTB, PTT)

กลุ่มที่ 2 หุ้นอยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone การเติบโตดี CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCGP

กลุ่มที่ 3 หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงเติบโตดี อยู่ใน Theme Data Center ได้แก่ ADVANC, GULF

กลุ่มที่ 4 หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ Div Yield 2024-2025 สูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH

กลุ่มที่ 5 หุ้นที่ยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์น้อย ขณะที่เข้าเกณฑ์ ESG Score (ถ้าอยู่ใน SET100 เรทติ้ง A ขึ้นไป ต่ำกว่า SET100 AA ขึ้นไป การเติบโตปี 2024-25 เกณฑ์ดี CPALL CPAXT BDMS CRC HMPRO IVL MTC BJC WHAใน ThaiESG หุ้น (KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH)

• Strategy Update : Data Center

กระแสเทคโนโลยีสมัยใหม่ Cloud, AI และในอนาคตในส่วนระบบ Automation แม้ไทยอาจจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศต้นน้ำที่ได้ประโยชน์จากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาโดยตรง แต่กระแสหลักนี้ จะสร้างโอกาสให้ไทยช่วง 4-5 ปีนับจากนี้ ด้วยศักยภาพการเป็นศูนย์กลางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้านเทคโนโลยี กล่าวคือ Data Center ในไทย มีจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งเป็นศูนย์กลางภูมิภาค, ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ 4G 5G ที่ครอบคลุม ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติต่ำ และกระแสไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและมั่นคง ทำให้ไทยเป็นจุดสนใจ จากการขยาย Data Center จากสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางเดิมที่เริ่มมีข้อจำกัด จากการรวบรวมตัวเลข KSS ในส่วนเม็ดเงินลงทุน Data Center ที่มีโอกาสเกิดขี้นในประเทศหลักๆ เราประเมินปัจจุบันมีเม็ดเงินมหาศาลรอลงทุน Data Center ในไทยช่วง 4-5 ปีจากนี้ ไม่น้อยกว่า 2.0 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนสูงราว 1.1% ของมูลค่า GDP ประเทศไทยในปัจจุบัน โดยหากทยอยลงทุน 4-5 ปี เท่ากับผลบวกต่อ GDP ราว 0.2-0.25% ต่อปี ซึ่งยังไม่รวมการนำมาสู่ประโยชน์ด้านดิจิตอลต่างๆ อีกจำนวนมากต่อประเทศ ถือเป็นหนึ่งใน S Curve ใหม่ของไทย และ Upside ของเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาวที่เชื่อว่าตลาดยังแทบไม่รวมในประมาณการ GDP

มุมมองเชิงกลยุทธ์ ประเมินว่า Upside จากแรงขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ มีจุดเด่นสำคัญ คือ ปริมาณข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจะเติบโตแบบทวีคูณ (Exponential) ซึ่งน่าจะสร้างโอกาสทางธุรกิจสูงกว่าที่ตลาดคาดคิดไว้ และเป็น Thematic Theme ระยะกลาง-ยาว 1-5ปี KSS มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นที่อยู่ในระบบนิเวศน์ของ Data Center โดยฝั่ง Data Center เราแนะนำผู้ได้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานขยายตัวโดยตรง อาทิ GULF INTUCH ADVANC TRUE INSET DELTA STPI(Non-Coverage) กลุ่ม Digital Tech ที่ Data Center จะนำมาสู่ Upside งานประเภท Cloud Adoption และ AI รวมถึง Automation Adoption ระยะหนุนอุตสาหกรรมเข้าสู่รอบใหญ่ของการขยายตัวอีกครั้ง อาทิ BE8 BBIK ส่วนกระแส Cycle เทคโนโลยี AI ที่ผลักดันอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ พัฒนาให้มี AI พื้นฐานติดเครื่องมากขึ้น จะสร้างโอกาส ฟื้นตัวจากรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ตามกระแส AI เราคาดไม่ต่างไปจากยุค 3G 4G หนุนหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ HANA , ADVICE(Non-Coverage), SYNEX(Non-Coverage)

Best Picks : GULF, TRUE, DELTA, INSET, BE8, HANA, ADVICE

 

 

• CPAXT (Neutral, TP33): We resume coverage with NEUTRAL rating, TP Bt33. We previewed 3Q24 and expected core profit to increase 6% qoq to THB2.4b, underpinned by: 1) overall 2.5% SSSG and 2) the slight increase (+0.1ppt to 14.2%) gross margin as CPAXT improved its fresh food product mix to achieve higher gross margin. We also estimated that there could be THB300m in non-core items (largely consists of FX loss and expenses related to the amalgamation). Despite the relatively good earnings preview, we think the 30.8x FY25F P/E has priced in the good outlook. 9M24F core profit accounts for 64% of FY24F core profit estimate.

• BDMS (Buy, TP38): เรามอง Slightly positive ต่อ 3Q24F คาดกำไรสุทธิ 4,380 ลบ. (+13%y-y +31%q-q) เติบโตเป็นไตรมาสดีสุดของปี เนื่องจากมีปัจจัยบวกฤดูกาลต่อการใช้บริการทั้งชาวไทยและต่างชาติ ประกอบกับคาดมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น และได้สิทธิประโยชน์ BOI ช่วยลดอัตราภาษีจ่ายลง เราปรับกำไรสุทธิปี 24F-26F ขึ้นเล็กน้อย 0.2%-1% สะท้อนสมมติฐานอัตรภาษีจ่ายลดลงเหลือ 19% (เดิมคาดที่ 20%) โดยคาดปีนี้กำไรสุทธิเติบโต +10%y-y และคาดเติบโตต่อเนื่อง +12%CAGR 25F-26F นอกจากนี้ Valuation ของ BDMSอยู่ในโซนลงทุนได้จากซื้อขาย Forward PE 25F ที่ -1.0SD คงคำแนะนำ Buy และเลือกเป็นหุ้นเด่นกลุ่มฯ

• AEONTS (Neutral, TP140): เรามีมุมมอง slightly positive ต่อกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 822 ลบ. ดีกว่าเราและตลาดคาด +18% จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ดีกว่าคาด กำไรลดลง -2% y-y กดดันจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +57% q-q จากรับรู้กำไรจากการหนี้ NPL จำนวน 172 ลบ. อย่างไรก็ตามเราไม่ชอบ NPL Ratio เพิ่มขึ้นแรงที่ 5.79% จาก 1Q25 ที่ 5.39% ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้ Responsible Lending ทั้งนี้เรามองบวกกับ AEONTS มากขึ้น จาก i) ความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายสำรองลดลง เพราะ 2Q25 มีการตั้งสำรองล่วงหน้าเผื่อน้ำท่วมแล้ว 380 ลบ. ii) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ คาดจะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ iii) ประกาศจ่ายปันผล 1H25 ที่ 2.55 บ./หุ้น ( yield 1.8% ) ขึ้น XD วันที่ 18/10/2024 จ่ายวันที่ 06/11/2024

• Energy & Petrochemical Weekly (Neutral): ฝั่งต้นน้ำ (น้ำมันดิบ) +1% w-w ผันผวนขึ้นช่วงกลางสัปดาห์ก่อน ปัจจัยบวกกังวลสงครามในตะวันออกกลางรุนแรงและขยายวง คงมุมมอง ต.ค. 24 ราคาน้ำมันดิบผันผวน ผลักดันจากความกังวลความไม่แน่นอนของสงครามฯ ส่วนด้าน demand น้ำมัน ชะลอตามวันหยุดมากของจีน

ฝั่งโรงกลั่น ค่าการกลั่นสิงคโปร์ (SG GRM) -1% w-w ได้ gasoil spread +13% w-w จาก supply ไต้หวันและเกาหลีใต้ที่ลดลง ช่วยชดเชย spread gasoline -5% w-w ตามความต้องการใช้ของ U.S. -7% w-w คงมุมมองค่าการกลั่นฟื้น m-m ใน ต.ค. 24 ได้ความต้องการ re-stock รับฤดูหนาว และ supply ตึงตัวขึ้น หลังโรงกลั่นบางส่วนในภูมิภาคลด run จากอัตรากำไรที่ต่ำ

ฝั่งปิโตรเคมี ส่วนใหญ่ลดลง w-w ยกเว้นสายอะโรเมติกส์ i) สายโอเลฟินส์ -5-6% w-w ตลาดจีนปิด ในขณะที่ต้นทุน feedstock เพิ่มขึ้น ii) สายอะโรเมติกส์ PX spread +19% w-w trader ตุนสินค้าคาดหวัง demand จีนฟื้นหลังกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน iii) สายโพลีเอสเตอร์ (PET) integrated spread -14% w-w ต้นทุน feedstock เพิ่มขึ้นเร็วฉุดอัตากำไร คงมุมมอง ต.ค. 24 สายโอเลฟินส์มีแนวโน้มฟื้นตามการ re-stock/ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในจีน

ภาพสัปดาห์ ต้นน้ำมีแรงหนุนแต่คาดตลาดรับรู้ไปแล้ว ส่วนการฟื้นของอะโรเมติกส์คาดเป็นเพียงระยะสั้น เพราะ downstream ยังไม่ฟื้น คงมุมมองรอผ่านช่วง preview 3Q24F (กลางเดือน ต.ค. 24) ของกลุ่มโรงกลั่นไปก่อน ค่อยกลับมาเก็งกำไร 4Q24F ที่คาดค่าการกลั่นได้ winter season หนุน

 

4Q24F Equity Outlook : Thailand Inflection Point

Stock Best Picks : GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, AOT, KTB, ADVANC, HMPRO

Mid-Small Cap Play : BTS, MALEE, MOSHI, CHG, ERW, BA

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้