Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : KCG พร้อมเข้าเทรด SET วันแรก 3 ส.ค.ด้วยมาร์เก็ตแค็ป 4,632.50 ลบ.

1,907

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(2 สิงหาคม 2566)---------บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น หุ้นน้องใหม่ป้ายแดง โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “KCG” ประกาศความพร้อมเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม วันแรก 3 สิงหาคม 2566 ด้วยมาร์เก็ตแค็ป 4,632.50 ล้านบาท

 

สำหรับ KCG ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารที่หลากหลาย ทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม เช่น เนย ชีส ภายใต้แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อาทิ แบรนด์ “Allowrie” ซึ่งปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าดังกล่าวในประเทศไทย เมียนมาร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ ลาว สิงคโปร์ บรูไน มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้งยังผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรี่ น้ำผลไม้เข้มข้น คุกกี้ แครกเกอร์ และเวเฟอร์ ภายใต้แบรนด์หลักที่เป็นที่นิยม เช่น “Imperial” “DAIRYGOLD” “bake master” “SUNQUICK” “Cookie choice” “Rosy” และ “Violet”

 

นอกจากนี้ KCG ยังเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แบรนด์ “Arla” และ “Emmi” โดยสินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งการขายให้กลุ่มลูกค้าผู้บริโภคปลายทาง (Business to Customer หรือ B2C) การขายให้กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ (Business to Business หรือ B2B) และช่องทางส่งออก (Export)

 

ส่วนทุนชำระแล้วของ KCG หลังการเสนอขาย IPO 545 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 390 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) 155 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรกระหว่างวันที่ 20 – 21 และ 24 กรกฎาคม 2566 ในราคาหุ้นละ 8.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,317.50 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 4,632.50 ล้านบาท โดยราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 17.33 เท่า พิจารณาจากกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญหลังเสนอขาย (fully diluted) โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวงจำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

 

นายตง ธีระนุสรณ์กิจ ประธานกรรมการบริหาร KCG เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 64 ปี KCG ดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้ KCG เพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งขยายกำลังการผลิตตลอดจนการยกระดับ KCG Logistics Park หรือศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) ซึ่งเป็นคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและแบบครบวงจร เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันการขยายธุรกิจของ KCG ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย

 

นอกจากนี้ KCG ยังมุ่งสร้างการเติบโตทั้งในและต่างประเทศผ่านการร่วมทุน (Joint Venture) หรือการควบรวมกิจการ (M&A) โดยมุ่งเน้นในธุรกิจที่สามารถเสริมศักยภาพการเติบโตให้กับบริษัทฯ อาทิ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) เช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบไขมันนม ชีส น้ำมันปาล์ม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่คุณค่า (Supply Chain) เพิ่มความสามารถในการจัดหาและบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

 

KCG มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี ทั้งนี้บริษัทจะพิจารณาการจ่ายเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อผลประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นเป็นหลัก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ผลการดำเนินงาน และฐานะทางการเงินของบริษัทฯ กระแสเงินสด การสำรองเงินไว้เพื่อลงทุนในอนาคต การสำรองเงินไว้เพื่อจ่ายชำระคืนเงินกู้ยืม หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงิน ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทภายหลัง IPO ประกอบด้วย บริษัท กิมจั้ว กรุ๊ป จำกัด และกลุ่มผู้ก่อตั้ง ซึ่งถือหุ้นรวมกัน 71.56%

 

ดร.วาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ KCG กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของ KCG โดยบริษัทมีแผนขยายการลงทุนเพื่อยกระดับเทคโนโลยีการผลิต การสร้างศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแห่งใหม่ การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และอาหารสำเร็จรูปชั้นนำจากทั่วโลก ที่มีคุณภาพรายใหญ่ของประเทศไทย ผ่านการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับรสชาติอาหารอย่างมีคุณภาพ ตลอดจนการจัดหาวัตถุดิบและคัดสรรแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

ทั้งนี้ บริษัท ได้วางกรอบการลงทุนระหว่างปี 2566 - 2567 โดยจะขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ชีส และเนยเพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี และ 23,261 ตันต่อปีตามลำดับ พร้อมก่อสร้าง และพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park เพื่อรองรับการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการ การจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า KCG ได้ขายหุ้น IPO จำนวน 155 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 8.50 บาท ในช่วงระหว่างวันที่ 20-24 ก.ค.2566 ซึ่งนักลงทุนให้การตอบรับที่ดี สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และความเชื่อมั่นในศักยภาพการสร้างความเติบโตในอนาคต

 


/////จบ////

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้