
(เพิ่มเติม) HotNews: SET พุ่งประเดิมศักราชใหม่
สำนักข่าวอินไซด์(3มกราคม2561)--- SET พุ่งประเดิมศักราชใหม่ วันนี้ดัชนีตลาดปิดที่ระดับ 1,778.53 จุด เพิ่มขึ้น24.82 จุด หรือ 1.42% มูลค่าการซื้อขาย 85,850.49 ล้านบาท สรุปสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,105.45 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 228.53 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,694.79 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายสุทธิ 4,571.71 ล้านบาท
ด้านเหล่ากูรู นำโดย KTBST ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (3-5 ม.ค.) ดัชนีมีโอกาสเดินหน้าต่อตามภูมิภาค กูรูทิสโก้ แจกไอเดียการลงทุนในเดือน ม.ค. ชอบหุ้นเกี่ยวข้องราคาน้ำมันและหุ้นที่คาดงบ 4Q17F จะออกมาดี กูรูกรุงศรี คาดแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดจะมีไม่มาก เทพหุ้นฟิลลิป คาดพรุ่งนี้ SET มีลุ้นทดสอบไฮเดิมที่ 1,789 จุด
โบรกฯ คาดพรุ่งนี้ SET มีลุ้นทดสอบไฮเดิมที่ 1,789 จุด
นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)เปิดเผยว่าดัชนีหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ มีแนวโน้มจะปรัขตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องหรืออาจมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ไฮเดิม เนื่องจากตลาดยังมีSentiment ในเชิงบวก ทั้งปัจจัยในประเทศอย่างภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจากปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐฯที่ได้มีการขยายตัว จึงส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องจับตามองถึงแรงขายจากกองทุน LTFด้วยเช่นกัน หลังจากมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงปลายปี ซึ่งในปีที่ผ่านๆมาช่วงต้นปีมักจะมีแรงงขายออกจากกองทุนดังกล่าวเพื่อทำกำไร
โดยประเมินแนวรับจะอยู่ที่ 1,765 จุดและแนวต้านที่ 1,780 - 1,789จุด
ทั้งนี้แนะนักลงทุนให้ซื้อขายหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นตัวผลักดันดัชนีฯ ซึ่งหากราคาขึ้นก็ให้ขายเพื่อทำกำไร
สำหรับดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูง คาดว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนมาจากเป็นช่วงสัปดาห์แรกของปี ที่นักลงทุนปประเมินทิศทางค่อนข้างสดใส และประกอบกับกระเเสเงินจากต่างชาติไหลเข้ามา จากค่าเงินดอลล์ที่อ่อนค่าลง แต่อย่างไรก็ดีคาดว่าในสัปดาห์หน้าอาจจะเริ่มมีแรงขายเพื่อทำกำไรมาให้เห็นอย่างมีนัยสำคัญ
KTBST ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ เดินหน้าต่อตามภูมิภาค
สำนักข่าวอินไซด์(3มกราคม2561)--------“บล.KTBST ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (3-5 ม.ค.) ดัชนีมีโอกาสเดินหน้าต่อตามภูมิภาค แต่อาจผันผวนจากแรงขายทำกำไร ติดตาม FOMC Minute ในวันที่ 4 ม.ค. ในเรื่องการปรับประมาณการเศรษฐกิจ คาดกรอบดัชนีที่ 1,740-1,770 จุด หุ้นเด่น RS , SAT, PTTEP”
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ (3-5 ม.ค.) ว่า สัปดาห์นี้ตลาดจะเปิดทำการเพียง 3 วัน แม้คาดจะมีแรงขายทำกำไรช่วงสั้น แต่ด้วยดัชนีตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่เปิดซื้อขายในแดนบวกในวันแรก ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ขึ้นแตะ $60 เหรียญ จะเป็นแรงหนุนให้กับตลาดหุ้นไทยด้วย ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดจะมีโอกาสเดินหน้าต่อหุ้นกลุ่มหลักยังมีโอกาสไปต่อแต่อาจมีการสลับกลุ่มเข้าซื้อขายในแต่ละวัน KTBST เน้นไปที่หุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวมากขึ้น ประเมินกรอบเคลื่อนไหวของดัชนีฯสัปดาห์นี้ไว้ที่ 1,740-1,770 จุด
โดยมองหุ้นที่น่าสนใจสัปดาห์นี้ ได้แก่ RS ที่เข้ามีธุรกิจความงามซึ่งมี margin สูง , หุ้น DELTA ให้ความสนใจหลังราคาปรับตัวลงมามาก แต่ธุรกิจของบริษัทอยู่ในทิศทางที่มีการเติบโต คือ EV car และ internet of things ส่วนหุ้นในกลุ่มอื่น ประกอบด้วย SAT, PTTEP และ CENTEL รวมไปถึงหุ้นที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเช่นโรงไฟฟ้า GULF และ BGRIM อย่างไรก็ตาม เราให้น้ำหนักลงทุนที่น้อยลง หรือให้ระวังแรงขายทำกำไรช่วงสั้นหุ้นที่ราคาปรับขึ้นมามากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา อาทิ AOT , BANPU,
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามได้แก่ ติดตาม FOMC Minute ในวันที่ 4 ม.ค. โดยคาดว่าจะยืนยันการปรับประมาณการเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 2018 – 2019 ตลอดจนมุมมองเงินเฟ้อที่ฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่ตัวเลขอื่นๆ เริ่มจากวันที่ 3 มกราคมจะมีการรายงาน ISM PMI คาดว่าจะออกมาที่ 58.1 ทรงตัวจากช่วงก่อนหน้าที่ 58.2 และในวันที่ 4 จะมีการรายงาน ADP employment change โดยคาดว่าจะทรงตัวที่ 190K และในวันที่ 5 จะมีการรายงานดุลการค้าคาดว่าจะออกมาขาดดุล 48 พันล้านเหรียญ ลดการดุลลงจากช่วงก่อนหน้า และอัตราการว่างงานคาดว่าจะออกมาที่ 4.1% คงที่จากช่วงก่อนหน้า และ ISM PMI นอกภาคการผลิต คาดว่าจะทรงตัวเช่นกันที่ 57.6 รวมถึงตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯที่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาในทุกธุรกิจต่างๆที่ไม่รวมอุตสาหกรรมเกษตร ซึ่งจะประกาศวันที่ 5 ม.ค. ตลาดคาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นที่ 190,000 ราย
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 60 เหรียญฯ หลังมีการประท้วงรัฐบาลโดยประชาชนอิหร่าน ที่อาจลามไปถึงการผลิตน้ำมันของอิหร่านเอง และตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่ลดลง แม้อาจมีผลช่วงสั้นๆ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ ยังคงตอบรับต่อการลดกำลังผลิตของ OPECอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดย Dollar Index ลดลง 1.6% ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา ทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและการอ่อนค่าของดอลล่าร์ เป็นบวกต่อหุ้นน้ำมันและปิโตรเคมีในช่วงนี้ด้วย
โหรหุ้นฟินันเซียฯมองSET ม.ค.นี้ ปรับฐาน-คงเป้าSET Target ปีนี้ที่ 1,900 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มุมมองตลาดเดือน ม.ค. SET ที่ปรับขึ้นเร็วในเดือน ธ.ค. ทำให้โอกาสในการปรับฐานในเดือนนี้มีสูงขึ้น สอดคล้องกับสถิติตั้งแต่หลัง subprime ที่ SET เดือน ม.ค. เฉลี่ย +0.4% M-M ยกเว้นปีที่ปรับขึ้นไปแรงในเดือน ธ.ค. มักตามมาด้วยการปรับฐานในเดือนถัดไป การปรับฐานเป็นโอกาสให้เลือกซื้อหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ และหุ้นเล็กที่มี growth story ชัดเจน เพราะแนวโน้มการลงทุนในปีนี้ยังสดใสตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกำไรของบจ. เราคง SET Target ปีนี้ที่ 1,900 จุดซึ่งอาจได้เห็นก่อนสิ้นปีเพราะความเสี่ยงส่วนใหญ่อยู่ช่วงปลายปี หุ้นเดือนนี้แนะนำ BBL, CPN, ORI, RSP, TKN
มุมมอง MAI ใน 1Q18 เป็นบวกมากขึ้น ดัชนี MAI ปี 2017 ปรับลง 12% ตรงข้ามกับ SET ที่ +13% เพราะกำไร 9M17 ของทั้งกลุ่ม MAI ที่ลดลง 62% Y-Y มีเพียงกลุ่มเทคโนโลยีที่โดดเด่นสุดทั้งผลประกอบการและราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า Downside ของ MAI ค่อนข้างจำกัด เมื่อพิจารณาจาก Spread ของ PBV และ Dividend Yield เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต และการเติบโตของผลประกอบการที่จะสูงในปี 2018 จากฐานที่ต่ำในปีก่อนและการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ เราคาดว่าหุ้นที่เราศึกษา 17 บริษัทใน MAI จะมีกำไรปกติ +16% เป็น 2,076 ล้านบาทในปี 2017 และโตมากขึ้น +39% เป็น 2,889 ล้านบาทในปี 2018 ขณะที่แรงขาย LTF/RMF ที่มักเกิดขึ้นในช่วงต้นปีไม่กระทบหุ้น MAI เราจึงให้น้ำหนักเป็น Overweight สำหรับการลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้า Top Picks คือ ATP30, ARROW, COMAN, CMO, MGT, และ PPS
กูรูกรุงศรี คาดแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดจะมีไม่มาก
สำนักข่าวอินไซด์(3มกราคม2561)----บทวิเคราะห์ บมจ. หลักทรัพย์กรุงศรีเปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลสถิติการลงทุนในตลาดห้นไทยในเดือน ม.ค.ย้อนหลัง 15 ปี (2013-2017) พบว่าการลงทุนในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือนม.ค.มีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากกว่าการถือลงทุนทั้งเดือน โดยการลงทุนในช่วงสัปดาห์แรกมีความน่าจะเป็นที่จะได้รับผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 73% ขณะที่การลงทุนในช่วง 2 สัปดาห์แรกความน่าจะเป็นที่จะได้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 60% ขณะที่การลงทุนทั้งเดือนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ที่ 50:50
คาดแรงขายของกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนกระทบดัชนีในกรอบจำกัด : ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ที่สามารถขายและไถ่ถอนได้ในปีนี้คือนักลงทุนที่เข้าซื้อกองทุน LTF ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงปี 2014 ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนสะสมมากกว่า 2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามเราคาดว่าแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนดจะมีไม่มากเนื่องจากดัชนีเมื่อปี 2014 โดยเฉพาะในช่วงปลายปีซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนเข้าซื้อกองทุน LTF มากที่สุดเคลื่อนไหวเฉลี่ยที่ระดับ 1,500 -1,600 จุด ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 10-17% ถือว่ายังไม่มากพอที่จะจูงใจให้นักลงทุนต้องรีบขาย
ขณะที่นักลงทุนที่ถือมาตั้งแต่เริ่มโครงการหรือก่อนปี 2014 สามารถขายได้ในทุกช่วงเวลาอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องรีบขายในเดือนม.ค.เช่นกันส่วนนักลงทุนที่จะขายคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่เน้นบริหารเงินหรือลดหย่อนภาษีเป็นหลัก (ซื้อกองทุน LTF ด้วยบัตรเครดิตในช่วงปลายปีแล้วต้นปีขายกองทุนเพื่อนำเงินไปชำระบัตรเครดิต)
บล.ทิสโก้ ชี้หุ้นไทยอาจผันผวนช่วงครึ่งเดือนแรกจาก LTF ครบ 5 ปีจ้องขาย แต่มองเป็นจังหวะสะสม ปีนี้น่าจะขึ้นทำสถิติใหม่
บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ ในปี 2018 เราเชื่อว่าจะมี 3 สิ่งใหม่เกิดขึ้น คือ (1) วงจรการลงทุนรอบใหม่ (2) การเลือกตั้งครั้งใหม่ และ (3) หุ้นไทยขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งทั้ง 3 สิ่งนี้มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
(1)วงจรการลงทุนรอบใหม่ - เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปี 2018 คาดทุกตัวเป็นบวกหมด โดยเรามองเครื่องจักรที่จะเร่งตัวขึ้นมากที่สุด คือ การลงทุนทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน เนื่องจาก (1) หลายโครงการใน Action Plan 2016 มีความล่าช้า แทนที่จะก่อสร้างได้ใน 4Q17 เลื่อนเป็น 1Q18 ทำให้เม็ดเงินลงทุนภาครัฐเลื่อนจากปี 2017 เป็น 2018 (2) เรามองการผ่านร่าง พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใน 1Q18 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้การลงทุนใหม่ใน EEC เริ่มต้นขึ้นในปี 2018 เป็นต้นไป (3) การลงทุนภาครัฐทั้งโครงสร้างพื้นฐานและ EEC คาดจะเป็นตัวนำร่องให้การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวขึ้นตามมา ผสานกับอัตราการใช้กำลังการผลิต (CAPU) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดรอบ 4 ปี คาดจะกระตุ้นให้ภาคเอกชนต้องลงทุนเพิ่มด้วย ซึ่ง CAPU มีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) กับดัชนีการลงทุนภาคเอกชน (PII) สูงถึง 0.87
(2)การเลือกตั้งครั้งใหม่ - โรดแมปการเลือกตั้งยังคงเดินไปตามกรอบเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งเรามองว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในเดือน พ.ย. จากการศึกษาข้อมูลในอดีตพบว่า ในปีที่มีการเลือกตั้ง กระแสเงินทุนต่างประเทศมักเป็นบวก โดยมีโอกาสสูงถึง 70%
(3)หุ้นไทยขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ - นอกจากปัจจัยหนุนภายในทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2018F ที่คาดว่าจะโตสูงถึง 4.1% จากการลงทุนที่เร่งตัวขึ้น และโอกาสเกิดการเลือกตั้งขึ้นในช่วงปลายปี เราประเมินปัจจัยภายนอกก็ยังเอื้อให้ SET Index สามารถขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ไม่ยาก ทั้งสภาพคล่องโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจนถึงปลายปี 2018 (กรณีฐาน), แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวดี โดยในปี 2018F คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.8% ดีขึ้นจากปี 2017F ที่คาดว่าจะขยายตัว 3.7% นำโดยสหรัฐฯ และ (3) อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกในปี 2018F ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ยกเว้นสหรัฐฯ ที่คาดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยเศรษฐกิจฟื้นตัวดีรองรับอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นได้ และสภาพคล่องโลกที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ ทำให้เราเชื่อว่าจะมีการโยกเม็ดเงินออกจากตลาดพันธบัตรเข้าสู่ตลาดหุ้นด้วย
สำหรับการลงทุนในครึ่งปีแรก เรามองประเด็นการลงทุนที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้ (1) หุ้นได้ประโยชน์วงจรการลงทุนรอบใหม่และ EEC - แนะนำ STEC, SEAFCO, ROJNA (2) หุ้นอิงการเลือกตั้งและการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ - แนะนำ BEAUTY, COM7, RS, PLANB และ (3) หุ้นมีอนาคต แนวโน้มกำไรเติบโตสูง - แนะนำ JWD, ORI, TPIPP
สำหรับการลงทุนในเดือน ม.ค. เรามองแนวโน้มราคาน้ำมันโดยรวมในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้า (ม.ค. - เม.ย.) ยังอยู่ในช่วงแกว่งซิกแซกขึ้นต่อเนื่องจากครึ่งหลังปี 2017 อานิสงส์จากการขยายเวลาการตัดลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปจนถึงสิ้นปี 2018, การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในปี 2018 และปัจจัยด้านฤดูกาล (อิงข้อมูลสถิติ 10 ปีย้อนหลัง โอกาสที่ราคาน้ำมันจะแกว่งขึ้นในช่วงเดือน ม.ค. - เม.ย. มีสูงถึง 70%) เพราะฉะนั้น หุ้นเกี่ยวข้องราคาน้ำมันที่มีการประเมินมูลค่าไม่แพงมีความน่าสนใจในระยะสั้น แนะนำ BANPU, IRPC, STA นอกจากนี้เรายังชอบหุ้นที่คาดงบ 4Q17F จะออกมาดีและแนวโน้มกำไรปี 2018F เติบโตโดดเด่น แนะนำ BAY, KTB, ROJNA, RS, TPIPP ส่งผลให้หุ้นเด่นที่เราแนะนำในเดือน ม.ค. คือ BANPU, BAY, IRPC, KTB, ROJNA, RS, STA, TPIPP
ทั้งนี้ เราแนะนำให้หาจังหวะสะสมในช่วงครึ่งเดือนแรก หลังมองภาวะตลาดอาจผันผวนจากแรงขาย LTF ครบกำหนด 5 ปี โดยเราประเมินเม็ดเงิน LTF ครบกำหนด 5 ปีจ่อทยอยขายอยู่ที่ราว 3-9 พันล้านบาท อิงจากการขายออกเฉลี่ยราว 10-30% จากเงินที่ไหลเข้าซื้อในช่วงปี 2014 ที่ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท โดยเงินก้อนนี้เพิ่มขึ้นราว 20% เป็นเกือบ 3 หมื่นล้านบาทจาก SET Index ที่ปรับตัวขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าว ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1720-30, 1710 และ 1760-70, 1790-1800 จุด ตามลำดับ
เกศรา มอง SET เปิดปีจอ ทำสถิติใหม่สูงสุดที่ 1,778.53 จุด สะท้อนความเชื่อมั่น แนะนลท. เฟ้นบจ.ผลประกอบการดี - ติดตามข่าวทั้งใน-นอก
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เปิดซื้อขายวันแรกของปี 2561 ทำสถิติใหม่ ปิด ณ วันที่ 3 มกราคม 2561 ที่ 1,778.53 จุด เป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่เปิดซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2518 โดยปรับขึ้น 24.82 จุด หรือ 1.42% จากสิ้นปี 2560 ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (market capitalization) ปรับขึ้นสูงสุดเป็น 18.17 ล้านล้านบาท และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 88,076.86 ล้านบาท (SET และ mai)
ในปี 2560 SET Index เพิ่มขึ้น 210.77 จุด หรือคิดเป็น 13.66% จากปัจจัยความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน และในปี 2560 มีการระดมทุนจาก IPO 42 หลักทรัพย์ รวม 4.26 แสนล้านบาท ซึ่งมูลค่าสูงสุดเช่นกัน รวมถึงการลงทุนของผู้ลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศที่เติบโตขึ้น ทั้งนี้ SET Index เคยปิดระดับสูงสุดที่ 1,753.73 จุด เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2537 และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมขณะนั้นอยู่ที่ 3.3 ล้านล้านบาท
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การปรับขึ้นของ SET Index แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอแนะนำให้ผู้ลงทุนพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต พร้อมศึกษาข้อมูลของบริษัท และติดตามข่าวทั้งในและต่างประเทศที่เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน
---จบ---