Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีปี 62 โต 2.4% หั่นเป้า 63 เหลือโต 1.5-2.5%

1,296

HotNews : สภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีปี 62 โต 2.4% หั่นเป้า 63 เหลือโต 1.5-2.5%

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (17 กุมภาพันธ์ 2563 ) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  ประกาศ GDP  ไทยในไตรมาส 4/62 ขยายตัว 1.6% ขณะที่ภาพรวมของปี 62 ขยายตัว 2.4%  จากผลกระทบสงครามการค้าและการส่งออกที่ลดลง -งบประมาณรายจ่ายปี 63 ล่าช้า เกิดปัญหาภัยแล้ง และเงินบาทแข็งค่า  พร้อมประเมิน ปี 63 GDP จะขยายตัว 1.5-2.5% ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 2.7-3.7%   หลังไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)  ระบาดส่วนปัจจัยภายในเจอปัญหาภัยแล้ง งบประมาณฯ ปี 63  ดีเลย์

 

 

ด้าน TISCO ESU II Morning View ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 โตเพียง 1.6% ต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาส ขณะที่ สศช. หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ลงมาอยู่ในช่วง 1.5-2.5% จากเดิม 2.7-3.7%

 

สศช. เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2019 อย่างเป็นทางการ ระบุ เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.6% YoY (+0.2% QoQ หลังปรับฤดูกาล) แผ่วลงจากระดับ 2.6% ไตรมาสก่อน และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.0% ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2019 เติบโต 2.4% จากระดับ 4.2% ในปี 2018 โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

 


ด้านการใช้จ่าย การใช้จ่ายทั้งการบริโภคและการลงทุนชะลอตัวลง (การบริโภคภาคเอกชน +4.1% YoY จาก +4.3% ไตรมาสก่อน, การลงทุนรวม +0.9% จาก +2.7% ไตรมาสก่อน) โดยการบริโภคที่แผ่วลงเพียงเล็กน้อย เพราะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น ชิมช้อปใช้ ส่วนการลงทุนที่ชะลอลงมาก เป็นผลมาจากการใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวสูงขึ้น ทั้งหมวดก่อสร้าง (-6.1% จาก +5.1% ไตรมาสก่อน) และหมวดเครื่องมือเครื่องจักร (-1.9% vs. -0.4% ไตรมาสก่อน) ซึ่งมีสาเหตุหลักจากความล่าช้าของร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ขณะที่การส่งออกสุทธิ (Net exports) ช่วยหนุนจีดีพี จากการนำเข้าสินค้าและบริการที่หดตัวแรงกว่าการส่งออกสินค้าและบริการ (นำเข้า -8.3% vs ส่งออก -3.6%)

 


ด้านการผลิต หมวดเกษตรหดตัว -1.6% YoY (vs .+2.7% ไตรมาสก่อน) ตามผลผลิตพืชหลักที่ลดลง อาทิ ข้าวเปลือก อ้อย ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ขณะที่หมวดอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่อง (-1.9% vs. -0.1% ไตรมาสก่อน) ตามการผลิตในสาขาอุตสาหกรรมที่ลดลงเป็นสำคัญ (-2.3% vs. -0.8% ไตรมาสก่อน) ตามการส่งออกสินค้าหลักที่หดตัว ขณะที่หมวดบริการ ยังขยายตัวได้ดี (+4.1% vs. +3.9% ไตรมาสก่อน) ตามกิจกรรมในสาขาการขายส่งและการขายปลีก (+5.2% vs. +5.3% ไตรมาสก่อน) และสาขาที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ (อาทิ สาขาการขนส่งฯ +3.9% vs. +3.1% ไตรมาสก่อน, สาขาที่พักแรมฯ +6.8% vs +6.7% ไตรมาสก่อน, และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร +10.8% vs. +8.2% ไตรมาสก่อน)

 

สศช. ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2020 ลงอย่างมีนัยยะ จากประมาณการเดิมในช่วง 2.7-3.7% (ค่ากลาง 3.2%) ลงมาอยู่ที่ 1.5-2.5% (ค่ากลาง 2.0%) หรือปรับลดลงราว -1.2% ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ปัญหาภัยแล้ง และความล่าช้าของงบประมาณ

 

ขณะที่ สศช. มองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจและการค้าโลก ตามแรงกดดันที่ลดลงหลังสหรัฐฯ และจีนลงนามในข้อตกลงการค้า Phase 1 และสถานการณ์ Brexit ที่ชัดเจนขึ้น 2) การขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจของการใช้จ่ายภาคเอกชนในประเทศและภาครัฐ 3) แรงขับเคลื่อนจากมาตรการภาครัฐ และ 4) ฐานการขยายตัวที่ต่ำในไตรมาส 4/2019 จะช่วยหนุนตัวเลขในช่วงสิ้นปีนี้

 


Our take: ภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาส 4 ยังบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบางและมีโมเมนตัมที่อ่อนแอลงมาก ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 2020F มีแนวโน้มชะลอลงกว่าที่เราคาดไว้เดิมทั้งจากปัจจัยในประเทศ คือ สถานการณ์ภัยแล้งที่น่าจะรุนแรง และความล่าช้าในการบังคับช้าร่าง พ.ร.บ. งบประมาณฯ ออกไปจากเดิมอีกเล็กน้อย รวมทั้งปัจจัยต่างประเทศ คือ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะขยายตัวต่ำกว่าระดับ 2% (เราอยู่ในระหว่างการปรับประมาณการเศรษฐกิจใหม่)

 


ด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เราคาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับปัจจุบันไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อน เพื่อประเมินผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยว่ามีพัฒนาการเป็นอย่างไร หลังได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.00% ตามคาด ในการประชุมครั้งแรกของปีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.

 


ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกในระยะข้างหน้ายังคงมีความเป็นไปได้ในกรณีที่ความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นกว่าที่ ธปท. ได้ประเมินไว้ ดังนั้น เราจะติดตามการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจของ ธปท. อย่างใกล้ชิด เนื่องจากสิ่งนี้จะชี้นำได้ว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกหรือไม่ (โดยจะมีการเปิดเผยตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจใหม่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งถัดไปในวันที่ 25 มี.ค.)

 

 

ในระยะข้างหน้า หากปัจจัยเสี่ยงด้านลบยังไม่มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ของข้อมูล (Data dependent) อย่างใกล้ชิด เรามองว่า ธปท. มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมอีกครั้งไม่เกินไตรมาส 2 (กนง. มีประชุม 25 มี.ค., 20 พ.ค. และ 24 มิ.ย.) ซึ่ง ธปท. สอดรับกับที่ ธปท. เปิดช่องพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม และพร้อมใช้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) ที่เหลืออยู่ หากจำเป็น

 

 

ด้านธนาคารกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าจีดีพีไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2019 ขยายตัว 1.6%YoY (0.2%QoQ sa) ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ชะลอลงจากไตมาสก่อนที่ 2.6%YoY (ปรับปรุงเพิ่มขึ้นจาก 2.4%YoY) และต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 1.9%YoY โดยเป็นผลจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนชะลอลง ส่วนการใช้จ่ายเพื่อบริโภคของภาครัฐ รวมทั้งการส่งออกสินค้าและบริการหดตัวลง ทั้งปี 2019 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.4% จาก 4.1% ในปี 2018 ทั้งนี้ สศช. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2020 จะขยายตัวในกรอบ 1.5-2.5% ต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อนที่ 2.7-3.7%

 


ภาคการใช้จ่าย ทุกภาคส่วนเศรษฐกิจชะลอลงถึงหดตัว ยกเว้น การลงทุนภาคเอกชน


- การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว เนื่องจากการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณที่ล่าช้า การอุปโภคภาครัฐขยายตัวชะลอลงที่ 0.5%YoY (ก่อนหน้า +3.7%) โดยเฉพาะรายจ่ายซื้อสินค้าและบริการ แม้ว่าค่าตอบแทนแรงงานยังขยายตัวต่อเนื่อง ด้านการลงทุนภาครัฐหดตัวถึง 5.1%YoY (ก่อนหน้า +3.7%) แม้ว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเร่งตัวการส่งออกสินค้าหดตัวสูง โดยหดตัว 5.1%YoY (ก่อนหน้า -0.1%)


- การส่งออกลดลงทุกหมวดสินค้า เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอตัวลง และผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าผ่านห่วงโซ่การผลิตของจีนทำให้การส่งออกสินค้าสำคัญ อาทิ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหดตัว รวมทั้งมีการปิดโรงกลั่นทำให้การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปลดลง ด้านการส่งออกสินค้าเกษตรหดตัวจากการส่งออกข้าวเป็นสำคัญ เนื่องจากราคาสินค้าไทยสูงกว่าคู่แข่ง และจีนระบายสต็อกไปยังแอฟริกา อย่างไรก็ตาม ดุลการค้ายังเป็นบวก เนื่องจากการนำเข้าหดตัวสูงขึ้นถึง 8.6%YoY โดยหดตัวทุกหมวดสินค้า


- การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลง โดยขยายตัว 4.1%YoY (ก่อนหน้า 4.3%) เนื่องจากรายได้ครัวเรือนและความเชื่อมั่นต่อการใช้จ่ายลดลง ทำให้การใช้จ่ายทุกหมวดสินค้าชะลอลง โดยเฉพาะยอดซื้อพาหนะที่ลดลงถึง 11.1% อย่างไรก็ตาม มาตรการภาครัฐช่วยพยุงการใช้จ่ายหมวดโรงแรมและภัตตาคารยังคงขยายตัวสูง การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้น โดยขยายตัว 2.6%YoY (ก่อนหน้า 2.3%) เนื่องจากมีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาคารในภาคบริการและขนส่ง ขณะที่การลงทุนเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวในภาคยานยนต์และอุตสาหกรรม ส่วนการนำเข้ารถไฟฟ้า เครื่องบินเอกชน และเครื่องมือเครื่องจักรสำนักงานยังสนับสนุนการลงทุน
- สินค้าคงคลัง ณ ราคาประจำปีมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.26 แสนล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการสะสมสินค้าเกษตรในฤดูเก็บเกี่ยว สินค้าอุตสากหรรมที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง และการนำเข้าทองคำในช่วงที่ราคาลดลง

 

ภาคการผลิต


- ภาคการท่องเที่ยวช่วยพยุงเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 การผลิตที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาทิ ที่พักแรมและร้านอาหาร และขนส่งขยายตัวเร่งขึ้นมาที่ 6.8%YoY (ก่อนหน้า 6.7%) และ 3.9%YoY (ก่อนหน้า 3.1%) ตามลำดับ เนื่องจากมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสดังกล่าวทั้งสิ้น 10.3 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 6.4%YoY ด้านภาคเกษตรกรรมกลับมาหดตัว 1.6%YoY (ก่อนหน้า 2.7%YoY) เนื่องจากผลผลิตของข้าวเปลือก อ้อย ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ลดลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะภัยแล้ง


- ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมากขึ้นจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ชะลอตัวและนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐฯ-จีน โดย หดตัว 2.3%YoY จากที่ลดลง 0.8% ในไตรมาสก่อน โดยเฉพาะการผลิตกลุ่มอุตสาหกรรมวัตถุดิบ สินค้าทุนและเทคโนโลยี ด้านก่อสร้างหดตัว 1.9% (ก่อนหน้า 2.7%) โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างของรัฐบาล เนื่องจากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2020 ส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการลงทุนด้านการก่อสร้างลดลง

 

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2020


- สศช. ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2020 ลงมาอยู่ที่กรอบประมาณการ 1.5-2.5% (ค่ากลาง 2.0%) จากประมาณการในเดือนพฤศจิกายนที่ 2.7% - 3.7% (ค่ากลาง 3.2%) เป็นการขยายตัวชะลอลงจาก 2.4% ในปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวสำคัญจากภาคต่างประเทศ (1) ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 31.5%YoY ในไตรมาสแรกและลดลง 4.2%YoY ในไตรมาสที่ 2 ทำให้รายได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2020 ลดลง 150,000 ล้านบาทจากปีก่อน (2) ปริมาณการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ฟื้นตัวน้อยกว่าที่ประเมินไว้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.4% ในประมาณการครั้งก่อนมาขยายตัวเพียง 1.5% จากที่หดตัวสูง 3.5% ในปี 2019 ตามการปรับลดคาดการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ส่วนผลกระทบจากไวรัสโควิด-19ต่อห่วงโซ่การผลิตและการขนส่งสินค้าเบื้องต้นยังอยู่ในระดับจำกัด


- ด้านอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวน้อยกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน (1) การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว 3.5% ชะลอลงกว่าประมาณการเดิมที่ 3.7% จากผลกระทบของภัยแล้งที่ชัดเจนและรุนแรงมากขึ้น รวมทั้ง ผลของไวรัสโควิด-19 ต่อฐานรายได้รับในภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ การผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังจะยังสนับสนุนเศรษฐกิจ และ (2) การลงทุนรวมมีแนวโน้มขยายตัว 3.6% จาก 2.2% ในปีก่อนตามการลงทุนภาครัฐที่เร่งขึ้น แต่น้อยกว่าประมาณการเดิมจากแนวโน้มการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้ากว่าต้นเดือนกุมภาพันธ์

 

 

และการลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นช้าๆ เนื่องจากยังมีปัจจัยฉุดรั้งจากการส่งออกที่ฟื้นตัวน้อย ทำให้ความต้องการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตยังต่ำ ธนาคารกสิกรไทยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มชะลอลงโดยเฉพาะในไตรมาสที่ 1 ของปี 2020 จะกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมีนาคม และเงินบาทยังอ่อนค่า เนื่องจากคาดว่าในช่วงครึ่งแรกของปี เศรษฐกิจของไทยทุกภาคส่วนจะอ่อนแอลงโดยมีปัจจัยกดดันจากการระบาดของเชื้อไวรัส สงครามการค้า และภัยแล้ง อีกทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุน ยังถูกจำกัดจากงบประมาณที่ล่าช้า ทำให้นโยบายการคลังยังไม่สามารถสนับสนุนเศรษฐกิจไทยได้เช่นกัน โดยเศรษฐกิจทั้งภาคต่างประเทศ อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ รวมทั้งแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ ธปท. ทำให้ธนาคารกสิกรไทยประเมินเงินบาท ณ สิ้นครึ่งแรกของปีในกรอบ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะกลับมาแข็งค่า ณ สิ้นปี 2020 ในกรอบ 30.00-30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) มาในจังหวะที่เศรษฐกิจไทยยังอยู่ภาวะชะลอตัวจากผลกระทบต่อเนื่องของสงครามการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงภาวะภัยแล้งที่รุนแรง ซึ่งปัจจัยต่อเนื่องดังกล่าวมีผลให้ GDP ในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินที่ 1.6% ต่อปี และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัว 2.4% ทั้งนี้ เมื่อรวมผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2563 ลดลงอย่างรวดเร็ว รายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะหายไปราว 2.2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีภาคการส่งออก-นำเข้าที่มีห่วงโซ่การผลิตเกี่ยวเนื่องกับจีนที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดผลิตของโรงงานในจีน ส่งผลให้ GDP ในไตรมาสแรกของปี 2563 มีแนวโน้มจะไม่ขยายตัว

 


การสอดประสานระหว่างมาตรการการคลังและการเงินร่วมกันจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะช่วยพยุงให้ GDP ในปี 2563 โตได้ไม่ต่ำกว่า 2.0% โดยเฉพาะในจังหวะเวลาที่ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2563 ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ในช่วงระหว่างเดือนก.พ. - มี.ค. 2563 มาตรการการเงินเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างฉับพลันจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนเพื่อประคองสถานการณ์ไม่ให้เกิดผลกระทบลุกลามไปยังรายได้และการจ้างงานในภาคครัวเรือนเป็นวงกว้าง ซึ่งภาครัฐก็ได้ทยอยออกมาตรการทางการเงินมาเป็นระยะๆ เพื่อช่วยเหลือให้ธุรกิจมีสภาพคล่องสำหรับดำเนินธุรกิจต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ในการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจจะต้องอาศัยเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งหากต้องการให้ GDP โตได้ 2.0% ในปีนี้ อาจจะต้องมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาในระบบราวแสนล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 สามารถควบคุมได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2563 ในเบื้องต้นว่า จะขยายตัวต่ำกว่ากรอบล่างของประมาณการที่ 2.5%-3.0% โดยยังมองความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.0% ภายใต้เงื่อนไขที่ภาครัฐสามารถนำเม็ดเงินใหม่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้ราวแสนล้านบาทในระยะเวลาที่เหลือของปี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจะมีการทบทวนตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 อีกครั้งในวันที่ 16 มีนาคม 2563 นี้

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

PTG ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ: รับมอบประกาศนียบัตร Carbon Footprint ตอกย้ำวิสัยทัศน์ "อยู่ดี มีสุข"

PTG ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ: รับมอบประกาศนียบัตร Carbon Footprint ตอกย้ำวิสัยทัศน์ "อยู่ดี มีสุข"

ไปต่อ By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย เห็นตลาดหุ้นไทย ไปต่อ ตามแรงซื้อ หุ้นใหญ่หลายตัว ขยับปรับตัวขึ้น ไปต่อ ด้วยตัวแปรเชิงลบใหม่.....

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้