สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 23 กุมภาพันธ์ 2561)-------FPI คาดกำไรปี 61 โตสวย -รายได้พุ่งไม่ต่ำกว่า10% หลังออเดอร์เข้าต่อเนื่อง -รับรู้กำไรธุรกิจไฟฟ้าเต็มปีคาดโรงงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในอินเดีย เดินเครื่องราว มี.ค.61 ปีนี้เน้นเจาะตลาดที่มีมาร์จิ้นสูง ออสเตรเลีย- นิวซีแลนด์ - ยุโรป -อเมริกา ตั้งงบลงทุนราว 100 ลบ. เพื่อลงทุนR&D -ลงทุนแม่พิมพ์
นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยกับสำนักข่าวหุ้นอินไซด์ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 2561 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน และคาดว่าภาพรวมของกำไรสุทธิจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากปี2559 ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก แต่สถานการณ์ค่าเงินบาทในปีนี้ ประเมินว่าจะไม่แข็งค่าเหมือนในปีก่อน ซึ่งบริษัทยังจับตาความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาโดยการบริหารความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทฯ ยังเน้นทำ Forward ไว้ประมาณ 3 เดือน
"ในปี2560 สิ่งหนึ่งที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราคาดไว้ก็คือ เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน อัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวประเด็นหลักในปีที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยล็อค Forward อยู่มา 5 - 6 เดือน หลังๆคือเราไปขาดทุนเมื่อปี 2557 ที่ล็อคไว้ 31 มันขึ้นไป 33 ขาดทุน 2 บาทกว่า ตามบอร์ดเขาบอกไม่ควรจะล็อคยาว ควรจะล็อคประมาณสัก 2 - 3 เดือน ในปี2559 เราก็ล็อคเร็วกว่า 2 เดือน ก็ถือว่าดี ทำให้จาก 33 วิ่งไป 35 ก็ทำให้ได้กำไรมาตลอด ก็คือในปี 2559 เรา Break New high เลย จากกำไรขึ้นมา 287 ล้านบาท ก็คือธุรกิจก็ดี ได้กำไรเสริมจากตัวอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เราก็ใช้นโยบายเหมือนเดิม ล็อก 2 เดือน มาปี 2560 ก็เจ็บ เพราะจากล็อค 2 เดือน เลขจาก 36 ลงมาที่ 32 มันก็ลงมาแบบทุกสเต็ปที่ลงมา ทำให้ในปี 2560 Bottom line หายไปค่อนข้างจะเยอะ ตัว GP ,Net profit margin หายไปเยอะทีเดียว แต่รายได้ทุกอย่างโอเคตามเป้าที่เราคาดหมาย" นายสมพล กล่าว
ด้านออเดอร์จากการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ภายใต้ตราสินค้าของค่ายรถยนต์ต่าง ๆ (OEM) มีออเดอร์ใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าในแถบทวีปยุโรปและออสเตรเลีย อีกทั้งบริษัทยังมีออเดอร์ที่รับมาในปีก่อนค่อนข้างมาก ซึ่งจะมาส่งมอบในปีนี้ อาทิ โปรเจคของค่ายมาสด้าที่จะส่งมอบในเดือนนี้ (กุมภาพันธ์ 2561) ซึ่งเป็นโปรเจคค่อนข้างใหญ่ ถือว่ามีวอลุ่มค่อนข้างสูง รวมทั้งยังมีโปรเจคของ TOYOTA ,SEED ,Chrysler ,Mercedes benz รวมทั้งของค่ายยุโรป อาทิ Dacia กับ Renault ซึ่งมองว่างานในกลุ่มนี้จะเป็นตัวผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง
นายสมพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทฯ จะเน้นเจาะตลาดที่มีมาร์จิ้นสูง ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตลาดยุโรปและตลาดสหรัฐอเมริกา ส่วนตลาดในประเทศไทยจะเน้น Accessory ทุกค่ายที่มี Margin ขณะที่ After market บริษัทฯจะเริ่มเปิดโมเดลใหม่ๆ ในกลุ่มตลาดยุโรปมากขึ้น หลังจากเข้าไปเปิดตลาดในเกาหลีและญี่ปุ่นแล้ว
ปัจจุบันบริษัทฯ มีการส่งออก 137 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประเทศเชค รีพับบลิค เป็นประเทศล่าสุด โดยสัดส่วนรายได้ต่างประเทศอยู่ที่ 87% อีก 13% มาจากในประเทศ ซึ่งมีลูกค้าหลักคือ TOYOTA ,NISSAN ,MAZDA ,MITSUBISHI
"ล่าสุดที่เราได้มาประเทศที่ 137 คือประเทศเชค รีพับบลิค จริงๆส่งไปเชคนี่คือกลุ่ม Dacia ต้องบอกว่าเราเชคเป็นทั้งประเทศใหม่ เป็นทั้งลูกค้าใหม่นั้นคือ Dacia ซึ่ง Dacia เป็นโปรเจคที่ใหญ่ส่งไปที่เชค แต่เชคจะส่งรวบตะวันออกทั้งหมดเลย โรมาเนีย ,ฮังการี ,มองโกเลีย ฯลฯ สัดส่วนรายได้ 87% อยู่ที่ต่างประเทศ อีก 13% อยู่ที่เมืองไทย เพราะเมืองไทยมี TOYOTA ,NISSAN ,MAZDA ,MITSUBISHI" นายสมพล กล่าว
สำหรับแผนการใช้เงินลงทุนปี 2561 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินรองรับการขยายงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งปัจจุบันซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้วประมาณ 6 ไร่ เพื่อสร้างพื้นที่ R&D เข้าประมาณ 1 หมื่นตารางเมตร รวมถึงอีกส่วนหนึ่งจะนำมาลงทุนแม่พิมพ์
"ในปี 61 เราตั้งงบเรื่อง R&D ใหม่ เราซื้อที่เรียบร้อยตั้งแต่ปีที่แล้ว และก็มีของบตั้งแต่กลางปี แต่ที่เราจะใช้งบปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท โดยที่จ่ายเงินซื้อที่ไป 6 ไร่ ก็จะสร้างพื้นที่ R&D เข้ามาประมาณ 1 หมื่น ตารางเมตร ตรงนี้ก็จะสร้าง R&D ที่ขยายเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับกำลังผลิตที่จะเพิ่มขึ้นในปีถัดไป ในปี 62 จะเพิ่ม line sheet เข้าไปอีกส่วนหนึ่ง แต่ปีนี้จะเพิ่มตัวของแม่พิมพ์ R&D" นายสมพล กล่าว
ส่วนความคืบหน้าโรงงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศอินเดีย ยอมรับว่าดีเลย์ เนื่องจากติดปัญหาหลายอย่าง เช่นการขอไฟฟ้า รวมทั้งปัญหาอื่นๆ แต่ขณะนี้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว อยู่ในช่วงของการทดสอบระบบ คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ประมาณเดือน มีนาคม นี้
"โรงงงานที่อินเดียก็ถือว่าดีเลย์มาค่อนข้างจะยาวนะครับ จากปัญหาของอินเดีย กฎระเบียบต่างๆ การขอไฟฟ้า สายส่งต่างๆช้ามาก พึ่งได้ Complete จริงๆ ประมาณ กุมภาพันธ์นี้ ตอนนี้เราก็เริ่มส่งพนักงานไปเริ่มเทสกำลังผลิต เทสผลิตที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเดินเครื่องประมาณ 15 วัน ในช่วงเทสรัน คาดว่ามีนาคมที่จะถึงนี้จะได้เห็น" นายสมพล กล่าว
นายสมพล กล่าวต่อว่านอกจากธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ บริษัทยังมีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่จะเข้ามาสนับสนุนผลประกอบการในปีนี้ โดยมีการร่วมทุนภายใต้บริษัทบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด (SAFE) ซึ่ง FPI ร่วมทุนกับ บมจ.อีสต์ โคสท์ เฟอร์นิเทค (ECF) และนายคมวิทย์ บุญธำรงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี จำกัด โดยถือหุ้นฝ่ายละ 33.37% ปัจจุบันมีกำลังผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชีวมวล ในจ.นราธิวาส 7.5 เมกะวัตต์ ที่เดินเครื่อง COD แล้ว คาดจะมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาประมาณ 33 ล้านบาท และปีนี้จะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี
ขณะที่ยังมีการลงทุนในบริษัท บิน่า พูรี่ พาวเวอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวล ในจ.แพร่ 2 แห่ง รวม 2 เมกะวัตต์ (MW) โดยบริษัทถือหุ้น49% คาดว่าจะ COD แห่งแรกในต้นเดือนเมษายน 2561 ส่งผลให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมือแล้ว 9.5 เมกะวัตต์
"โรงไฟฟ้าที่นราธิวาส สร้างรายได้ขึ้นมาค่อนข้างจะโอเค รวมกับกำไรของ Q3 ก็ได้ประมาณ 21 ล้านบาท จากที่เรา Forecast ไว้เดือนละ 10 ล้านบาท รายได้ประมาณ 7 ล้านบาท ก็ถือว่าโอเค เพราะเป็นช่วงที่ Operation ช่วงต้นๆ ตาม Protection โรงนี้จะได้กำไรประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่ง 100 ล้านบาท ในปีที่เข้ามาเนี่ย จะมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามาประมาณ 33 ล้านบาท จากตัวโรงไฟฟ้าตรงนี้ และที่จังหวัดแพร่ ก็จะ CODในเดือน เมษายนนี้ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า 1 เมกะวัตต์ เราจะทำ 1 เมกะวัตต์ไปเรื่อยๆ และก็ตั้งใจว่าจะทำเป็น 10 เมกะวัตต์ ภายใน 2-3 ปีนี้ ก็จะได้ครบ 10 เมกะวัตต์ของตัว Gassification เงินทุนที่ใช้อยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ใกล้เคียงกับตัวของ Biomass เหมือนกัน แต่ต้องดูว่าราคาที่ขายมันได้ 5.84 บาท แล้วก็ดูว่ามีคู่แข่งเท่าไหร่ ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่ต้องบอกว่าบริหาร จัดการยากกว่า แต่ว่ามาร์จิ้นมันดีกว่า เผอิญว่าพันธมิตรของเราทาง ไพร์ซ ออฟ วู้ด กรีน เอนเนอร์จี เขาเชี่ยวชาญทางด้านนี้ นั่นคือจุดหนึ่งที่เราได้คนที่เชี่ยวชาญทางโรงไฟฟ้าขนาดเล็กๆ ระบบ Gas Engine ตรงนี้ก็เลยได้พาร์ทเนอร์ที่แข็ง เพราะที่ผ่านมาเราต้องบอกว่าเราโตกับพาร์ทเนอร์ดีกว่า เราไม่ได้ทำอะไรคนเดียว เราทำเป็นทีม ทำด้วยกัน" นายสมพล กล่าว
นายสมพล กล่าวทิ้งท้ายว่า กลยุทธ์ของ FPI ไม่ใช่เพียงเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งตลาด OEM และตลาด REM เท่านั้น แต่บริษัทยังมีการเข้าลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน รวมทั้งยังมองหาการ Synergy ธุรกิจร่วมกับพันธมิตร เพื่อสร้างการเติบโตให้บริษัทฯ อย่างยั่งยืนต่อไป
" ไม่อยากให้มอง FPI เป็นแค่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ แต่อยากให้มองว่าเป็นอะไรก็ได้ที่สามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทได้ เราค่อนข้าง Feasible เราทำเทรดดิ้ง และลงทุนในพลังงานต่างๆ นั่นคือสิ่งที่เรามอง FPI ต้องโต แต่ไม่ใชจากการผลิตไปเรื่อยๆ เพราะเป็นสิ่งที่เหนื่อย เพราะฉะนั้นในการโตที่หา Synergy หาพาร์ทเนอร์ ในการร่วมทุนต่างๆ นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่เรามองมากกว่า" นายสมพล กล่าว
อนึ่ง FPI รายงานผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 152.85 ล้านบาท และมีรายได้รวม 1.52 พันล้านบาท ขณะที่ปี 2559 บริษัทมีกำไรสุทธิ 285.67 ล้านบาท และมีรายได้รวม 2 พันล้านบาท
ทั้งนี้นายสมพล เปิดเผยว่า คาดจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด ) ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ เพื่อสรุปงบการเงินปี 2560 จากนั้นจะนำส่งงบการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
ณ เวลา 11.14 น. ราคาหุ้น FPI อยู่ที่ 4.24 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาท หรือ 1.44% มูลค่าการซื้อขาย 0.96 ล้านบาท