Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

(จบ) HotNews: ระวัง SET เดือนแห่งความรักพักฐาน

717

 
 
 
 (จบ) HotNews:  ระวัง SET
 เดือนแห่งความรักพักฐาน


บทวิเคราะห์ บมจ.หลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  หลังจากที่ SET ปรับตัวขึ้นแรงในเดือนมกราคม เรามองว่าเหลืออัพไซด์จำกัดเมื่อเทียบกับดัชนีเป้าหมายในกรณีฐานของเราในปี 2561ที่ 1,850 และเมื่อบวกกับสัญญาณว่ากระแสการลงทุนโลกที่อยู่ในโหมด risk-on กำลังแผ่วลง อย่างเช่นการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐขยับสูงขึ้น และราคาน้ำมันเริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัว เราจึงมองว่า SETกำลังจะเข้าสู่ช่วงที่เราเรียกว่า bull-market correction โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งแรกของเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะเดียวกันโมเดลพีอีแบนด์ของเราก็ชี้ว่า ความเสี่ยงทางลงของดัชนีในกรณีฐานอยู่ที่ประมาณ 1,800(P/E เฉลี่ยระยะยาว -0.25SD) และในกรณีเลวร้ายที่สุดอยู่ที่ประมาณ 1,770 (P/E เฉลี่ยระยะยาว -0.50SD) ซึ่งถือว่าความเสี่ยงไม่มากนัก เราคาดว่า SET น่าจะฟื้นตัวได้ในครึ่งหลังของเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากi) ตัวเลข GDP ไตรมาส 4/2560 ของไทยที่น่าจะแข็งแกร่ง และทำให้เกิดการปรับเพิ่มประมาณการ GDP อีกระลอก และ ii) มีโอกาสสูงที่ สนช. จะเห็นชอบพรบ. EEC ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์
"เราปรับธีมการลงทุนในหุ้นเดือนกุมภาพันธ์เพื่อให้สอดคล้องกับมุมมองตลาดว่า SET Index อาจจะพักฐานหรือปรับลดลงบ้าง เราได้ลดจำนวนหุ้น big caps ลงจากเดือนมกราคมและหันมาเน้นหุ้นขนาดกลางหรือ mid capsในธีมการลงทุนเช่นหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/2560 แข็งแกร่ง และโตต่อได้ในปี 2561, หุ้นมีประเด็นบวกเชิงเศรษฐกิจมหภาค และหุ้นที่เงินปันผลระหว่างกาลน่าสนใจ สรุปหุ้นเด่นเดือนนี้ได้แก่AMATA*, BEAUTY*, COM7*, GLOW, IRPC*, LH*, ORI* และ WHA* (เรายังไม่จัดทำบทวิเคราะห์พื้นฐานหุ้น BEAUTY, COM7 และ ORI - คำแนะนำดังกล่าวได้จัดทำโดยนักกลยุทธ์)"บทวิเคราะห์ระบุ


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส  ออกบทวิเคราะห์หลักทรัพย์  แม้ว่าสถิติตลาดหุ้นเตือน ก.พ. จะสดใส โดยย้อนหลังไป10ปี มีเพียง2ปีที่ปรับลงและปรับลงเพียง 1.0 - 1.4%  M- M แต่เราคาดว่าเดือน ก.พ. ปีนี้มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับพักฐาน เหตุผลเพียงเพราะว่า SET Index ปรับขึ้นมาติดต่อกันถึง 6 เดือนแล้ว การปรับขึ้นมาเร็วเกินไปหมายความว่านักลงทุนได้ตอบรับปัจจัยบวกไปพอสมควร  การปรับฐานในเดือนนี้จะไม่รุนแรง  เป็นการพักฐานในรอบขาขึ้น  เพราะทิศทางเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังสดใส และมีการประกาศจ่ายปันผลของ บจ.เป็นตัวประคองดัชนี เราคงยัง SET Target ปีนี้ที่ 1,900 จุด ซึ่งอาจได้เห็นก่อนสิ้นปี การอ่อนตัวจึงเป็นโอกาสในการสะสม
เดือนมกราคมที่ผ่านมา  SET  ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องและสามารถทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ทะลุขึ้นมายืนเหนือ 1,800 จุด สำหรับแนวโน้มตลาดเดือนกุมภาพันธ์ เราเชื่อว่ามีโอกาสที่ SET จะแกร่งพักฐานระยะสั้นหลังจากการปรับตัวขึ้นมาค่อนรวดเร็วราว 7-8 % ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่  Indicator ของภาพรายวันเริ่มส่งสัญญาณ  Bearish Divergence ให้เห็น เราประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,805-1,840 จุด
ปรับฐานขึ้นต่อ 
แม้ว่าสถิติหุ้นเดือน ก.พ. จะสดใส โดยย้อนหลังไป 10 ปี มีเพียง2ปีที่ปรับลดลง และปรับลดลงเพียง 1.0-1.4%  M- M แต่เราคาดว่าเดือน ก.พ. ปีนี้มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับพักฐาน เหตุผลเพียงเพราะว่า SET Index ปรับขึ้นมาติดต่อกันถึง 6 เดือนแล้ว การปรับขึ้นมาเร็วเกินไปหมายความว่า  นักลงทุนได้ตอบรับปัจจัยไปพอสมควร การปรับฐานในเดือนนี้จะไม่รุนแรง  เป็นการพักฐานในรอบขาขึ้น เพราะทิศทางเศรษฐกิจโลกและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังสดใส และมีการประกาศจ่ายปันผลของบ.จ. เป็นตัวประคองดัชนี เรายัง SET Target ปีนี้ที่ 1,900 จุด  ซึ่งอาจได้เห็นก่อนสิ้นปี การอ่อนตัวจึงเป็นโอกาสในการสะสมทุน หุ้นเดือนนี้แนะนำ  AMATA , BBL , BCH,  MGT , SAPPE

ผิดที่ขึ้นมาเร็ว
แม้ว่าสถิติหุ้นเดือน ก.พ. จะสดใส โดยย้อนหลังไป 10 ปี มีเพียง2ปีที่ปรับลดลง และปรับลดลงเพียง 1.0-1.4%  M- M แต่เราคาดว่าเดือน ก.พ. ปีนี้มีโอกาสสูงที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับพักฐาน เหตุผลเพียงเพราะว่า SET Index ปรับขึ้นมาติดต่อกันถึง 6 เดือนแล้ว การปรับมาเร็วเกินไปหมายความว่า นักลงทุนได้ตอบรับปัจจัยบวก (การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลประกอบการของ บจ. ) ไปพอสมควร  ประกอบกับในเดือนนี้เป็นแห่งการทยอยประกาศผลประกอบการ 2017 ซึ่งต้องทำให้ตลาดต้องหันมาพิจารณาว่าดีอย่างที่คาดการณ์หรือไม่ และควรปรับมุมอย่างไรต่อไป โดยปกติหลังจากประกาศผลประกอบการ หุ้นมักถูก sell on Fact  ในระยะสั้นๆ แต่เราไม่คาดว่าตลาดหุ้นจะพักฐานรุนแรงแม้ว่า PE ปัจจุบันจะไม่ถูกก็ตาม เพราะมุมมองในระยะยาวยังสดใส และบจ.จะประกาศจ่ายเงินปันผลในรอบนี้ด้วย

  ค่าเงินบาทมีโอกาสจะกลับข้างตลอดเวลา
แม้ว่ากระแสเงินทุนจากต่างประเทศจะไหลเข้าไทยเป็นจำนวนมากในช่วงต้นปี โดยเข้าตลาดตราสารหนี้เป็นหลัก จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค  ณ ระดับปัจจุบัน 31 บาท/ดอลล่าร์  เริ่มส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการส่งออกแล้ว และเชื่อว่าไม่ใช่ระดับที่ ธปท. สบายใจนัก ค่าเงินบาทรอบนี้แข็งค่ายาวนานกว่า 1 ปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น  และเราเชื่อว่ายังโอกาสที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าทั้งไตรมาสแรกนี้ เพียงแต่ในระยะสั้นมีโอกาสกลับข้างได้ตลอดเวลา ซึ่งจะกระตุ้นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ

เศรษฐกิจในประเทสมีโมเมนตัมเติบโตดีต่อเนื่อง
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2017 ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก แต่หลักๆยังขับเคลื่อนด้วยการส่งออกและภาคท่องเที่ยงตลอดทั้งปี โดยการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 9.9 % ในปีที่ผ่านมาขยายตัวดีในเกือบทุกตลาดและเกือบทุกหมวดสินค้า ส่วนภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในเกือบทุกสัญชาติโดยเฉพาะจีนและรัสเซียที่เพิ่มต่อเนื่อง  สำหรับการจับจ่ายใช้สอย เริ่มฟื้นแบบกระจายตัวมากขึ้นตั้งแต่ Q317  และในช่วงปลายปีได้รายกระตุ้นจากมาตรการช๊อปช่วยชาติ การส่งออกและการจ่ายที่ดีขึ้น ทำให้ภาคการผลิตสินค้าดีขึ้นตามไปด้วย แต่เนื่องจากผู้ประกอบการบางส่วนยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็มกำลัง  จึงยังไม่เห็นการลงทุยขยายกำลังการผลิตมากนัก การลงทุนภาคเอกชนที่ฟื้นตัวส่วนใหญ่ อยู่ในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากขึ้นกว่าหลายปีที่ผ่านมา    ทั้งนี้ ธปท. คาดเศรษฐกิจปี 2017 มีแนวโน้มขยายตัว  4 %  ส่วนปี 2018 คาดโต 3.9 %   ได้แรงส่งใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกโตชะลอลงเพราะฐานสูงในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ด้วยเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง FSS คาดว่ามีโอกาสเห็นเศรษฐกิจปี 2018 ขยายตัวมากกว่า 4 %  โดยเราคาด + 4.3 % ในปีนี้

ความเสี่ยงหลักในเดือนนี้อยู่ที่ต่างประเทศ 
การพุ่งตัวของ Bond yield ของรัฐบาลสหรัฐในช่วงปลายเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการถือครองหุ้นหรือสินทรัพย์เสี่ยงลดลง ( เพราะต้องหาผลตอบแทนจากหุ้น / สินทรัพย์เสี่ยงให่ได้มากกว่าผลตอบแทนจาก Bond เข้าไปอีก ซึ่งหายากมากขึ้น  ณ จุดนี้ ) แนวโน้ม Bond  yield ของสหรัฐมีโอกาสปรับขึ้นอีกในระยะนี้ตามการคาดการณ์ว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในปีนี้ในช่วงกลางเดือน มี.ค.
นอกจากนี้ การขึ้นมาของนายโรเจอ พาวเรล แทนตำแหน่งนางเยนเรล ที่จะครบวาระต้นเดือน ก.พ. นี้ แม้ว่าจะไม่ทำให้นโยบายการเงินของ Fed ที่ดำเนินมาต้องเปลี่ยนไป แต่ตลาดหุ้นโลก น่าจะยังสงวนท่าทีรอดูความเห็นของประธานเฟดคนใหม่ในที่ต่างๆก่อน

TOP 5 FAVORITE STOCKS

บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)  AMATA 
ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 30 บาท จากการปรับ PE ขึ้น ยังคงแนะนำซื้อ 
ในปี 2018 เราคาดรายได้ + 15.3 %  Y - Y กำไรปกติ + 17.9 %  Y - Y  เป็น 1,893 ล้านบาท จาก Backlog ของที่ดินที่เตรียมโอนเกือบ 2  พันล้านบาท ในส่วนของการที่ดิน ผู้บริหารตั้งเป้า 925 ไร่  (ในประมาณการของเราอิง 800 ไร่ ) และโรงงานอมตะ บี กริม เพาเวอร์ ( ระยอง ) 3-5 ที่ AMATA ร่วมลงทุนจะทยอย COD อีก 270 MW   เราขยับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 30 บาท  จาก 27 บาท โดยปรับ PE ขึ้นเป็น 17 เท่าจาก 15 เท่า เพื่อให้ PEG เท่ากับ 1 เท่าใกล้เคียงกับเฉลี่ย 6 ปีที่ผ่านมาที่ 1.2 เท่า ยังแนะนำซื้อ

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)BBL 
คงคำแนะนำ  ซื้อ   ราคาเหมาะสมปี 2018 ที่ 244 บาท
เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2018 ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท ( +12 % Y - Y ) โดยปัจจัยสำคัญของผลกำไรในปี 2018  เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมหลังการร่วมเป็นพันธมิตรกับ  AI A  ผลักดันธุรกิจ  Bancassurance  ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจเอื้อต่อการเจริญเติบโตของภาคการลงทุนและสินเชื่อเอกชน เราคาดว่า BBL จะได้ประโยชน์สูงสุด คงคำแนะนำ  ซื้อ  และคงราคาเหมาะสมปี 2018 ที่ 244 บาท
 

บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)BCH
ยังเป็น TOP PICK ของกลุ่ม
ราคาหุ้นของ BCH เกิดการปรับฐานค่อนข้างแรง โดยปรับตัวลงราว 10 % จากจุดสูงสุดช่วงปลายปีที่ผ่านมา  ขณะที่แนวโน้มกำไรคาดว่ายังคงเป็นขาขึ้นและจะกลับมาทำระดับสูงสุดใหม่ได้อีกครั้งในปีนี้  เราจึงยังมองเป็นโอกาสในการเข้า  " ซื้อ " โดยยังคงราคาเหมาะสมที่  18.30 บาท ( DCF WACC 6.59 %   Teminal Growth 3 % )  และยังเป็นหนึ่งใน TOP PICK ของกลุ่มการแพทย์


  บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)MGT 
Downside  จำกัด จาก  Vauation  ที่ถูกมาก แนะนำ " ซื้อ "
ที่ราคาปัจจุบันของ  MGT  มีความน่าสนใจในเชิง Valuation อย่างมากเพราะคิดเป็น PE2018  เพียง 16 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มซื้อขายเคมีภัณฑ์ในไทยที่ 20 เท่า และ MegaChem  สิงคโปร์ที่ 25 เท่า และเมื่อคิดเป็น PEG  อิงการเติบโตของกำไรต่อหุ้นในปี 2019-2021 ที่ 18 % ต่อปี จะอยู่ที่  0.9 เท่า ขณะที่การปรับกลยุทธ์ ทางธุรกิจเป็นเชิงรุก ทั้งการเพิ่มทีมขายและช่องทางการจัดจำหน่ายจะเห็นผลชัดเจนในปีหน้า เรายังคงคำแนะนำซื้อ โดยผลจากการปรับประมาณการ ทำให้ได้เป้าหมายปี 2018  ตามหลักความระมัดระวังที่  3.00 บาท  อิง  PE Multiplier  ที่ 20 เท่า 


  บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) SAPPE
คาดกำไรจะกลับมาเติบโตในปี 2018
เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 จะอยู่ที่ 413 ล้านบาท ทำได้เพียงทรงตัวจากปีก่อนหน้า  แต่คาดกำไรจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ในปี 2018  จากทั้งการฟื้นตัวของการขายในประเทศ  ( ตามการฟื้นตัวของกำลังซื้อ และมีแผนออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ) และการขายส่งออก ที่น่าจะได้เห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากการรุกตลาดใหม่ๆ รวมถึงตลาดเดิมที่มีศักยภาพ ซึ่งจากช่วยหนุนการใช้กำลังการผลิตให้สูงขึ้น  และจะเป็นบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงการคาดเห็นการเติบโตในธุรกิจ All Coco แม้ส่วนแบ่งกำไรจะยังไม่สูงขึ้นจนกระทบภาพรวมของผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างน้อยได้พลิกฟื้นจากที่ขาดทุนแล้ว และถือเป็นธุรกิจที่แนวโน้มการเติบโตที่ดี  ล่าสุดได้เปิดร้านเฟรนไชส์สาขาแรกที่สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา  เราคาดกำไรสุทธิปี 2018  จะเติบโตราว 22.6 %  Y-Y เป็น 506 ล้านบาท และคงราคาเป้าหมายที่ 38 บาท ( อิง PE เดิม  23 เท่า ) ส่วนผลกระทบจากราคาน้ำตาลในประเทศที่จะปรับตัวลดลง  บริษัทจะยังไม่ได้รับผลบวกทันที เพราะยังมีสัญญาซื้อน้ำตาลล่วงหน้าอยู่  น่าจะได้เห็นผลบวกในระยะถัดไปราวปลาย  2Q18  - 3Q18



---จบ--- 


 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้