Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews : KTC โชว์กำไร 9 เดือนพุ่ง 8% / 3 ธุรกิจใหม่ จ่อรับรู้กำไรในอีก 18-24 เดือน

3,392

HotNews : KTC โชว์กำไร 9 เดือนพุ่ง 8% / 3 ธุรกิจใหม่ จ่อรับรู้กำไรในอีก 18-24 เดือน

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (17 ตุลาคม 2562) KTC เปิดผลงาน 9 เดือนแรก กำไรสุทธิโต 8% อยู่ที่ 4,205 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดลูกหนี้รวมขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 2 ปี ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตดีดตัวสูงขึ้นที่ 10.4% ส่วน NPL ลดระดับลงไปอีกอยู่ที่ 1.07%

 

ด้านความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจ “พิโกไฟแนนซ์” - ธุรกิจ “นาโนไฟแนนซ์” และธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบระบบการให้สินเชื่อ ก่อนจะมีการปล่อยสินเชื่อจริงในวงกว้าง คาดว่าทั้ง 3 ธุรกิจใหม่นี้ จะสามารถเริ่มรับรู้กำไรได้ประมาณ 18-24 เดือน นับตั้งแต่วันที่ดำเนินธุรกิจจริง

 

 

 

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTC เปิดเผยว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 เคทีซีมีกำไรสุทธิ 4,205 ล้านบาท พอร์ตลูกหนี้การค้ารวมเท่ากับ 79,618 ล้านบาท (ขยายตัว 9%) ฐานสมาชิกรวม 3.43 ล้านบัญชี (เติบโต 6%) แบ่งเป็นบัตรเครดิต 2,460,595 บัตร (ขยายตัว 7%)พอร์ตลูกหนี้บัตรเครดิตรวม 51,137 ล้านบาท (ขยายตัว 10%) อัตราเติบโตของปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 9 เดือน อยู่ที่ 10.4% NPL รวม ลดลงต่อเนื่องอยู่ที่ 1.07% NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 0.96% สินเชื่อบุคคล 973,356 บัญชี (ขยายตัว 5%) ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวม 28,219 ล้านบาท (เติบโต 9%) NPL ของสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 0.83%

 

 

ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เคทีซีมีรายได้รวม 16,699 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ย (รวมรายได้ค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เติบโต 7% รายได้ค่าธรรมเนียมขยายตัวเท่ากับ 4% และหนี้สูญได้รับคืนเติบโตที่ 2% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) เท่ากับ 34% ลดลงจาก 34.8% ณ ช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับค่าใช้จ่ายการบริหารงานอยู่ที่ 5,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

 

 

 

เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตรใหม่มากขึ้น จนทำให้พอร์ตลูกหนี้บัตรขยายตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้จัดโปรแกรมการส่งเสริมการตลาดเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ค่าใช้จ่ายการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% ประกอบกับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วยที่ 5% และ 4% ตามลำดับ ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจ่ายมีมูลค่าใกล้เคียงเดิม อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังสามารถควบคุมมูลค่าต้นทุนการเงินอยู่ในระดับเดิมได้

 

 

“เคทีซีได้มีการปรับกลยุทธ์มุ่งสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของจำนวนบัตรและพอร์ตลูกหนี้ตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะทำให้ยอดลูกหนี้รวมมีอัตราเติบโตสูงที่สุดในรอบสองปี นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2560 แล้ว ยังส่งผลบวกให้ภาพรวมปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรในช่วง 9 เดือนเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งสำหรับช่วงท้ายของไตรมาสที่ 3 ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้ยังมีคุณภาพดีต่อเนื่อง สำหรับไตรมาส 3 บริษัทฯ มีกำไร 1,292 ล้านบาท ปรับตัวลดลงในอัตรา 7% เนื่องจากบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการ ตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของพอร์ต อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดหาบัตรใหม่ รวมถึงในการจัดโปรโมชั่นทางการตลาดเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกใช้จ่ายผ่านบัตร เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายรวมของไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นที่ 10% ขณะที่รายได้รวมเติบโต 4%”นายระเฑียร กล่าว

 

 

สำหรับความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจ “พิโกไฟแนนซ์” (สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ) ธุรกิจ “นาโนไฟแนนซ์” (สินเชื่อรายย่อยผู้ประกอบอาชีพ) และธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน นั้น ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน 2562 ที่ผ่านมา เคทีซีได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจทั้ง 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบระบบการให้สินเชื่อ ก่อนจะมีการปล่อยสินเชื่อจริงในวงกว้าง โดยคาดว่าทั้ง 3 ธุรกิจใหม่นี้ จะสามารถเริ่มรับรู้กำไรได้ประมาณ 18-24 เดือน นับตั้งแต่วันที่ดำเนินธุรกิจจริง

 

 

ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดสรรงบประมาณในการเพิ่มจำนวนฐานบัตรใหม่ในธุรกิจหลักต่อเนื่อง ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล รวมทั้งเพิ่มงบการตลาดเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของลูกค้า ด้วยจุดมุ่งหมายให้พอร์ตลูกหนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อกำไรรวมบ้าง นอกจากนี้บริษัทฯ จะติดตามสถานการณ์และเตรียมพร้อมกับสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์ด้านต่างๆ ให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจทุกภาคส่วนให้เป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งมีผลการดำเนินงานทั้งปี 2562 ใกล้เคียงกับประมาณการที่ได้เปิดเผยไว้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 



ฟิลลิปฯ แนะทยอยซื้อ KTC  เป้า 45.50 บาท/หุ้น

 


บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า กำไรลดลง 7.5% y-y และ 2.4% q-q: โดยมีกำไรอยู่ที่ 1.3 พันล้นบาท กำไรที่ลดลงเป็นผลมาจากการตั้งสำรอง และค่าจ่ายที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่า KTC จะมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งรายได้ดอกเบี้ย และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย

 



สินเชื่อเติบโต แต่ก็ทำให้การตั้งสำรองต้องสูงขึ้น: ทั้งสินเชื่อ และการใช้จ่ายผ่านบัตรของ KTC เติบโตขึ้นใน 3Q62 โดยสินเชื่อเพิ่มขึ้น 3.2% q-q และ 1.8% ytd และการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น 10.4% ในขณะที่อุตสาหกรรมเติบโตเพียง 8.8% แต่การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ลดต่ำลง ลดประมาณการ ลดราคาพืนฐานเหลือ 45.50 บาท ยังแนะนำ"ทยอยซื้อ": จากการตั้งสำรองที่สูงกว่าคาด ทำให้ทางฝ่ายปรับลดประมาณการกำไรปี 62 - 63 ของ KTC ลงเหลือ 5.6 และ 6.2 พันล้นบาทตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 6.2 และ 6.4 พันล้นบาทตามลำดับ ยังเพิ่มขึ้น 9% และ 10.1% ตามลำดับ ปรับลดราคาพื้นฐานลงเหลือ 45.50 บาท จากเดิมที่ 47 บาท ยังมองว่า KTC นั้นมีโอกาสเติบโตจากทั้งธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ ยังคงแนะนำ "ทยอยซื้อ"

 

 

 

 

 


กูรูทิสโก้ แนะถือ KTC  ราคาเป้าหมาย 44 บาท/หุ้น

 

สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า KTC รายงานผลประกอบการต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด 13.6% โดยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาดมาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น 16.5% YoY และ 4.6% QoQ เป็น 1.65 พันล้านบาท โดยที่ KTC มีการเร่งการตั้งสำรองเพื่อรองรับการใช้งาน TFRS9 สำหรับปี 2020 จากประมาณการของเราการตัดจำหน่ายต่อสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 8.3% ใน 3Q19 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 7.7% ใน 2Q19 และ 7.8% ในปีก่อนทำให้ NPL ลดลงเป็น 1.07% จากเดิมที่ 1.13% ใน 2Q19

 

 

สินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 9.7% YoY และ 3.0% QoQ เป็น 4.96 หมื่นล้านบาท ในขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 8.9% YoY และ 3.8% QoQ เป็น 2.82 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35.4% ของสินเชื่อรวม และสำหรับในช่วง 9M19 สินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เราคาด ทำให้เราคาดการเติบโตของสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 8.6% จากเดิมที่ 7.1% เป็น 8.49 หมื่นล้านบาท และโต 7.6% ในปี 2020-21F แต่อย่างไรก็ตาม ถูกชดเชยบางส่วนจากหนี้เสียที่ฟื้นตัวชะลอลงเป็น 2%

 

 

ผลประกอบการที่ลดลงมาจาก Credit Cost ที่เพิ่มขึ้น และการฟื้นตัวหนี้เสียที่ต่ำกว่าคาด ชดเชยผลบวกของสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น ผลประกอบการ 9M19 อยู่ที่ 4.21 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% YoY จากที่เราคาดทั้งปีที่ 5.59 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อ 15.6% และ 14.2% ในปี 2020-21F หนุนโดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น 7.6% ต่อปี จากต้นทุนของเงิน และการตั้งสำรองที่ลดลง

 

 

แนะนำให้ "ถือ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 44.00 บาท ปรับมูลค่าที่เหมาะสมลดลงจาก 48.00 บาท เป็น 44.00 บาท โดยใช้วิธี GGM คิดเป็น PBV ที่ 4.8 เท่า, PER ที่ 17.4 เท่า สำหรับปี 2020F และเราคาดว่าการเติบโตจะกลับมาในปี 2020-21F แต่การเติบโตในปี 2019F จะต่ำที่ 8.9% YoY ต่ำกว่าปีก่อนๆ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ KTC คาดว่าจะคุ้มทุนในปีหน้า และทำให้ปี 2021-22F มีอัพไซด์ที่เพิ่มขึ้น

 

 

 

 

 

 


เคทีบีฯ แนะซื้อ KTC เป้า 46 บาท

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ" และราคาเป้าหมายที่ 46.00 บาท อิง 2020 PBV 5.0x (+1.5 SD above 5-yr average) KTC รายงานกำไรสุทธิ 3Q19E ที่ 1,292 ล้านบาท (-7% YoY, -2% QoQ) ต่ำกว่าที่เรา และตลาดคาด -13% และ -15% ตามลำดับ โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ตามขนาดฐานสินเชื่อที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 ไตรมาส และการเร่งตัดจำหน่ายหนี้สูญ เราปรับประมาณการกำไรสุทธิ 2019E ลง -6% อยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท (+9%) จากการปรับค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายหนี้สูญเพิ่มขึ้น ในขณะที่เราคาดว่าบริษัทจะกลับมาตั้งค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ระดับเดิมในปี 2020E หลังการใช้ TFRS9 เราจึงคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2020E ที่ 6.4 พันล้านบาท (+15%) ทั้งนี้กำไรสุทธิ 9M19 คิดเป็น 75% ของกำไรสุทธิปี 2019E

 

 

ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลง -4% (เมื่อเทียบกับ SET) ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จากสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้นมากนัก และนำมาสู่โอกาสในการตัดจำหน่ายหนี้สูญเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่าค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายหนี้สูญนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นการชั่วคราว ในขณะที่ผลการดำเนินงานในระยะยาว 2018-20E EPS CAGR +12.0% จากโอกาสในการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นภายหลังที่บริษัทได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ และพิโกแนนซ์ ใน 3Q19 เราจึงคงแนะนำ "ซื้อ"

 

 


กำไร 3Q19 ต่ำคาด จากการเร่งตัดจำหน่ายหนี้สูญ บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 3Q19 ที่ 1,292 ล้านบาท (-7% YoY, -2% QoQ) ต่ำกว่าที่เรา และตลาดคาด -13% และ -15% ตามลำดับ โดยเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้นประมาณ 1,655 ล้านบาท (+16% YoY, +6% QoQ) จาก 1) ขนาดสินเชื่อที่ขยายตัว +9.7% YoY, +3.0% QoQ สูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาสตั้งแต่ 1Q18 และ 2) หนี้สูญตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท (1H19 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท/ไตรมาส) จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และมาตรฐานการบัญชี TFRS9 ที่ทำให้การตัดจำหน่ายหนี้สูญยากขึ้น บริษัทจึงได้เร่งตัดจำหน่ายหนี้สูญในงวดเพิ่ม เพื่อรักษาระดับ NPLs ที่ต่ำเพียง 1.07% ได้ ปรับลดกำไรสุทธิปี 2019E -6% และคงกำไรสุทธิปี 2020E

 

 

จากการจำหน่ายหนี้สูญเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2019E ลง -6% อยู่ที่ 5.6 พันล้านบาท (+9%) จากการปรับค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายหนี้สูญเพิ่มขึ้น +22% เพื่อสะท้อนการเร่งตัดจำหน่ายหนี้สูญของบริษัทที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไป 4Q19E ก่อนที่จะบังคับใช้ TFRS9 ในปีหน้า และคาดว่าบริษัทจะกลับมามีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯที่ระดับเดิมในปี 2020E หรือคิดเป็น LLR/Loan ที่ 6.6% เราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2020E ที่ 6.4 พันล้านบาท (+15%) จากสินเชื่อที่ขยายตัว 7% โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลที่ขยายตัวมากกว่า 11% ทั้งนี้กำไรสุทธิ 9M19 คิดเป็น 75% ของกำไรสุทธิปี 2019E ด้านผลการดำเนินงานใน 4Q19E คาดกำไรสุทธิที่ 1.4 พันล้านบาท (+15% YoY, +9% QoQ) จากปัจจัยฤดูกาลที่การใช้จ่ายผ่านบัตรจะสูงขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปีเป็นหลัก

 

 

ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท อิง 2020 PBV 5.0x (+1.5 SD above 5-yr average PBV) จากผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 2018-20E EPS CAGR +12.0% โดยมี key catalyst ที่สำคัญ คือ การเพิ่มช่องทางการขยายสินเชื่อ ทั้งสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์, สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ และสินเชื่อที่มีรถเป็นหลักประกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรง และค่าใช้จ่ายตัดจำหน่ายหนี้สูญที่ลดลงหลังการเร่งในตัดในปี 2019

 

 

 

 

 

 


แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ปรับคำแนะนำจาก "ถือ"KTC
เป็นรอ "ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว" เป้า46 บาท/หุ้น

 


บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า KTC ประกาศกำไร 3Q62 ที่ 1,292 ลบ.ลดลง -7.4% YoY และ -2.3% QoQ ทั้งนี้รายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมยังคงเติบโตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่จากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของพอร์ตและมีการตัดหนี้สูญเพิ่มขึ้น บวกกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากงบส่งเสริมการตลาดและการจัดหาสมาชิกใหม่ ส่งผลทำให้กำไรลดลง

 


ยอดลูกหนี้รวม 9M62 อยู่ที่ 7.96 หมื่นลบ. ขยายตัว 9.2% YoY ถือเป็นยอดลูกหนี้รวมขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี เป็นผลจากการขยายฐานจำนวนสมาชิกและเพิ่มฐานลูกหนี้ทั้ง 2 ธุรกิจ โดยลูกหนี้บัตรเครดิตรวมเพิ่มขึ้น 10% YoY ขณะที่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลรวมเพิ่มขึ้น 9% YoY ทั้งนี้การใช้จ่ายผ่านบัตรยังคงมีอัตราการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมด้วย

 


KTC ยังคงควบคุมคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ดีต่อเนื่อง NPL ณ สิ้น 3Q62 ยังคงลดลงเหลือ 1.07% เทียบ 1.13% ณ 2Q62 และ 1.14% สิ้นปี 61

 

ความเห็น:  ผลประกอบการ 3Q62 ที่ออกมาเริ่มลดลงทั้ง QoQ และ YoY ตอกย้ำว่าธุรกิจใหม่คือพิโก้และนาโนไฟแนนซ์ ยังคงไม่สร้างรายได้และกำไรให้ในทันที คงต้องใช้เวลา 1.5 - 2ปี  ทั้งนี้กำไร 9M62 = 4,205 ลบ. คิดเป็น 73.5% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา ทำให้เรายังคงประมาณการเดิม เชื่อว่าวันนี้มีแนวโน้มที่ราคาหุ้น KTC อาจปรับลงจากผิดหวังผลประกอบการที่ออกมา ประกอบกับการปรับมาใช้ราคาเป้าหมายปี 63 หลังประกาศงบ 9M62 จะได้ราคาเป้าหมายปี 63 เบื้องต้นที่ 46 บ. จึงปรับคำแนะนำจาก "ถือ" เป็นรอ "ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว" (ศิริพร #5156)

 

 

 

 

 


หยวนต้า ระบุ Upside KTC  ราว 15.3% จากมูลค่าพื้นฐานปี 63 ที่ 47 บาท

 

บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ เปิดเผยว่า KTC รายงานกำไรสุทธิช่วง 3Q62 ที่ 1,292 ลบ. หดตัว 7.4%YoY แย่กว่าที่เราและตลาดคาด โดยแม้กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายตั้งสำรองและภาษี (PPOP) จะโต 3.3% ตามที่เราคาด หลังรายได้ดอกเบี้ยรับโต 6.4%YoY สอดรับกับพอร์ตสินเชื่อรวมที่เพิ่มขึ้น 9.3%YoY (สินเชื่อบัตรเครดิตโต 10%YoY และสินเชื่อส่วนบุคคลโต 9%YoY) และรายได้ที่มิใช้ดอกเบี้ยโต 3%YoY หลักๆ มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่โตดี แต่ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกหักล้างด้วยปัจจัยลบจากทั้ง

 

1) NIM ที่แคบลงจาก 15.7% ในช่วง 3Q61 เหลือ 15.4% หลังสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น (Yield ต่ำ) 

 

2) CIR เพิ่มขึ้นเป็น 37.1% จาก 36.6% ในช่วง 3Q61 จากมีค่าใช้จ่ายในส่วนของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเพิ่มเข้ามา

 


ทั้งนี้ปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบการแย่กว่าที่เราคาดถึง 8% มาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น 16.5%YoY ทำให้ Credit Cost เพิ่มขึ้นแตะ 8.4% จากเพียง 7.8% ในช่วง 3Q61 หลัง KTC เพิ่มความระมัดระวังต่อภาวะ ศก. ที่ยังไม่ฟื้น บวกกับรองรับการเร่ง Write off หนี้ (หนี้ที่สามารถ Write off ได้ต้องมีการตั้งสำรอง 100%) ก่อนจะมีการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ในปีหน้า

 

 


กำไรช่วง 9M62 คิดเป็น 76.3% ของประมาณการทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดกำไรช่วง 4Q62 ของ KTC มีแนวโน้มแต่ดีขึ้น YoY ตามขนาดของพอร์ตสินเชื่อและฐานผู้ใช้บัตรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วน QoQ คาดฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากการเข้าสู่ช่วง High Season ของการจับจ่ายภาคครัวเรือน แต่คาดยังมีแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่เร่งตัวขึ้นในช่วงก่อนปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ในช่วงต้นปี 63 หนุนให้เราประเมินว่า KTC จะมีกำไรสุทธิปี 62 ราว 5,508 ลบ โต 7.2%YoY
แม้ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ราว 15.3% จากมูลค่าพื้นฐานปี 63 ที่ 47 บาท แต่เรายังคงแนะนำเพียง "Trading" เนื่องจากช่วงสั้นคาดราคาหุ้นจะถูกกดดันจากการปรับลดประมาณการกำไรของ Consensus รวมทั้งเรายังอยู่ระหว่างรอความชัดเจนของแผนรุกธุรกิจจำนำทะเบียน (KTC พี่เบิ้ม) ที่จะเป็น Growth Driver ตัวใหม่ของบริษัท

 

 

 

 

 

 

 


เคจีไอ แนะถือ KTC ราคาเป้าหมาย 46 บาท/หุ้น

 


บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิของ KTC ใน 3Q62 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 2% QoQ และ 7% YoY ซึ่งต่ำกว่าประมาณการของเรา 12% และต่ำกว่า consensus 14% เนื่องจากมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่กำไรสุทธิงวด 9M62 อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท (+7.5%) คิดเป็นแค่ 70% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา ดังนั้น เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2562/63 ของเราลง 7%/8% จากการปรับลดรายได้จากการติดตามหนี้เสีย, เพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเพิ่ม credit cost เป็น 735bps/720bps (จากเดิม 700bps/700bps) สำหรับปี 2562/63 ทั้งนี้ เรายังได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายใหม่ ที่ 46 บาท (ลดลงจากเดิมที่ 47 บาท) โดยอิงจาก P/E ปี 2563F ที่ 18.5x และปรับลดคำแนะนำเป็นถือ

 


ปรับประมาณกำไรปี 2562/2563 ลดลง 7%/8% ปรับราคาเหมาะสมเป็น 46 บาท (จาก 47 บาท)

 


การที่บริษัทตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากเพื่อการตัดหนี้สูญ(write-off) ติดต่อกันมาสองไตรมาสทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ของ KTC และเป็นการชี้ถึงการใช้กลยุทธ์การตั้งสำรองเชิงรุกแบบผิดจังหวะ เนื่องจากกำไรสุทธิงวด 9M62 คิดเป็นแค่ 70% ของประมาณการกำไรของเราเท่านั้น เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2562/63 ของเราลง 7%/8% จากการปรับลดรายได้จากการติดตามหนี้เสีย, เพิ่มค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และเพิ่ม credit cost เป็น 735bps/720bps (จากเดิม 700bps/700bps) สำหรับปี 2562/63 ทั้งนี้ เรายังได้ขยับไปใช้ราคาเป้าหมายใหม่ ที่ 46 บาท (ลดลงจากเดิมที่ 47 บาท) โดยอิงจาก P/E ปี 2563F ที่ 18.5x และปรับลดคำแนะนำเป็นถือ

 

 

 

 

 

 

เอเชีย เวลท์ แนะซื้อ KTC ราคาเป้าหมาย 53 บาท/หุ้น

 

 

ฝ่ายวิจัย บล.เอเชียเวลท์ จำกัด ระบุว่า KTC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/62 ที่ 1,292 ล้านบาท ลดลง 7.4%YoY และ 2.3%QoQ ต่ำกว่าประมาณการของเรา และบลูมเบิร์กประมาณ 12% และ 13% ตามลำดับ เป็นผลจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้นกว่า 16.5%YoY อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจหลักยังเติบโตดี เพิ่มขึ้น 4.3%YoY และ 1.2%QoQ ตามการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ โดยปัจจุบันบริษัทมียอดสินเชื่อรวมอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3%YoY แบ่งเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 9.7%YoY และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้น 8.9%YoY

 

 

ณ ไตรมาส 3/62 อัตราส่วน NPL ของบริษัทอยู่ที่ 1.07% ดีขึ้นจากไตรมาส 2/62 และไตรมาส 3/61 ที่ 1.14% และ 1.23% ตามลำดับ ตามการควบคุมคุณภาพหนี้ โดย NPL ของบัตรเครดิตปรับตัวลงจาก 1.07% เหลือ 0.78% ในขณะที่ NPL ของสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.78% เป็น 0.83%

 

 


คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/62 อาจถูกกดดันจากการตั้งค่าใช้จ่ายสำรองที่สูงอีกไตรมาส ตามการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ โดยในไตรมาส 4/62 บริษัทเตรียมงบประมาณการตลาด เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตร และสินเชื่อ ส่วนอัตราส่วน NPL คาดปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใส ทั้งนี้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2562 ลงราว 9.0% จากการปรับเพิ่ม Credit Cost ขึ้น 58 bps เป็น 7.32% จาก 6.74% ทำให้กำไรสุทธิปี 2563 ลดลงเหลือ 5,566 ล้านบาท จาก 6,119 ล้านบาท แต่ก็ยังมีการเติบโตจากปี 2561 ราว 8%

 

 

 

แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 53.00 บาท แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2563 ที่ 53.00 บาท อิงค่า Prospective PBV ที่ 5.6 เท่า เราคาดหวังกำไรสุทธิปี 2563 ปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของพอร์ต รวมถึงธุรกิจใหม่พิโก และนาโนไฟแนนซ์เริ่มสร้างรายได้ในบริษัท

 

 

KTC

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

DELTA พาSETเด้ง By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เช้าวันนี้ ใครกัน ลาก กระชาก หุ้นDELTA พาSET เด้ง งานนี้ บริษัท DELTA ไม่รู้ แต่ ฝ่าย...

MMM ต้อนรับคณะนักลงทุน IAT อัปเดตแผนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น ก่อนเทรดตลาด mai

MMM ต้อนรับคณะนักลงทุน IAT อัปเดตแผนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น ก่อนเทรดตลาด mai

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้