Today’s NEWS FEED

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในเว็บไซต์สำหรับทดสอบระบบ

News Feed

HotNews: เทพหุ้น ฟันธงใครได้ ใครเสีย!! หลังกนง. สร้าง Surprise ลดดบ.0.25%

2,370

HotNews: เทพหุ้น ฟันธงใครได้ ใครเสีย!!

หลังกนง. สร้าง Surprise ลดดบ.0.25%

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (7 สิงหาคม 2562)----บอร์ดกนง. มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.5% หลังประเมิน ศก.ไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าคาด ด้านกูรูหุ้น หยวนต้า ชี้กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%Surprise ต่อตลาด-เชียร์ซื้อADVANC-INTUCH-LH-TTW-DIF ขณะที่ ฟินันเซีย ไซรัส ชี้ กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%เป็นลบกับ TVO-SYNEX-PTTEP ส่วนSCBS ระบุบาทอ่อน หลัง กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สวนตลาดคาด

 

ฟาก CNS ชี้กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% ส่งผลบวกต่อSAWAD-AMANAH-JMART-ADVANC-INTUCH-KKP-AP-SPALI , KTZ ชี้THANI-MTC-SAWAD รับผลบวก จากต้นทุนการเงินลดลง หลัง กนง. ลดดอกเบี้ย ขณะที่กูรูทิสโก้ชี้ กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยเซอร์ไพร์ตลาด คาดทั้งปีคงไว้ที่ 1.50% เพราะได้สะท้อนการปรับลดจีดีพีไปแล้ว และเศรษฐกิจไทยยังไม่แย่เท่ากับภาวะวิกฤตซับไพร์ม

 

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุมกนง. ในวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โดยคณะกรรมการฯ มีมติ5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.50 ต่อปีโดยให้มีผลทันที ขณะที่2 เสียงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.75 ต่อปี

 

ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการส่งออกสินค้าที่หดตัวและเริ่มส่งผลไปสู่อุปสงค์ในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย เสถียรภาพระบบการเงินได้รับการดูแลไปแล้วบางส่วน แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมายกรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนกรรมการ 2 ท่านเห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาวะที่นโยบายการเงินอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายอยู่แล้ว อาจไม่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มได้มากนัก เมื่อเทียบกับความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งยังมีความจ่าเป็นที่ต้องรักษาขีดความสามารถในการด่าเนินนโยบายการเงิน (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต

 


เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้เดิมและต่่ากว่าระดับศักยภาพโดยการส่งออกสินค้าหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้ตามเศรษฐกิจคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลงจากสภาวะการกีดกันทางการค้าที่ทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ส่าหรับด้านอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงตามรายได้ของครัวเรือนนอกภาคเกษตรและการจ้างงานที่ปรับลดลง โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคการผลิตเพื่อส่งออก รวมทั้งยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง อย่างไรก็ดีการย้ายฐานการผลิตมายังไทยและโครงการร่วมลงทุนของรัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสนับสนุนการลงทุนในระยะต่อไป การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มขยายตัวต่่ากว่าที่ประเมินไว้ตามการลงทุนภาครัฐซึ่งส่วนหนึ่งจากข้อจ่ากัดด้านการเบิกจ่าย รวมทั้งการประกาศใช้พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจ่าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563ที่คาดว่าจะล่าช้า ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามความเสี่ยงด้านต่างประเทศจากสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศที่สูงขึ้น แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศอุตสาหกรรมหลักที่จะส่งผลมาสู่อุปสงค์ในประเทศ และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งจะติดตามการด่าเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่และการใช้จ่ายภาครัฐ ตลอดจนความคืบหน้าของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ส่าคัญและผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป

 

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีมีแนวโน้มต่่ากว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อจากราคาพลังงานที่ปรับลดลงเร็ว รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่มีแนวโน้มชะลอลงตามแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่ปรับลดลง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อาทิ ผลกระทบจากการขยายตัวของธุรกิจ e-commerce การแข่งขันด้านราคาที่สูงขึ้น รวมถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ท่าให้ต้นทุนการผลิตลดลงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นได้ช้ากว่าในอดีต

 

ภาวะการเงินที่ผ่านมาอยู่ในระดับผ่อนคลาย สภาพคล่องในระบบการเงินอยู่ในระดับสูง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ในระดับต่่า ภาคเอกชนยังสามารถระดมทุนได้ต่อเนื่อง แต่สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงทั้งสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค ด้านอัตราแลกเปลี่ยน คณะกรรมการฯ ยังมีความกังวลต่อสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นในสภาวะที่การกีดกันทางการค้ารุนแรงขึ้น จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจ่าเป็นของการด่าเนินมาตการที่เหมาะสมเพิ่มเติมระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจสร้างความเปราะบางให้เสถียรภาพระบบการเงินได้ในอนาคต คณะกรรมการฯ เห็นว่ามาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่ได้ด่าเนินการไปช่วยดูแลการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังต้องติดตามการก่อหนี้ของภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การขยายสินทรัพย์และความเชื่อมโยงภายในของสหกรณ์ออมทรัพย์รวมถึงการก่อหนี้ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจประเมินความเสี่ยงต่่ากว่าที่ควร ทั้งนี้ ในระยะต่อไปที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงและอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่่าต่อเนื่อง มาตรการก่ากับดูแลสถาบันการเงิน(microprudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential) ยิ่งต้องมีบทบาทมากขึ้นในการดูแลความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินมองไปข้างหน้า คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะผลกระทบของสภาวะการกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการด่าเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบกับความสามารถในการแข่งขันและแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน

 

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit : TISCO ESU) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 1.50% ต่อปี เหนือความความหมายของ TISCO ESU และเหนือความคาดหมายของตลาด แม้ที่ผ่านมา TISCO ESU มองว่ามีโอกาสจะได้เห็นเสียงแตกของ กนง. เกิดขึ้นในการประชุมรอบนี้ แต่มติเสียงผิดไปจากคาดการณ์โดยเร็วกว่าที่ TISCO ESU เคยประเมินไว้เดิมว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 4 จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ


ด้านการส่งสัญญาณถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเป็นไปตามที่ TISCO ESU คาดหมายไว้ โดยคาดว่าการปรับลดประมาณการจีดีพีจะเกิดขึ้นในการประชุมครั้งหน้า (18 ก.ย.) แต่มองว่าจะยังไม่ต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับตัวเลขเชิงจิตวิทยาในมุมมองของ TISCO ESU (จีดีพีที่ต่ำกว่าระดับ 3% ล่าสุดคือในปี 2557 ที่เศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1% ซึ่งเป็นปีที่มีรัฐประหารเกิดขึ้นด้วย) อนึ่ง ประมาณการจีดีพีปัจจุบันของ ธปท. ในปี 2562 อยู่ที่ 3.3%


อย่างไรก็ตาม TISCO ESU มองว่าการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจน โดยยังเป็น "Data Dependent" ซึ่ง กนง. ระบุว่า "จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะผลกระทบของสภาวะกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป" ถือเป็นประโยคเดียวกับการประชุมรอบก่อน โดยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2562


ดังนั้น TISCO ESU มองว่า จะไม่เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงติดกันต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนักในกรณีฐานว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ไปจนสิ้นปี 2562 เนื่องจาก 1) เสียงที่ไม่เป็นเอกฉันท์ในการลดดอกเบี้ยของกนง. 2) การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้น่าจะสะท้อนการปรับลดคาดการณ์จีดีพีที่จะถูกปรับลดลงอย่างเป็นทางการในการประชุมครั้งหน้าแล้ว
3) อัตราดอกเบี้ยที่ถูกปรับขึ้นมาเพียง 0.25% สู่ระดับ 1.75% ในการประชุมเมื่อเดือน ธ.ค. 2561 ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการสร้าง Policy Space ได้ถูกใช้ไปแล้วในการประชุมครั้งนี้ และ 4) ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำสุดเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตซับไพร์ม อยู่ที่ระดับ 1.25% ซึ่งเศรษฐกิจไทยหดตัว 0.7% ในปี 2552 แต่สถานการณ์เศรษฐกิจที่อ่อนแอลงในปัจจุบันน่าจะยังไม่รุนแรงเทียบเท่ากับเหตุการณ์ในวิกฤตครั้งก่อน


อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มเศรษฐกิจอ่อนแอลงไปมากจากพัฒนาการเศรษฐกิจต่างๆ เช่น หากสงครามการค้าทวีความรุนแรงขึ้น เป็นต้น ประกอบกับการจะประกาศบังคับใช้เกณฑ์การปล่อยสินเชื่อบุคคล (เกณฑ์สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ หรือ DSR) ที่เข้มงวดมากขึ้นในการกำกับดูแลความเสี่ยงเฉพาะจุดในด้านเสถียรภาพระบบการเงิน จะช่วยเปิดช่องให้ กนง. ผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพิ่มเติมได้หากมีความจำเป็น


บทวิเคราะห์ บล.หยวนต้า ระบุว่า การที่บอร์ด กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.5% สวนตลาดคาด นั้นมีความเห็นว่า เป็น Surprise ต่อตลาด เรามองว่าจะเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่ม Yield Play ได้แก่ สื่อสาร, อสังหา, กลุ่ม IFF, REITและแนะนำ "ซื้อ" ADVANC, INTUCH, LH, TTW, DIF

Strategy Update - ธปท.สร้างเซอร์ไพร์สให้ตลาดด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.5% เรามองเป็นบวกใน 2 มิติ ได้แก่
1.หุ้นกลุ่มปันผลสูง, กลุ่มการเงิน, ธนาคารขนาดเล็กที่ให้ปันผลสูง, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร ได้แก่ ADVANC, INTUCH, LH, TTW, DIF, MTC, SAWAD, KTC, TISCO, KKP
2.แนวโน้มเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่า เป็นบวกต่อกลุ่มส่งออก ได้แก่ CPF, TU


-บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สวนทางเราและตลาดคาด
(+) เป็นบวกกับไฟแนนซ์ (KTC, MTC, ASK, TISCO, TCAP, KKP) และอสังหา (LH, ORI, SPALI) ท่องเที่ยว (ERW) และโลจิสติกส์ (JWD, III, AMATA, WHA)
(-) เป็น sentiment ลบกับแบงก์ใหญ่ (แต่ในทางปฎิบัติ กระทบจำกัดเพราะการขึ้นดอกเบี้ยครั้งก่อน แบงก์ไม่ได้ปรับขึ้น)
(-) เป็นลบกับ TVO, SYNEX, PTTEP
(+) เงินบาทอ่อนค่า เป็นบวกกับผู้ส่งออก SAPPE, TU, CPF, GFPT, TFG และผู้ที่มีหนี้จำนวนมากและ Bond กำลังจะครบกำหนด BJC, CPALL, HMPRO

 

บทวิเคราะห์ บล.ไทยพาณิชย์ SCBS ระบุว่า บอร์ด กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สวนตลาดคาด หลังระบุแนวโน้มเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าประเมินและต่ำกว่าศักยภาพ-ส่งออกหดตัวมากกว่าคาด
- สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ บาทอ่อน
- หุ้นที่คาดได้ประโยชน์ ได้แก่ ลิสสิ่ง (TCAP, TISCO, AEONTS, KKP) ท่องเที่ยว (MINT, ERW, AOT) อสังหา (SPALI, AP) อาหาร (GFPT, TU) และอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งอินฟราฟันด์ (JASIF, DIF)
- ขณะที่มองเป็นกลางถึงลบต่อกลุ่ม ธพ. ขนาดใหญ่ และ สายการบิน


บล.โนมูระ พัฒนสิน หรือCNS ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า บอร์ด กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.50% สวนตลาดคาด เป็นบวกต่อกลุ่ม Consumer Finance: SAWAD, AMANAH, JMART
High Yield: ADVANC, INTUCH, KKP
Property: AP, SPALI


บทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ หรือKTZ ระบุว่า ผลประชุมกนง.มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาที่ 1.5% ขณะที่กลุ่มหุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน เช่น TTW DIF JASIF ฯลฯ และกลุ่มหุ้นไฟแนนซ์ ลิสซิ่ง เช่น THANI MTC SAWAD จะได้รับผลบวกจากแนวโน้มต้นทุนการเงินที่ลดลง


กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีความเห็นต่อผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่สร้างความประหลาดใจให้ตลาดด้วยการลงมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาที่ 1.50% เป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 ส่งผลให้เงินบาทอ่อนลงค่าอย่างรวดเร็วแตะระดับ 30.90 ต่อดอลลาร์ ก่อนที่กลับมาซื้อขายแถว 30.80 อ่อนค่าจากระดับที่ซื้อขายก่อนหน้านี้เพียงเล็กน้อย นับตั้งแต่ต้นปี เงินบาทยังคงแข็งค่ามากกว่า 5% และเป็นสกุลเงินที่แข็งค่ามากกว่าสกุลอื่นๆ ในเอเชีย โดยทางคณะกรรมการกนง. จะติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจำเป็นของมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม


คณะกรรมการ กนง. ระบุว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ และระบุว่าการชะลอตัวของภาคส่งออกเริ่มส่งผลต่ออุปสงค์ในประเทศ กนง. ประเมินว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะต่ำกว่าระดับศักยภาพ ขณะที่สถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมไม่ได้เอื้อต่อการส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของภาครัฐ ด้านแรงกดดันด้านราคา กนง. มองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายในช่วง 1-4% นอกจากนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังเพิ่มความเสี่ยงอย่างมีนัยยะสำคัญท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น


คณะกรรมการกนง. มีกำหนดการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 25 กันยายน 2562 การลงมติในวันนี้สามารถตีความได้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจอยู่ในสภาพที่แย่กว่าที่ประเมินไว้ ขณะที่กนง. ย้ำถึงผลกระทบจากการที่ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับต่ำเป็นเวลานานเกินไป และเน้นว่าได้ดำเนินมาตรการเพื่อจัดการความเสี่ยงของเสถียรภาพทางการเงินได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ คณะกรรมการสองท่านมีความเห็นให้คงดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้มีแนวโน้มการผ่อนปรนนโยบายการเงินทั่วโลก แต่เรายังไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับต่ำอยู่แล้ว สำหรับแนวโน้มต่อไป เราคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ 1.50% ตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยประเด็นสงครามการค้าโลกจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะผลต่อการปรับมุมมองของเรา

 

 

*ภากร ไม่ตกใจ กนง. ลดดอกเบี้ย
มองเป็นไปตามทิศทางธนาคารโลก

 

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) แสดงความเห็นต่อผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ได้มีการปรับลดดอกเบี้ย 0.25 % จากระดับ 1.75% เหลือ 1.50% มองว่าไม่เป็นเรื่องที่น่าตกใจ เนื่องจากถือว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นมาตรการทางการเงินอย่างหนึ่งของคณะกรรมการนโยบายการเงิน และเป็นไปตามกระแสของธนาคารกลางโลกที่มีการปรับลดดอกเบี้ยลง


ด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 ปิดที่ 1,711.97 จุด ลดลง 1.1% จากสิ้นเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 9.5% จากสิ้นปี 2561 โดยการลดลังของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในครั้งนี้เป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคที่มีการปรับตัวลดลง เนื่องจากได้รับปัจจัยจากภายนอก 3 ระยะ ได้แก่ ในช่วงวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ธนาคารกลางกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 0.50% ขณะที่ในวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้มีการทวีตว่าสหรัฐฯ จะขึ้นภาษี 10% กับสินค้านำเข้าจีน 300,000 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 1 กันยายน 2562 และในวันที่ 5 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ประเทศจีนได้มีการตอบโต้สงครามการค้าสหรัฐฯด้วยการลดค่าเงินหยวนลง ซึ่งอ่อนกว่าระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตามการปรับลดของดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดภูมิภาค โดยดัชนีตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 4.03%, ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 4.04%, ดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 5.18%, ดัชนีตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 5.37%, ดัชนีตลาดหุ้นเกาหลี ลดลง 5.94%, ดัชนีตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.05% และดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 7.71%

ขณะที่ในเดือนกรกฎาคม ผู้ลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตลาดหลักทรัพย์ไทย 20,524 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการซื้อต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ด้วยมูลค่าซื้อสุทธิสูงสุดในอาเซียน

ทั้งนี้ในเดือนสิงหาคมยังแนะนำให้นักลงทุนติดตามปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะปัจจัยด้านสงครามการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง ในส่วนของเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow)คาดว่าจะยังทรงตัวจากช่วงเดือนกรกฎาคม โดยมีสัญญาณขายเล็กน้อย แต่ยังถือว่าตลาดทุนไทยยังคงเป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าเป็นตลาดที่ปลอดภุยและมีเสถียรภาพในการลงทุน

 

---จบ---

 

 

 

 

 

ประทุมพร ม่วงเอก

:รายงาน / อณุภา ศิริรวง:เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ปิดช่องแคบฮอร์มุช By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้น หลังจาก สภาอิหร่าน ลงมติปิดช่องแคบฮอร์มุช ตอบโต้สหรัฐฯจมตี......

NKT เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมโรงพยาบาลนครธน

NKT เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมโรงพยาบาลนครธน

มัลติมีเดีย

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้