Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews: PTG ปักหมุดรายได้ปี65 โต15% สัดส่วน Non-oill พุ่งแตะ 20%

4,114

 

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (3 กุมภาพันธ์ 2565)------PTG ตั้งเป้ารายได้รวมปี65 โต15% - ยอดขายน้ำมันดิบ โต 8-10% จากปีก่อน หลังธุรกิจน้ำมันโต ด้านสัดส่วน Non-oill เพิ่มขึ้น พร้อมวางงบลงทุนราว 4,000-4,500 ลบ. ขยายสถานีน้ำมัน-ธุรกิจNon-oill เล็งลงทุนรฟฟ.RBF ขณะที่เตรียมยืนไฟลิ่ง ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ ช่วงQ2/65 นำเงินต่อยอดธุรกิจปลายน้ำ-ใช้เป็นทุนหมุนเวียน

 

นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าภาพรวมผลประกอบการในปี2565 จะมีรายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังธุรกิจน้ำมันเติบโตต่อเรื่อง พร้อมมีสัดส่วน Non-oill เพิ่มขึ้นแตะที่ระดับ 20% จากปีก่อนอยู่ที่10% ซึ่งเป็นไปตามการขยายสาขาและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆวางขาย พร้อมคาดยอดขายน้ำมันดิบจะเติบโตราว 8-10% จากปีก่อน

ปัจจุบัน บริษัทฯมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เป็นการแตกไลน์ธุรกิจออกจากธุรกิจน้ำมัน มีทั้ง น้ำมันพืช, มินิมาร์ท กาแฟ แก๊สหุงต้มLPG เป็นต้น โดยมีกำลังการผลิตน้ำมันพืช ภายใต้แบรนด์ “มีสุข” จำนวน 200,000 ลิตร/วัน ทำการวางจำหน่ายราว 2ล้านขวด/เดือน คาดทั้งปีจะมีรายได้จากน้ำมันพืชโต2หลัก โดยในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้าที่จะมีสาขากาแฟพันธุ์ไทย เพิ่มขึ้นเป็น 600 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 200 สาขา เพื่อพยายามปรับเปลี่ยนสัดส่วนรายได้ให้ไปเป็น Non-Oil มากขึ้น

ด้านออโตแบคส์ ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมดราว 26 สาขา ซึ่งในปีนี้จะเพิ่มอีก 30สาขา หากแล้วเสร็จจะทำให้ปีนี้บริษัทมีสาขาออโตแบคส์รวมเป็น 56 สาขารวมถึงมุ่งมั่นผลักดันให้แก๊สหุงต้มLPG ปรับตัวขึ้นมาเป็นอันดับ3 จากปัจจุบันมีสัดส่วน Market Share อยู่ที่อันดับ6

พร้อมกันนี้ บริษัทฯได้วางงบลงทุนปี65 ราว 4,000-4,500 แบ่งเป็นใช้เงินราว 1,500-2,000ล้านบาท สำหรับการขยายสถานีน้ำมันเพิ่ม ซึ่งได้ปรับลดการเปิดสาขาปั้มน้ำมันใหม่ลง เป็น 80-120 สาขาในปีนี้ มุ่งเน้นขนาดสาขา Type C(เล็ก) จากขนาดA (ใหญ่) ซึ่งจะเลือกขยายไปในโลเคชั่นที่ดี ติดถนนใหญ่ เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ Non-oil เข้าไปวางขายตามสาขาต่างๆมากขึ้น โดยปีนี้จะเริ่มขยายสาขากลับเข้ามาใกล้ๆเมืองกรุงเทพฯ และปรับสาขาให้มีความทันสมัย สอดรับตามเทรนด์ปัจจุบัน

นอกจากนี้ ใช้เงินลงทุนราว 1,500 ล้านบาท สำหรับธุรกิจNon-Oil เช่น ออโตแบ้ค แก๊สLPG น้ำมันพืช กาแฟ มินิมาร์ท เป็นต้น และอีก500-1,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด โดยปัจจุบันกำลังให้ความสนใจกับธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ RBF พื้นที่เขตหาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดใหม่ๆ ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการรอการประกาศเงื่อนไขและขั้นตอนของการรับซื้อจากภาครัฐ หากมีความชัดเจนก็พร้อมเข้าลงทุนในทันที โดยเบื้องต้นจะเป็นการก่อสร้างบนพื้นที่ใหม่ (Greenfill) ขนาดกำลังการผลิต 6 เมกะวัตต์

ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ความงามที่มาจากน้ำมันปาล์ม ซึ่งได้มีการผลิตและออกวางจำหน่ายบ้างแล้ว ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เซรั่ม สบู่เหลว โดยถือว่ากำลังอยู่ในช่วงของทดลองตลาด และมีการศึกษาผลิตภัณฑ์อื่นๆเพิ่มเติมเพื่อนำไปต่อยอดเอาน้ำมันปาล์มมาแปรรูป

สำหรับภาพรวมผลงานน้ำมันดิบในช่วงไตรมาสที่4/64 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่1/64 พบว่าค่าการตลาดในไตรมาส1/64 ทำได้ดีกว่าในไตรมาส4 เป็นผลมาจากกลยุทธ์การดำเนินงานและการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายควบคู่กับค่าการตลาดปกติ จึงทำให้ค่าการตลาดรวมขยับเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าค่าการตลาดทั้งปี65 อยู่ที่ 1.7-1.8บ./ลิตร

ด้านบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด บริษัทลูกของPTG ซึ่งทำธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ นั้นคาดว่าจะทำการยื่นไฟลิ่งได้ในช่วงไตรมาส 2/65 หากเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ก็คาดว่าจะสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Spin-Off) ได้ภายในปี 65 ซึ่งเงินระดมทุนที่ได้จะไปต่อยอดด้านธุรกิจปลายน้ำและส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท

ปัจจุบัน “พีทีที กรีน คอมเพล็กซ์” มีทุนจดทะเบียน 1,600 ล้านบาท โดยPTG ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ส่วนที่เหลือถือหุ้นโดยพาร์ทเนอร์ มีรายได้เฉลี่ยราว 4-5พันลบ./ปี มีการใช้กำลังการผลิตปาล์ม ไบโอดีเซลอยู่ที่ 60-70% ซึ่งลดลงตามความต้องการของผู้บริโภค และสัดส่วนกำลังการผลิตน้ำมันพืช100% โดยในอนาคตอาจทำการขยายและสร้างผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในส่วนของปาล์ม คอมเพลกซ์ ต่อไป

 


บล.ทิสโก้ เชียร์ซื้อ PTG
มูลค่าเหมาะสม 18.50 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่าคาดผ่านไตรมาสและปีที่แย่สุดไปแล้วยังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสม 18.50 บาท สำหรับ PTG จาก 1) คาดผ่านไตรมาสและปีที่แย่ไปแล้วจากผ่านช่วงที่ค่าการตลาดอ่อนตัวสุดไปแล้วใน 4Q21 2) เริ่มปี 2022F ด้วยแนวโน้มที่ดีโดยปริมาณขายน้ำมันที่กลับมาเติบโต และค่าการตลาดน้ำมันที่ปรับตัวดีขึ้น QoQ มาที่ราว 1.70 บาทต่อลิตร 3) เราคาดปี 2022F บริษัทจะสามารถเติบโตได้ได้ตามดีมานด์การใช้น้ำมัน, Non-oil มีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยกาแฟพันธุ์ไทยเริ่มทำกำไรใน 2-3 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ Autobac เริ่มเป็นบวกแล้วเช่นกัน สำหรับ Maxmart คาดเป็นกำไรใน 4Q22F และธุรกิจ Non-oil ที่คาดสัดส่วนกำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นมาที่ 15% ในปี 2022F


คาด PTG จะรายงานกำไรสุทธิ 4Q21F ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มาที่ 54 ล้านบาท (-92% YoY, -15% QoQ) แม้เราคาดปริมาณขายน้ำมันอยู่ที่ 1,283 ล้านลิตร (-1.7% YoY, +16% QoQ) แต่ด้วยค่าการตลาดน้ำมันที่อ่อนตัวอย่างมากใน ต.ค. – พ.ย. ที่มาอยู่ระดับต่ำกว่า 1.50 บาท และเริ่มฟื้นตัวมาที่ 1.50-1.60 บาท ทำให้เราคาดค่าการตลาดจะอยู่ที่ 1.50 บาทต่อลิตรซึ่งเป็นระดับต่ำเมื่อเทียบกับ 1.88 บาทต่อลิตรใน 3Q21 และ 1.94 บาทต่อลิตรใน 4Q20 นอกจากนี้ เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุน 47 ล้านบาท (37% QoQ, -71% YoY) สำหรับปี 2021F เราคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,146 ล้านบาท ลดลง -40% YoY เนื่องจาก 1) คาดปริมาณขายน้ำมันที่ทรงตัว YoY ที่ 5,015 ล้านลิตร จากผลกระทบจากการล็อกดาวน์ที่นานกว่า 2 เดือน 2) คาดค่าการตลาดน้ำมันที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.79 บาทต่อลิตรเทียบกับ 1.89 บาทต่อลิตรในปี 2020 จากการควบคุมราคาน้ำมันดีเซลหลังราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปี

 

ค่าการตลาดในเดือนมกราคมของ PTG มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1.70 บาทต่อลิตร เทียบกับปลายปีที่แล้วที่ 1.50-1.60 บาทต่อลิตร จากบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุน (ปัจจุบันราคาขายน้ำมันดีเซลของ PTG อยู่ที่ 30.44 บาทต่อลิตร) นอกจากนี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ระหว่างการทบวนมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรที่จะสิ้นสุดเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งเรามองว่าหากยกเลิกเพดานดังกล่าวและคาดราคาน้ำมันโลกจะปรับตัวลดลงจากปัจจัยด้านฤดูกาลและการเพิ่มการผลิต จะเป็นผลดีต่อค่าการตลาดในไตรมาส 2 เป็นต้นไป สำหรับปี 2022F โดยเราประเมินค่าการตลาดน้ำมันที่ 1.80 บาทต่อลิตร และเราปรับประมาณการเล็กน้อยคาดกำไรสุทธิของ PTG จะเติบโต 35% YoY มาที่ 1,547 ล้านบาท


ยังคงแนะนำ “ซื้อ” จากปรับประมาณการมูลค่าที่เหมาะสมใหม่อยู่ที่ 18.50 บาท (จาก 18.60 บาท) อิงจาก PER 20 เท่าปี 2022F โดยปัจจุบัน PEG ซื้อขายอยู่ที่ PER 16 เท่าปี 2022F ปัจจัยเสี่ยงมาจาก 1) ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกดดันต่อราคาขายปลีกน้ำมันและค่าการตลาดน้ำมัน 2) ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด

 

 

----จบ----

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

1200 แตก By: แม่มดน้อย

แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

ผถห. SSP ผ่านฉลุย! จ่ายปันผล 0.20 บาท/หุ้น

มัลติมีเดีย

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้