สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (13 มิถุนายน 2567)----- บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) JKN เปิดเผยว่า ในฐานะผู้บริหารชั่วคราวตามคำสั่งศาล ขอเรียนชี้แจงว่า เนื่องจาก ในวันที่ 24 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 น. ณ ห้องเทวกรรมรังรักษ์ ชั้นที่ 2 สโมสรมหารบก เลขที่ 195ถนนวิภาวดี-รังสิต แขวง สามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร จะมีการจัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผนซึ่งบริษัทได้เสนอชื่อตนเองเข้าเป็นผู้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ทำแผนในที่ประชุมเจ้าหนี้ในวันดังกล่าวดังนั้น เพื่อให้เจ้าหนี้หุ้นกู้ของบริษัทมีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจเลือกผู้ทำแผน บริษัทในฐานะผู้เสนอชื่อเป็นผู้ทำแผน จึงได้จัดให้มีการประชุมเจ้าหนี้หุ้นกู้ในวันศุกร์ที่31 พฤษภาคม 2567เวลา 10.00 น. ณ โรงแรมเอเชียกรุงเทพห้องราชเทวีแกรนด์บอลรูม ชั้น 3เลขที่ 296 ถนนพญาไท แขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400เมื่อวันที่31 พฤษภาคม 2567 เพื่อพิจารณาตารางการชำระเงินคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งประกอบไปด้วยจำนวนเงินและวิธีการชำระเงินคืนที่ชัดเจน (Repayment Schedule) โดยนำเสนอแนวทางในการชำระคืนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้หากบริษัทได้รับเลือกให้เป็นผู้ทำแผน โดยมีรายละเอียด ซึ่งอาจสรุปได้ดังนี้
บริษัทในฐานะผู้ทำแผน วางแผนในการสร้างรายได้จากทรัพย์สินของบริษัทที่มีอยู่แล้ว เพื่อคืนเงินต้นให้กับเจ้าหนี้หุ้นกู้ภายใน 5 ปี โดยจะชำระเงินต้น 50% ภายในระยะเวลา 4 ปี และอีก 50% จะชำระคืนทั้งหมดภายในปีที่ 5พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1.7 ต่อปีชำระดอกเบี้ยปีละหนึ่งครั้งพร้อมกับเงินต้นในแต่ละปี โดยบริษัทคาดว่าแผนธุรกิจบริษัทที่จะนำมาระบุในแผนฟื้นฟูกิจการ จะจัดทำแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 และจะชำระงวดแรกภายในไตรมาสที่2 ของปี 2568
ทั้งนี้ สรุปประมาณการจำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะชำระคืนให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้ภายในกำหนดระยะเวลา 5 ปี มีรายละเอียดดังนี้
บริษัทขอเรียนว่า การชำระคืนหนี้ให้กับเจ้าหนี้หุ้นกู้ตามรายละเอียดข้างต้น เป็นการประมาณการบนสภาวการณ์ที่พิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้สูง ซึ่งสอดคล้องกับแผนและกลยุทธ์ในการสร้างรายได้ของบริษัทจากธุรกิจที่บริษัทประกอบกิจการอยู่ดังต่อไปนี้
การดำเนินงานตามแผนผลกลยุทธ์ 3 C กล่าวคือ การสร้างรายได้จากธุรกิจ Content, Commerce และContest
1. การสร้างรายได้จาก Contentการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้แก่ลูกค้าทั้งภายในประเทศ และลูกค้าในต่างประเทศท่ัวโลก โดยดำเนินการในลักษณะซื้อมาขายไป ซึ่งบริษัทมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจในลักษณะเช่นนี้มาอย่างยาวนานจนสามารถนำพาบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้
2. การสร้างรายได้จาก Commerceโดยการจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ “Anne Brand” ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้ากลุ่มสุขภาพและความงามและแบรนด์ “Miss Universe” ซึ่งสามารถต่อยอดได้หลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น สินค้ากลุ่มสุขภาพและความงามเครื่องสำอาง แฟชั่น เป็นต้น
3. การสร้างรายได้จาก Contest โดยรายได้ส่วนนี้จะประกอบไปด้วย 10 ประเภทรายได้ (BASIC 10) ได้แก่ 1) Franchise Fee รายได้จากค่าลิขสิทธิ์ในการจัดประกวดทเรียกเก็บจากแต่ละประเทศในการจัดประกวดนางงามเพื่อหาตัวแทนเข้าร่วมประกวด Miss Universe, 2) Hosting & Production Fee รายได้จากค่า License ที่เรียกเก็บจากประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดการประกวด และรายได้จากการรับจ้างผลิตงานประกวด 3) Sponsorship Fee รายได้ที่เกิดจากผู้สนับสนุนการจัดการประกวด 4) Licensing Fee รายได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ภายใต้แบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าต่างๆ ของ MUO 5) Merchandising Fee รายไดจ้ากการใหส้ิทธิ์ผลิตสินค้าหรือบรกิารภายใต้แบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าต่างๆ ของ MUO 6) Broadcast Fee รายได้จากการให้ License ในการเผยแพร่สัญญาณการจัดการประกวดในแต่ละประเทศ 7) Digital Incomeรายได้จาก Digital Platform ต่างๆ เช่นFacebook, Instagram, YouTube, TikTok, X (Twitter) 8) Talent Management fee (รายได้จากการบริหารจัดการงานจ้างและงานบันเทิงที่เป็นผู้ครองต าแหน่ง 9) Ticket Sales รายได้จากการจำหน่ายบัตรเข้าชมการประกวดทั้งงาน Event และ 10) Travel Packages รายได้จากการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนสำรองในหาแหล่งเงินทุนโดย Legacy Holding Group USA Inc มีความประสงค์เข้าลงทุนในบริษัท จำนวน 50,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเสริมสภาพคล่องและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการของบริษัท เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทเกิดรายได้ในการชำระคืนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนการชำระหนี้ของบริษัทตามรายละเอียดข้างต้น ซึ่งแผนสำรองดังกล่าวเป็นหนึ่งในแนวทางหาแหล่งเงินทุนจากบุคคลภายนอกตามแผนในการฟื้นฟูกิจการของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับการเข้าลงทุนกับคู่สัญญาและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ธุรกรรมการเข้าลงทุนดังกล่าวไม่จำต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เนื่องจากบริษัทอยู่ในระหว่างกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้บทบัญญัติของ พ.ร.บ. ล้มละลาย ซึ่งกำหนดให้ในระหว่างดำเนินการเพื่อตั้งผู้ทำแผน ให้ผู้บริหารของบริษัท (ลูกหนี้) เป็นผู้บริหารชั่วคราว และให้มีอำนาจหน้าที่จัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไปภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จนกว่าจะมีการตั้งผู้ทำแผน ตามมาตรา 90/20แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย