Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

PMC เคาะราคา IPO 1.82 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อช่วง 29 ส.ค. - 5 ก.ย. คาดเทรด mai วันที่ 11 ก.ย.นี้

543

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(28 สิงหาคม 2567)------“บมจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ หรือ PMC” เคาะราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 1.82 บาท เตรียมเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ SELIC ที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จองซื้อวันที่ 29-30 ส.ค., 2 ก.ย. และนักลงทุนทั่วไปจองซื้อวันที่ 3-5 ก.ย.นี้ มั่นใจนักลงทุนตอบรับดี จากปัจจัยพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ชูโอกาสการเติบโตและก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน ตอกย้ำ PMC เป็นผู้ผลิตสติ๊กเกอร์รายใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศไทย พร้อมนำเงินระดมทุนขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน คาดเทรด mai วันที่ 11 ก.ย. นี้ หมวดธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม (INDUS)

ทั้งนี้ บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 115.72 ล้านหุ้น คิดเป็น 30% ของจํานวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายอีก 5 ราย ประกอบด้วย บริษัท หลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย

นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เปิดเผยว่า บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่หุ้นละ 1.82 บาท จะเปิดให้ผู้ถือหุ้นของ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 34,715,000 หุ้น ในช่วงระหว่างวันที่ 29-30 สิงหาคม, 2 กันยายน และนักลงทุนทั่วไปวันที่ 3-5 กันยายน 2567 นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 11 กันยายน 2567 ในหมวดธุรกิจสินค้าอุตสาหกรรม (INDUS)

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 1.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Trailing 12-month P/E Ratio) เท่ากับ 12.18 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่ 0.1494 บาทต่อหุ้น ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ที่ 40.4 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 270,000,000 หุ้น (Pre-IPO Dilution) และคิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 17.40 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรต่อหุ้นที่ 0.1046 บาท หากพิจารณากำไรสุทธิต่อหุ้นที่คำนวณจากจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 385,715,000 หุ้น (Post-IPO Dilution หรือ Fully Diluted)

ทั้งนี้ PMC พิจารณานำ P/E ของคู่เทียบในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงระยะเวลา 12 เดือน มาเป็นข้อมูลประกอบการเปรียบเทียบ

อย่างไรก็ดี PMC เดินหน้าจัดงานโรดโชว์ นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ต่อนักลงทุนรายย่อย ชูปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ โดยจุดเด่นของ PMC เป็นบริษัทชั้นนำด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหารที่มาจาก SELIC มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจมากว่า 20 ปี และเป็นผู้ผลิตสติ๊กเกอร์รายใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศไทย

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถจำหน่ายสติ๊กเกอร์ได้รวมกว่า 57 ล้านตารางเมตร โดยเป็นการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณร้อยละ 66.5 และอีกร้อยละ 33.5 เป็นการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ และมีฐานลูกค้าที่มีรายการค้าต่อเนื่อง (Active Customers) กว่า 700 ราย ประกอบกับการได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์จากองค์กรต่างๆ ในระดับสากล ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ซึ่งได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงพิมพ์และผู้ผลิตฉลากสินค้า ให้ความไว้วางใจในคุณภาพสินค้า โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถแข่งขันได้ทั้งในเรื่องคุณภาพสินค้าและความคุ้มค่าของราคา สนับสนุนให้ผลประกอบการมีความแข็งแกร่ง รักษาความสามารถในการทำกำไรได้ต่อเนื่อง และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้ดี ภายหลังการ IPO ในครั้งนี้ มองว่าจะสนับสนุนโอกาสการเติบโตให้แก่บริษัทฯ ในอนาคต

นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PMC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์หรือฉลากกาวรายใหญ่ของประเทศ กล่าวว่าการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 210,601,300 บาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) เพื่อใช้ลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตใหม่ และชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน รวมถึงลงทุนขยายธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งรวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม สนับสนุนให้ PMC ก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่าในภูมิภาคอาเซียน

ปัจจุบัน PMC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สติ๊กเกอร์ (Sticker) หรือฉลากกาว (Self-Adhesive Label) รายใหญ่ของประเทศ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สติ๊กเกอร์กระดาษ สติ๊กเกอร์ฟิล์ม และสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษ โดยจัดจำหน่ายสติ๊กเกอร์ให้แก่ลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ PMC Label Materials PTE., Ltd. หรือ “PMCS” ในประเทศสิงคโปร์ และ PMC Label Materials (Malaysia) SDN. BHD. หรือ “PMCM” ในประเทศมาเลเซีย ในงวดครึ่งปีแรกมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศประมาณร้อยละ 70 ส่วนอีกร้อยละ 30 เป็นการจำหน่ายให้แก่ลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งมีกว่า 15 ประเทศทั่วโลก ฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม

นอกจากนี้ PMC มีโรงงานผลิตสินค้า 1 แห่ง ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งอยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อีก 110 ล้านตารางเมตรต่อปี จากปัจจุบันกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์อยู่ที่ 75 ล้านตารางเมตรต่อปี โดยสายการผลิตใหม่อยู่ระหว่างการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป ภายหลังจากที่สายการผลิตใหม่ติดตั้งแล้วเสร็จ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตสติ๊กเกอร์รวมทั้งสิ้น 185 ล้านตารางเมตรต่อปี ซึ่งถือเป็นกำลังการผลิตที่ใหญ่ที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ของผู้ประกอบการในประเทศไทย ช่วยปลดล็อคศักยภาพการผลิต รองรับการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายฉลากกาวในภูมิภาคอาเซียนต่อไป

โดย PMC เป็นบริษัทย่อยในสัดส่วนร้อยละ 100 ของบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ และเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกาวอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดย PMC ถือเป็นแกนหลัก (Flagship Company) ในกลุ่ม SELIC ที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสติ๊กเกอร์เปล่า ซึ่งเป็นวัตถุดิบต้นน้ำสำหรับการผลิตฉลากสินค้าและฉลากบรรจุภัณฑ์ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดการใช้งานได้ในอีกหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ด (Barcode) สติ๊กเกอร์ติดกระเป๋าเดินทาง (Luggage Tag) และฝาบิดบรรจุภัณฑ์ (Sealing Sticker) เป็นต้น

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2567 คือ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่อยู่ที่ 269,999,600 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบร้อยละ 100 และภายหลัง IPO สัดส่วนการถือหุ้นจะอยู่ที่ร้อยละ 70 โดยผู้ถือหุ้นของ SELIC ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 34,715,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 9% ในราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งมีจำนวน 81,000,000 หุ้น สัดส่วน 21% ราคาเดียวกันกับราคาที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) นั้น

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2567 รายได้จากการขายอยู่ที่ 432.1 ล้านบาท กำไรสุทธิ 24 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนรายได้จากการขายอยู่ที่ 420.6 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 1 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามราคาวัตถุดิบและอัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและทรงตัวอยู่ในระดับต่ำตลอดช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 ประกอบกับความสามารถของบริษัทฯ ในการเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Premium ซึ่งได้แก่ สติ๊กเกอร์ฟิล์มและสติ๊กเกอร์ชนิดพิเศษได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 824.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 17.4 ล้านบาท

 

 

LPP เตรียมพร้อมรับมือ ตั้งเครือข่ายพันธมิตรเฝ้าระวังเหตุน้ำท่วม บริหารจัดการความเสี่ยงให้ลูกบ้านผ่านศูนย์ปฏิบัติการ EOC

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(28 สิงหาคม 2567)------แอล พี พี จับตาเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในโครงการที่บริหารจัดการ ดึงศูนย์ ปฏิบัติการฯ EOC (Emergency Operations Center) ตั้งการ์ดรับมือเหตุฉุกเฉินผ่าน “โครงข่ายพันธมิตรบรรเทาน้ำท่วม” พร้อมเข้มมาตรการเชิงป้องกันในโครงการที่พักอาศัย เพื่อความสะดวกและปลอดภัยสูงสุดของผู้อยู่อาศัย

นายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ผู้นำในธุรกิจบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในเขตพื้นที่ทางภาคเหนือและมีสัญญาณที่จะไหลหลากลงมาภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานครนั้น LPP ได้วางมาตรการรับมือและดูแลโครงการในความรับผิดชอบ โดยจัดตั้ง “โครงข่ายพันธมิตรบรรเทาน้ำท่วม” (Flood Response Alliance Network) ขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือดูแลกันอย่างเร่งด่วน โดยได้เริ่มเตรียมการมาก่อนหน้านี้ ตามมาตรการ Preventive Maintenance หรือ การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน

ทั้งนี้ จากการรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยาที่ระบุว่าไทยเข้าสู่สภาวะ "ลานีญา" และจะต่อเนื่องไปถึงปี 2568 รวมถึงปรากฏการณ์น้ำทะเลหนุนเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือน มิถุนายน-พฤศจิกายน ที่อาจจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำฝนสะสมเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ LPP ปัดฝุ่น “โครงข่ายพันธมิตรบรรเทาน้ำท่วม” และปัจจุบันมีการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์เหตุอุทกภัยที่เริ่มมีน้ำสะสมในหลายจังหวัดทางตอนเหนือ ที่มวลน้ำมีโอกาสไหลหลากลงมาที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้พักอาศัยที่อยู่บริเวณใกล้เคียงหรือริมแม่น้ำได้ตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปก)

“โครงข่ายพันธมิตรบรรเทาน้ำท่วม” คือ การรวมกลุ่มโครงการที่อยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงน้ำท่วมเข้าด้วยกันโดยใช้หลักพื้นที่ใกล้เคียงจับกลุ่มเป็นพันธมิตรกัน เพื่อให้การสนับสนุนและช่วยเหลือในด้านอุปกรณ์รับมือเหตุน้ำท่วมระหว่างกันในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น เครื่องสูบน้ำ อุปกรณ์ปั๊มน้ำชนิดต่างๆ และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งถึงแม้ว่าแต่ละโครงการจะมีอุปกรณ์เหล่านี้จัดเก็บในความดูแลและพร้อมใช้งานแต่เพื่อรองรับสถานการณ์ปกติ หากเกิดกรณีเหตุน้ำท่วมฉับพลันหรือน้ำท่วมสูงก็อาจไม่เพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาได้ ซึ่งสมาชิกในเครือข่ายฯ จะสามารถยืมอุปกรณ์ระหว่างกันจากโครงการในโครงข่ายพันธมิตรฯ และจะได้รับความช่วยเหลือในทันที ไม่เสียเวลาในการจัดหาจัดซื้ออุปกรณ์และไม่กระทบต่องบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ รวมถึงไม่ต้องจัดหาสถานที่เก็บดูแลรักษาอุปกรณ์เพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกโครงการ โดย LPP จะเป็นศูนย์กลางในการประเมินและบริหารสถานการณ์ผ่าน ศูนย์ปฏิบัติการเหตุฉุกเฉิน (Emergency Operations Center - EOC) ให้เป็นจุดรับแจ้งเหตุ ประสานงานและส่งกำลังคนลงพื้นที่ช่วยเหลือทั้งโครงการที่บริหารและพื้นที่ใกล้เคียง ภายใน 24 ชั่วโมง รวมถึงการประสานกับพันธมิตรในโครงข่ายเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมหรือได้รับน้อยที่สุด

“LPP ได้กำหนดมาตรการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยทำการประเมินปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบในทุกโครงการภายใต้การบริหารจัดการ เพื่อเฝ้าระวังและรับมือภาวะน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งผลการสำรวจในเบื้องต้นพบว่ามีโครงการที่อยู่ในพื้นที่มีความเสี่ยงสูงจำนวน 13 โครงการ และมี 52 โครงการอยู่ในพื้นที่มีความเสี่ยงปานกลาง รวมจำนวนโครงการที่อยู่ในระดับความเสี่ยงต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น 65 โครงการ จากทั้งหมดกว่า 260 โครงการที่ LPP ดูแลและได้รับการประเมินความเสี่ยง โดยทีมวิศวกร ทีมผู้มีประสบการณ์การบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ตามมาตรการแต่ละโครงการ จึงได้กำหนดจัดตั้ง “โครงข่ายพันธมิตรบรรเทาน้ำท่วม” ขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาดังกล่าว”

“อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันโครงการที่ LPP ดูแลยังไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่เรายังคงให้การดูแลทุกโครงการอย่างเข้มงวดตามแนวปฏิบัติ Preventive Maintenance หรือ การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน โดยฝ่ายวิศวกรรมส่วนกลาง (Engineering Center) ทำการตรวจสอบพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อวางแผนสำหรับการป้องกันน้ำท่วม และตรวจสอบความพร้อมของระบบป้องกันต่างๆ อาทิ ปั๊มน้ำ เครื่องสูบน้ำ บำรุงรักษาระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์อื่นๆ ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ รวมถึงทีมสำรวจจะทำการการตรวจสอบระดับน้ำ ตรวจสอบพื้นที่จุดรับน้ำ และปัจจัยเสี่ยงของพื้นที่โดยรอบโครงการอย่างสม่ำเสมอ หากเกิดความผิดปกติหรือมีเหตุการณ์ฉุกเฉินก็จะสามารถรับมือและแก้ไขสถานกาณ์ได้ทันท่วงที ซึ่งจะสามารถลดความเสียหายให้แก่โครงการ รวมถึงการสื่อสารในช่องทางที่หลากหลายกับผู้จัดการอาคารเพื่อไม่ให้กระทบต่อการอยู่อาศัยภายในโครงการ ช่วยสร้างความมั่นใจ อุ่นใจ ตามแนวคิด Smooth Your Living ที่เรายึดปฏิบัติ” นายสุรวุฒิกล่าว

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้