
HotNews : 4 แบงก์ใหญ่ ตบเท้าลดดอกเบี้ย
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (20 พฤษภาคม 2563) วานนี้ที่ประชุม กนง. มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 0.5% ต่ำสุดในประวัติการณ์ ด้วยผลโหวต 4:3 ด้านธนาคารพาณิชย์ ตบเท้าลดดอกเบี้ย นำโดย 3 แบงก์ใหญ่ BBL - KBANK - SCB - BAY

***BBL ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภท เหลือต่ำสุด 5.25% ***
ธนาคารกรุงเทพ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภท เหลือต่ำสุด 5.25% โดยเอ็มแอลอาร์ เหลือ 5.25% เอ็มโออาร์ เหลือ 5.875% และเอ็มอาร์อาร์ เหลือ 5.75% เพื่อสนับสนุนกลไกภาครัฐ และช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการและประชาชนลดต้นทุนทางการเงินรับมือโรคโควิด 19 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)BBL เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ 3 ประเภท ลงเหลือต่ำสุด 5.25% โดยเอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) เหลือ 5.25% เอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เหลือ 5.875% และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เหลือ 5.75% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนกลไกภาครัฐ และให้ความช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการและประชาชนในเรื่องการลดต้นทุนด้านอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของต้นทุนการดำเนินธุรกิจและลดภาระของประชาชน เพื่อเสริมศักยภาพในการรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
“ธนาคารมีความมุ่งมั่นที่จะประคับประคองให้ลูกค้าผู้ประกอบการและประชาชนสามารถผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยภาพรวมในช่วงที่มีความเปราะบางทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยที่ผ่านมาธนาคารกรุงเทพได้ให้การดูแลและให้ความช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการให้มีเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจและรักษาการจ้างงาน และช่วยเหลือประชาชนในการลดภาระทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนมาตรการของภาครัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” นายสุวรรณ กล่าว

*** KBANK ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทลง 0.13% - 0.38% มีผล 22 พ.ค.นี้***
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่าธนาคารกสิกรไทยพร้อมเดินหน้าช่วยเหลือลูกค้าธนาคารอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตอบสนองการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ถึงมือลูกค้าทุกกลุ่มทันที โดยธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ย MOR ลงสูงสุดถึง 0.38% ทำให้อัตราดอกเบี้ย MOR คงเหลือเพียง 5.84% อีกทั้งธนาคารยังได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และ MRR ลงอีก 0.13% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยคงเหลือ 5.47% และ 5.97% ตามลำดับ
เพื่อเป็นการเน้นย้ำถึงความตั้งใจของธนาคารในการช่วยประคับประคองสภาพคล่องและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าของธนาคาร โดยเฉพาะลูกค้าบุคคลและลูกค้าผู้ประกอบการ เพิ่มเติมจากมาตรการต่าง ๆ ที่ได้ออกมาก่อนหน้า ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศให้ค่อย ๆ ฟื้นตัวและเดินหน้าไปได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2563 เป็นต้นไป

***SCB ลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125-0.35% มีผล 22 พ.ค.63***
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มทยอยเข้าสู่ช่วงสภาวะปกติ เพื่อเร่งการฟื้นตัวของฐานะการเงินในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนให้กลับมาโดยเร็ว ธนาคารฯ จึงได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบภาระต้นทุนดอกเบี้ยของลูกค้าธนาคารฯ โดยเร่งด่วน นับเป็นการลดดอกเบี้ยติดต่อกันต่อเนื่อง ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนด้านสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด Covid-19 ในหลายเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทแบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) หรือ MLR ปรับลดจาก 5.375% เป็น 5.25% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในระบบธนาคาร อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) หรือ MOR ปรับลดลงจาก 6.095 % เป็น 5.845% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) หรือ MRR ปรับลดลงจาก 6.345 % เป็น 5.995 % ซึ่งปรับลดลงมากที่สุดในระบบธนาคาร
ธนาคารฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลดดอกเบี้ยดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้ลูกค้าธุรกิจและลูกค้าสินเชื่อรายย่อยมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง และช่วยให้ลูกค้าสามารถก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปได้ในที่สุด ทั้งนี้นอกจากมาตรการลดดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารฯ ยังสนับสนุนแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ และการให้สภาพคล่องเพิ่มเติมผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบอีกด้วย
สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่นี้ จะมีผลตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

***BAY ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, MOR และ MRR มีผล 21 พ.ค. นี้ ***
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (21พฤษภาคม 2563)นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงศรีพร้อมสนับสนุนนโยบายทางการเงินของภาครัฐผ่านกลไกการทำงานของธนาคาร เพื่อลดผลกระทบต่อกิจกรรมทางธุรกิจและภาระต้นทุนดอกเบี้ยของลูกค้าอันเนื่องมาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และปัจจัยลบที่ตามมา ดังนั้น กรุงศรีจึงปรับลดอัตราดอกเบี้ย MLR, MOR และ MRR ลงอีก หลังจากที่ได้ปรับลดดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อไปแล้ว 3 ครั้ง ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 24 มีนาคม และ 10 เมษายน 2563 นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อของกรุงศรีมีอัตราดอกเบี้ยดังต่อไปนี้
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ปรับลดลงจาก 5.83% เป็น 5.58%
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate หรือ MOR) ปรับลดลงจาก 6.30% เป็น 5.95%
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate หรือ MRR) ปรับลดลงจาก 6.30% เป็น 6.05%
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยใหม่ดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

***KTB ลดดอกเบี้ยเงินกู้ MOR-MLR-MRR มีผลตั้งแต่ 22 พ.ค. 63 ****
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.125% ต่อปี เหลือ 5.25% ต่อปี MOR ลดลง 0.40% ต่อปี เหลือ 5.82% ต่อปี และ MRR ลดลง 0.125% ต่อปี เหลือ 6.22% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป โดย การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน นอกเหนือ จาก 5 มาตรการเยียวยาที่ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโควิด-19
***KTB ออก 5 มาตรการเยียวยาลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจ วงเงินรวมกว่า 1.12 ล้านล้านบาท***
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับแต่เกิดปัญหาเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ธนาคารได้เร่งให้ความช่วยเหลือและดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งมาตรการที่เข้าร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และของธนาคารเอง รวมทั้งสิ้น 5 มาตรการ เพื่อเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้สามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้ ในวงเงินรวมกว่า 1.12 ล้านล้านบาท ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิดทั่วประเทศ ด้วยมาตรการที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
นายวิชัย อริยรัชโตภาส เจ้าของธุรกิจ โรงแรมและที่พัก 4 แห่ง ย่านตลาดน้อย สัมพันธวงศ์ และ หัวลำโพง ลูกค้าธนาคารกรุงไทย สำนักงานธุรกิจนานาเหนือ เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แทบจะไม่มีลูกค้าเลยปรับตัวด้วยการปิด 2 สาขา นำพนักงานทั้งหมดมาหมุนเวียนงานในสาขาที่เหลือ ลดราคาที่พักรายวันและรายเดือนให้ถูกที่สุด เจาะกลุ่มลูกค้า Work From Home ที่ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศมา Work Away From Home ได้รับการช่วยเหลือจากธนาคารตั้งแต่เริ่มวิกฤติ โดยได้พักชำระเงินต้น 6 เดือน และขยายระยะเวลาชำระหนี้ 6 เดือน ซึ่งสามารถช่วยเหลือธุรกิจได้อย่างทันท่วงที ช่วยประคองธุรกิจได้มาก ส่วนสินเชื่อ Soft Loan ดอกเบี้ย 2% ต่อปี ได้รับการดูแลจากพนักงานอย่างดีทำให้อนุมัติรวดเร็วมาก
นายณัฐพล กัปปิยจรรยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นีโอ สุกี้ไทยเรสเทอรองส์ ลูกค้าธนาคารกรุงไทย สำนักงานธุรกิจถนนเจริญนคร เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แค่ไม่คิดว่าจะเจอวิกฤติรุนแรงขนาดนี้ เพราะต้องปิดสาขาทั้งหมดตามมาตรการรัฐ โชคดีที่ได้วางแผนเตรียมรับมือบ้าง เพื่อหาทางสร้างรายได้ โดยหันมาขายแบบเดลิเวอรี่ การวางแผนทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญมาก ในภาวะที่รายได้เกือบจะเป็นศูนย์ ต้องสำรวจตัวเอง วางแผนให้รัดกุมเพื่อบริหารต้นทุน และปรึกษาธนาคาร พนักงานที่ดูแลบริการดีมาก ติดต่อแจ้งเรื่องที่ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือพักชำระเงินต้นทันที 12 เดือน และเมื่อขอ Soft Loan ได้รับอนุมัติรวดเร็ว ทำให้สามารถจัดการสภาพคล่อง ดูแลพนักงาน วัตถุดิบ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ธนาคารรู้ใจและช่วยเหลือธุรกิจได้ถูกที่ทันเวลา
นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง กรรมการผู้จัดการ บริษัท วงศ์จันทร์ จำกัด ลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยถึง ผลกระทบจากโควิด-19 ในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่บริษัทได้รับเป็นจังหวะเดียวกับที่วีซ่าและ Work Permit ของแรงงานต่างด้าวจะหมดต้องกลับประเทศ สินค้าจากต่างประเทศที่บริษัทนำเข้าถูก Freeze ตรวจรับงานไม่ได้ ทำให้ขาดสภาพคล่อง งานเดินต่อไม่ได้ กรุงไทยทันต่อสถานการณ์มาก เข้ามาช่วยในจังหวะที่กำลังจะจมน้ำ ขาดสภาพคล่อง โดยให้ Soft Loan วงเงิน 20 ล้านบาท ทำให้ธุรกิจดำเนินการต่อเนื่องได้ โดยไม่ต้อง Restart ใหม่ เพราะบริษัทต้องดูแล Supplier ผู้รับเหมาช่วง แรงงาน และพนักงาน ทุกคนลำบากหมด กรุงไทยเป็นธนาคารของคนไทยที่ดูแลธุรกิจก่อสร้างได้ดีและเป็นธรรมที่สุด ไม่เคยทิ้งกัน
สำหรับ 5 มาตรการที่ธนาคารกรุงไทยดูแลลูกค้า ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 ลูกค้าสินเชื่อบุคคลภายใต้กำกับ และลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 4 เดือน ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี จากสัญญากู้เดิมนาน 4 เดือน มาตรการที่ 2 ลูกค้าบุคคลและลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่มีเอกสารแสดงรายได้ลดลง พักชำระเงินต้น (ชำระเฉพาะดอกเบี้ย) นาน 6 เดือน ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี
จากสัญญากู้เดิมนาน 6 เดือน มาตรการที่ 3 ลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยนาน 6 เดือนอัตโนมัติ มาตรการที่ 4 ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป ที่มีเอกสารแสดงรายได้ลดลง พักชำระหนี้เงินต้นวงเงินสินเชื่อระยะยาว (Term Loan) สูงสุด12 เดือน ขยายระยะเวลาชำระหนี้สำหรับตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N)และสินเชื่อเพื่อการค้าต่างประเทศ สูงสุด 6 เดือน มาตรการที่ 5 ลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท สนับสนุนสินเชื่อ Soft Loan วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2% ต่อปี พักชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ไม่ต้องชำระดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
ทั้งนี้ ลูกค้าธนาคารกรุงไทยขอรับความช่วยเหลือในมาตรการต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการได้ ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ krungthai.com/covid19 และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลและติดต่อกลับ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

***สมาคมธนาคารไทย เผยแบงก์ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แล้วเกือบ 14 ล้านราย***
นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ผลกระทบจากสงครามการค้าและแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาในปีนี้ที่การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนต้องหยุดชะงักลง และอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติเช่นเดิม
ธนาคารพาณิชย์ตระหนักถึงผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจดังกล่าวต่อลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ ลูกค้าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมไปถึงกลุ่มลูกค้าบุคคล ดังนั้น ธนาคารพาณิชย์ในฐานะตัวกลางทางการเงินที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย จึงได้ดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือกับลูกค้าของแต่ละธนาคาร ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนให้ความร่วมมือกับโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้า และลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม
โครงการความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ของธนาคารพาณิชย์ ครอบคลุมลูกหนี้เกือบ 14 ล้านราย ซึ่งโครงการสำคัญที่ได้ดำเนินการแล้ว ได้แก่
การปรับโครงสร้างหนี้สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย อาทิ การขยายเวลาการชำระหนี้ให้กับลูกค้าผู้ประกอบการ การลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสดหมุนเวียน ตลอดจนการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวด สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อเช่าซื้อ-ลีสซิ่ง สินเชื่อบ้าน ซึ่งได้ช่วยลูกค้าไปแล้วจำนวน 13.8 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 6.12 ล้านล้านบาทการปล่อยสินเชื่อ โครงการ บสย. SMEs สร้างไทย ตามมาตรการ ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย ให้แก่ลูกค้าไปแล้วจำนวน 1.4 หมื่นราย เป็นวงเงิน 3.4 หมื่นล้านบาท มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ผ่านธนาคารออมสิน ช่วยลูกค้าไปเป็นวงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท
ล่าสุด ธนาคารพาณิชย์ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการกระจายสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทย วงเงินโครงการทั้งสิ้น 500,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับลูกค้าธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิมไม่เกิน 500 ล้านบาท ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มโครงการฯ ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมา มีการอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 49,804 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ 28,722 ราย ในจำนวนนี้ เป็นผู้ประกอบการ SMEs ขนาดเล็กมีสินเชื่อ ณ สิ้นปี 2562 ไม่เกิน 20 ล้านบาท จำนวน 20,680 ราย รองลงมาเป็น SMEs ขนาดกลาง (วงเงินสินเชื่อ 20-100 ล้านบาท) และ SMEs ขนาดใหญ่ (วงเงินสินเชื่อ 100-500 ล้านบาท) จำนวน 5,880 ราย และ 2,162 รายตามลำดับ
ทั้งนี้ สินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทย ยังอยู่ในช่วงเริ่มดำเนินโครงการ ทำให้ยอดสินเชื่อจะยังไม่สูงมาก แต่จะมีความคืบหน้าที่ชัดเจนมากขึ้นในระยะถัดไป ขณะเดียวกันธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ก็จะยังคงเดินหน้าโครงการและแนวทางให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้มั่นใจว่า ธนาคารพาณิชย์จะให้การดูแลลูกค้าทุกกลุ่มของธนาคารเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับบทบาทในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป