Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : ZIGA-INSET นำโด่ง กำไรปี64 ออลไทม์ไฮ

8,135

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(18 กุมภาพันธ์ 2565)---INSET ปิดงบปี 64 โตแรงไม่สนโควิด! กำไรสุทธิพุ่งแตะ 170.54 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่ อานิสงส์ส่งมอบงานโครงข่ายโทรคมนาคม รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ 5G หนุน บิ๊กบอส "ศักดิ์บวร พุกกะณะสุต" มั่นใจปี 65 ผลงานออลไทม์ไฮต่อเนื่อง วางเป้ารายได้โต 15-20% รับดีมานด์ Data Center พุ่ง เนื่องจากมีความต้องเก็บข้อมูลบน Cloud เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โชว์ Backlog แน่นกว่า 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ถึงปี 68 เผยปีนี้เตรียมร่วมประมูลงานใหม่ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท จ่อคว้าเพิ่มหลายโปรเจค หนุนผลงานโตเด่น

 

 

นายศักดิ์บวร พุกกะณะสุต กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) (INSET) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 170.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.05 ล้านบาท หรือ 25.87% เทียบปีที่ผ่านมามีกำไรสุทธิ 135.49 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่จัดตั้งบริษัทฯ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งมอบงานโครงข่ายโทรคมนาคมรองรับ (5G) เพิ่มขึ้น เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่ ทำให้ประชาชนที่ทำงานเวิร์คฟอร์มโฮม (Work from home) ต้องการใช้ Cloud เพิ่มสูงขึ้น และผู้ประกอบการหรือองค์การต่างๆ มีความต้องการที่จะลงทุนขยาย Data Center กันมากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.17 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 มีนาคม 2565 กำหนดจ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2565

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-20% จากปีก่อน ผลักดันรายได้และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่มีราว 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2568 ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้กว่า 1,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีรายได้ประจำ (Recurring Income) ที่จะมีการรับรู้รายได้ต่อเนื่องประมาณ 200 ล้านบาท

กรรมการผู้จัดการ INSET กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทฯยังคงเดินหน้าเข้าร่วมประมูลโครงการภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงานด้านการสร้างศูนย์ Data Center ที่มีความต้องการใช้งานมากขึ้นซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) ในงาน Data Center ในโครงการ EEC Data Center เพื่อรองรับการใช้งาน Data และคลาวด์ที่สูงมากขึ้น และอยู่ระหว่างรองานประมูลไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ในปีนี้ และโอกาสได้งานอีกหลายโครงการ ผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ตามแผนงานที่วางไว้

 

 

ด้าน บมจ.ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) โชว์กำไรปี64 พุ่งทะยานแตะ 204.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.49% จากงวดเดียวกันปีก่อนทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ผลสำเร็จจากการหาตลาด niche market รุกขยายช่องทางออนไลน์ ขณะที่ธุรกิจเหล็กสำหรับโครงสร้างโรงเรือนเพาะกัญชา-กัญชง สร้างรายได้เพิ่ม ฟากซีอีโอ "ศุภกิจ งามจิตรเจริญ" ระบุปี 65 ก้าวสู่ยุคทรานฟอร์มจากธุรกิจเหล็กเป็นเทคโนโลยีทุกมิติ เดินหน้าลุยขยายเหมืองขุดบิคอยน์เพิ่ม หลังเริ่มรับรู้รายได้จากเครื่องขุดชุดแรกที่ติดตั้งปลายปี 64 จำนวน 100 เครื่อง มูลค่า 6 แสนบาทแล้ว หวังช่วยผลักดันรายได้กำไรโตทะยาน

 

นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ ZIGA เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 204.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.49% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 117.7 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้จากการขาย 1,141.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.3% จากงวดเดียวกันปีก่อนมีรายได้รวมเท่ากับ 972.9 ล้านบาท

โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มกลุ่ม niche market โรงเรือนกัญชา กัญชง และ การขายให้กับกลุ่มลูกค้าท่อร้อยสายไฟ DAIWA ขณะเดียวกันได้รุกขยายเพิ่มช่องทางการขายช่องทาง Online

"ในปี2564 บริษัทฯสามารถรักษาการเติบโตในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง และความสามารถในการทำกำไร ยังคงทำสถิติสูงสุดประวัติการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2563 จาก 65,000 ตัน เป็น 110,000 ตัน ทำให้ช่วยในเรื่องการประหยัดต้นทุนได้เป็นอย่างดี และมีการออกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ตลอดจนการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าสู่ระบบออนไลน์และการทำระบบ Franchise "ZIGA FC" ซึ่งผลตอบรับที่ดีมาก อีกทั้งยังมีการรุกขยายสู่ธุรกิจใหม่ โรงเรือนเพาะปลูกกัญชา กัญชง สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และมีสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง" นายศุภกิจกล่าว

สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในทุกมิติ ทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ และเชื่อว่าจะเป็นปีแห่งการก้าวเข้าสู่การทรานฟอร์ม จากธุรกิจเหล็กไปเป็นธุรกิจเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะการเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับ Cryptocurrency ซึ่งปัจจุบันได้เข้าไปการลงทุนในธุรกิจ bitcoin mining ผ่านบริษัทย่อยอย่าง บริษัท ซิก้า เอฟซี จำกัด ล่าสุดมีการสั่งซื้อเครื่องขุดบิทคอยน์อีก จำนวน 200 เครื่อง เป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท จากที่มีเครื่องขุดอยู่แล้ว 200 เครื่อง โดยได้สั่งซื้อไปเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 และคาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และหากการติดตั้งเครื่องขุดบิตคอยน์เป็นไปตามแผนบริษัทฯคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากเครื่องขุดทั้งหมด 400 เครื่องภายในไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไป

"จากที่ลงทุนเครื่องขุดเหมืองบิตคอยน์ชุดแรกเมื่อปลายปี 2564 จำนวน 100 เครื่อง ตอนนี้สามารถสร้างรายได้กว่า 6 แสนบาทแล้ว และมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ในปี 2565 นี้ เพราะมีจำนวนเครื่องขุดเพิ่มขึ้น ก็น่าจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรมากขึ้นด้วย"

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีความพร้อมในด้านแหล่งเงินทุนรองรับการรุกขยายธุรกิจใหม่ เนื่องจากได้ขออนุมัติวงเงินในการออกหุ้นกู้ในวงเงินล่วงหน้าไว้ที่ระดับ 4,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการแบ่งทยอยออกหุ้นเป็นชุดในมูลค่าที่ไม่สูง ตามวงเงินที่จำเป็นต้องการใช้ในแต่ละโครงการ

 ขณะที่ นางสาววราลักษณ์ งามจิตรเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน)ZIGA เปิดเผยว่าตามสรุปแบบ 246-2 ประจ าวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งว่า นายสมพงษ์ ศิลป์ สมบูรณ์ ได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”)ซึ่งเป็นรายการได้มา เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็นร้อยละ 12.3485 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ


อย่างไรก็ดี บริษัทฯขอชี้แจงเพิ่มเติมว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นเดิม ได้แก่ ครอบครัว งามจิตรเจริญ ครอบครัว ตรีมุทธาพงศ์และบริษัท ดีงาม โฮลดิ้ง จำกัด ยังคงรักษาสัดส่วนคือ 44.229% ซึ่งเป็นสัดส่วนผู้ถือหุ้นสูงสุด บริษัทฯยังคงดำเนินงานตามแผนธุรกิจเดิม โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ดังกล่าวข้างต้นไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงาน โครงสร้างการจัดการของบริษัท ฯโดยนักลงทุนรายดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์การครอบงำกิจการตามมาตรา 247 ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. 2535 ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของการถือหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นนี้พอสรุปได้ดังนี้


 

 

 

ฟาก THG ประกาศผลการดำเนินงานปี 2564 สุดหรู กวาดรายได้รวม 10,848 ล้านบาท ดันกำไรทะยาน 1,337 ล้านบาท เติบโตและฟื้นตัวอย่างมั่นคง ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.90 บาทต่อหุ้น คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2565 ดีขึ้นต่อเนื่อง Digital Platform เข้ามามีบทบาทในการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น

นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้นำธุรกิจดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรและบริการที่มีคุณภาพด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ภายใต้แนวคิด "ดูแลคุณในทุกช่วงชีวิต" (Lifetime Health Guardian For All) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2564 ว่า ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่บริษัทฯ ปรับตัวรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจและพฤติกรรมลูกค้าในกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ได้ดี โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.3% จากปี 2563 ซึ่งทำได้ 7,315 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตที่ 1,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,056.5% จากปี 2563 ที่ทำได้ 62 ล้านบาท

"แม้การระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลได้รับผลกระทบจากที่คนไข้บางส่วนลดการเข้าใช้บริการและคนไข้จากต่างประเทศไม่สามารถเดินทางเข้ามารับการรักษาได้ แต่ THG ก็ปรับกลยุทธ์ธุรกิจได้รวดเร็วสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงภายใต้มาตรฐานการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมเพื่อสร้างรายได้ทดแทน อาทิ การเปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 แบบเต็มรูปแบบที่โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง ร่วมมือกับองค์กรภาครัฐเพื่อเปิดโรงพยาบาลเฉพาะกิจ และร่วมกับโรงแรมเอกชนเพื่อเปิดให้บริการ Hospitel รวมถึงเปิดให้บริการฉีดวัคซีนทั้งของภาครัฐและวัคซีนทางเลือก ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจให้บริการทางการแพทย์สามารถทำรายได้ถึง 10,415 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 50.7% จาก 6,913 ล้านบาทในปีก่อนหน้า โดยคิดเป็นรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 อยู่ที่ 30.8 % และด้วยความสามารถในการควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายได้ดี จึงส่งผลให้รายได้และกำไรเกิดการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ" นายแพทย์ธนาธิป กล่าว

นอกจากนี้ในปี 2564 บริษัทฯ ยังเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง เน้นธุรกิจที่มีส่วนร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนในสังคม อาทิ การผนึกความร่วมมือกับ KBTG และ Joy เปิดตัว THG HyCar รถรับส่งปลอดโควิด-19 เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยในการเดินทางแก่ประชาชน การจัดตั้งบริษัท ธนบุรี คานาบิซ จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมวิจัยพัฒนามาตรฐานกัญชงเพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ เป็นต้น

ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจปี 2565 บริษัทฯ ยังคงให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ครบวงจรทั้งการป้องกันและรักษา ให้บริการฉีดวัคซีนทางเลือกและวัคซีนจากภาครัฐ ดูแลคนไข้ใน Hospitel และโรงพยาบาลสนาม 3แห่ง ส่วนโรงพยาบาลใหม่ที่ลงทุนช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีผลประกอบการดีขึ้น โดยเฉพาะโรงพยาบาล ธนบุรี บำรุงเมือง คาดว่าจะเริ่มมีกำไร หลังปรับแผนดึงดูดกลุ่มลูกค้าคนไทยมากขึ้น โดยเพิ่มขีดความสามารถด้วยการเปิดศูนย์ wellness รวมถึงให้บริการห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) ดูแลสุขภาพผู้ป่วยหลังติดโควิด-19 ทั้งยังมีแผนขยายการลงทุนเกี่ยวกับโรงพยาบาลผู้สูงอายุเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทยอย่างสมบูรณ์ในปี 2565 และการแสวงหาโอกาสการร่วมทุนและ/หรือการซื้อกิจการ

นอกจากนี้จะนำ Digital Platform เข้ามามีบทบาทในการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ อาทิ Telemedicine ที่จะพัฒนาให้ตอบสนองผู้ป่วยโรคเฉพาะทางมากขึ้น และอยู่ระหว่างศึกษาพัฒนา Health Blockchain สำหรับจัดเก็บข้อมูลสุขภาพคนไข้เชื่อมโยงอีโคซิสเต็มด้านสุขภาพ โดยปีนี้คาดจะได้เห็นความคืบหน้าใหม่ๆ ต่อเนื่อง

"ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจของ THG นอกจากการสร้างผลกำไรตอบแทนผู้ถือหุ้นแล้ว ยังมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมดูแลยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในมิติต่างๆ ควบคู่กันอยู่เสมอ โดยยึดมั่นบนหลัก "จริยธรรมพลเมือง" (Code of Conduct) อันเป็นแนวทางที่กลุ่มผู้ก่อตั้งได้ปลูกฝังมาตลอด 46 ปี เพื่อให้บริษัทฯ สามารถเติบโตควบคู่กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนได้อย่างยั่งยืน" นายแพทย์ธนาธิป กล่าวเสริม

ทั้งนี้ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.90 บาท รวมเป็นเงิน 762.72 ล้านบาท คิดเป็น 81.8% ของกําไรสุทธิ โดยการจ่ายเงินปันผลดังกล่าวได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ดังนี้ 1) การจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (1 มกราคม 2564 - 30 กันยายน 2564) ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 338.99 ล้านบาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 และกำหนดจ่ายเงินวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 2) การจ่ายเงินปันผลที่เหลือได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 423.73 ล้านบาท กำหนดจ่ายเงินวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลครั้งนี้ จะต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจําปี 2565 ในวันที่ 28 เมษายน 2565 เวลา 14.00 น. ณ นันทอุทยานสโมสร (ตรงข้ามโรงพยาบาลธนบุรี)

 

ส่อง SVI โชว์ฟอร์มสุดฮอตทำผลงานปี 64 มีรายได้รวม 17,400 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ขยายตัว 13.9% กำไรสุทธิ 1,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% หนุนกำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มเป็น 0.65 บาท ด้านบอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผล 0.23 บาทต่อหุ้นตอบแทนผู้ถือหุ้น ประกาศปี 65 ตั้งเป้ารายได้ 24,000 ล้านบาท รับแผนเชิงกลยุทธ์มุ่งขยายกำลังการผลิตป้อนความต้องการลูกค้า

นายกริช ลี้ถาวร ผู้บริหารด้านการเงิน (Corporate M&A Executive) บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 (ตุลาคม-ธันวาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,696 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% และทำกำไรสุทธิ 574 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 463% หากเทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่มีรายได้รวม 3,698 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตก้าวกระโดด และช่วยผลักดันผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 ของ SVI สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ โดยทำรายได้รวมสูงถึง 17,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9% และมีกำไรสุทธิ 1,408 ล้านบาท เติบโตถึง 105% เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานทั้งปี 2563 ที่มีรายได้รวม 15,282 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 686 ล้านบาท

ความสำเร็จของการดำเนินงานครั้งนี้ มาจากแผนยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของ SVI ที่มุ่งขยายตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ในอุตสาหกรรม 5G เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G หรือ Optical transceiver กล้องวงจรปิดที่รองรับเทคโนโลยีAI ป้ายราคาอัจฉริยะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะและขนส่งสาธารณะ เป็นต้น ซึ่งความต้องการในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเติบโตสูงมากในตลาดโลกส่งผลให้ SVI มียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน SVI ยังบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนในการจัดซื้อวัตถุดิบที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงเจรจาปรับราคาสินค้ากับคู่ค้าได้ ทำให้อัตรากำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มเป็น 8.1% จากปีก่อนอยู่ที่ 4.5% และมีอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพิ่มเป็น 0.65 บาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อนอยู่ที่ 0.30 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 (มกราคม-ธันวาคม) ในอัตรา 0.23 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 495 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคมนี้

นายกริช กล่าวว่า การดำเนินงานปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตรายได้ 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยมีแผนการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพฐานการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่ต้องการให้ฐานการผลิตในกัมพูชาและไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าที่มีวอลุ่มสูงในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ ป้อนความต้องการในภาคอุตสาหกรรม 5G รองรับแผนขยายตลาดไปยังประเทศสหรัฐฯ เพิ่มเติม จึงลงทุนเพิ่มพื้นที่ฐานการผลิตที่โรงงานประเทศกัมพูชาเป็น 35,000 ตารางเมตรจากเดิมที่มี 10,000 ตารางเมตร ขณะที่ฐานการผลิตที่ประเทศสโลวาเกีย จะเพิ่มพื้นที่การผลิตเป็น 11,000 ตารางเมตร จากเดิม 6,500 ตารางเมตร รองรับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์อัจฉริยะในภาคพื้นยุโรป

ขณะเดียวกัน ยังมุ่งบริหารจัดการด้านต้นทุนและซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขาดแคลนชิปอิเล็กทรอนิคส์ที่เป็นแรงกดดันอุตสาหกรรมฯ และคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิปอิเล็กทรอนิคส์ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตและเริ่มทยอยเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คาดจะสามารถเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์อย่างเต็มกำลังในครึ่งหลังปี 2565 ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเพิ่มความสามารถการทำกำไรที่ดีให้แก่บริษัทฯ

 


ปิดท้ายที่  "STA" ชูผลงานปี 2564 โดดเด่น กำไรสุทธิทุบสถิติใหม่ที่ 15,846.7 ล้านบาท เติบโต 13.4% จากปีก่อน จากการเพิ่มประสิทธิภาพบริหารต้นทุนและอุตสาหกรรมยางธรรมชาติที่อยู่ในช่วงขาขึ้น และมีปริมาณการขายยางทั้งปีแตะ 1.3 ล้านตันตามเป้าหมาย หนุนส่วนแบ่งตลาดในไทยและตลาดโลกเพิ่มขึ้น บอร์ดเสนอปันผลประจำปีที่ 0.65 บาทต่อหุ้น ต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติ หนุนทั้งปีจ่ายปันผลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เตรียมขึ้น XD วันที่ 19 เมษายนนี้ คาดปี 2565 เติบโตต่อเนื่องจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น

นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลกและผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่โดดเด่น โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการรวมทั้งสิ้น 118,275.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.7% จากปีก่อน นับเป็นรายได้สูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และกำไรสุทธิอยู่ที่ 15,846.7 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ นอกจากนี้บริษัทฯ สามารถทำอัตรากำไรขั้นต้น (ธุรกิจยางธรรมชาติ) เกินกว่า 12% อย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส ซึ่งนับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยางของประเทศ

ผลการดำเนินงานที่เติบโตได้ดีในรอบปีที่ผ่านมา มาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1) ปริมาณการขายยางธรรมชาติในปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ล้านตันตามเป้าหมาย เพิ่มขึ้น 25.4% จากปีก่อน ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของภาพรวมตลาด 2) ภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติที่เป็นขาขึ้นและการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยางล้อ ส่งผลให้มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น 3) การเพิ่มประสิทธิบริหารต้นทุน เช่น การลงทุนเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเพื่อทดแทนการเพิ่มแรงงาน, นำแอปพลิเคชัน 'ศรีตรังเพื่อนชาวสวน' เข้ามาใช้ในการซื้อขายยางและสื่อสารทำกิจกรรมกับชาวสวนยาง เป็นต้น และ 4) บริษัทฯ สามารถทำราคาขายเฉลี่ยของยางธรรมชาติ ได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาดโลก

"ปีที่ผ่านมาเรามีปริมาณการขายยางธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมาก ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยตลอดทั้งปี (ยางทุกประเภท) กว่า 70% เทียบกับปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 55% และเฉพาะสินค้ายางแท่งในประเทศไทยมีอัตราเดินเครื่องจักรเฉลี่ยตลอดทั้งปีเกินกว่า 80% เทียบกับปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 57%" นายวีรสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติเสนอปันผลประจำปีที่ 0.65 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเสนอต่อที่ประชุมสามัญประจำปี 2565 เพื่ออนุมัติต่อไป เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 19 เมษายนนี้ และเตรียมจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้ โดยเมื่อรวมกับการจ่ายเงินปันผลระหว่างจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 1, 2 และ 3 ของปี 2564 ในอัตรา 1 บาทต่อหุ้น 1.25 บาทต่อหุ้น และ 1.25 บาทต่อหุ้นตามลำดับ จะส่งผลให้บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลในปี 2564 ในอัตรารวมทั้งสิ้น 4.15 บาทต่อหุ้น ถือเป็นอัตราการจ่ายปันผลต่อปีที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ

กรรมการผู้จัดการใหญ่และกรรมการบริหาร STA กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 โดยวางเป้าหมายปริมาณการขายยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 ล้านตัน เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากปีที่ผ่านมา ปัจจัยมาจากการขยายตลาดในไทยและต่างประเทศ ภาพรวมอุตสาหกรรมยางธรรมชาติในตลาดโลกที่อยู่ในวัฏจักรขาขึ้น รวมถึงบริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกไตรมาส จากการขยายกำลังการผลิตยางแท่งที่โรงงานจ.พิษณุโลก จ.บึงกาฬ จ.สกลนคร และจ.ตรัง จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 2.9 แสนตัน และการขยายกำลังการผลิตน้ำยางข้นที่โรงงานบึงกาฬ นราธิวาส สุราษฎร์ธานี (อำเภอกาญจนดิษฐ์) จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.8 แสนตันต่อปี นอกจากนี้ราคาขายเฉลี่ยยางแท่ง TSR20 ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าของประเทศสิงคโปร์ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และคาดว่าราคาเฉลี่ยทั้งปีจะไม่ต่ำกว่า 171 เซนต์ต่อกิโลกรัม จากราคาเฉลี่ยของปีก่อนที่ 167 เซนต์ต่อกิโลกรัม

ส่วนความคืบหน้าการรุกเข้าสู่ธุรกิจเพาะปลูกกัญชงในระดับต้นน้ำ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเพาะปลูกกัญชงที่ดินของบริษัทฯ ในพื้นที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ซึ่งได้รับการทดสอบแล้วว่าไม่มีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนัก เพื่อจำหน่ายเมล็ด ใบ และรากกัญชงทั้งหมดที่มาจากการเพาะปลูกแก่ลูกค้าที่มีคำสั่งซื้อหรือทำสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ คาดว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตล็อตแรกจากแปลงทดลองในเดือนเมษายนนี้

 

---จบ---

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

เล่นตามข่าว By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ นักเก็งกำไร เล่นตามข่าว ตามความแรงของเงินสกุลดิจิตอล ตามบิทคอยน์ ขณะที่เส้นกราฟ.....

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้