
HotNews : เจาะ Theme การลงทุน มิ.ย. รับรัฐบาลใหม่
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ ( 4 มิถุนายน 2562) เจาะ Theme การลงทุนมิ.ย. รับรัฐบาลใหม่ กูรูทิสโก้ เคาะหุ้นเด่นเดือน มิ.ย. เน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนที่ได้ประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ชู AEONTS, CBG, CK, MAJOR, ROJNA, SEAFCO และ WHA ด้านเซียนหุ้นกรุงศรี เปิดกลยุทธ์เดือน มิ.ย. แนะ Selective Buy เน้นกลุ่ม Domestic play ที่ปลอดภัยจากปัญหา Trade war และคาดว่าจะได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ TOP Pick เดือน มิ.ย. ADVANC, BEM, BDMS, CK และ CPALL
บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ ออกบทวิเคราะห์เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ค. 62 ไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่เราคาดหวังไว้ หลังประธานาธิบดีทรัมป์สร้างความประหลาดใจด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ จากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% และจีนตอบโต้กลับด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% อย่างไรก็ดี ถือว่าตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหว "Outperform" กว่าตลาดหุ้นโลก (SET Index -3.2% vs. MSCI World Index -5.5%) รับอานิสงส์จาก MSCI Rebalancing ที่ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในตลาดเกิดใหม่ (EM) ขึ้นจาก 2.4% เป็น 2.9% ส่งผลให้เงินนอกไหลเข้าสวนตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน
สำหรับการประชุมธนาคารกลางหลายแห่งในเดือน มิ.ย. นี้ เราไม่คาดว่าธนาคารกลางใด ๆ จะเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากยังมีมุมมอง "Dovish" และ "Data-dependent" ต่อการดำเนินนโยบายการเงินอยู่ แต่เราคาดว่าธนาคารกลางส่วนใหญ่จะมีการปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกว่าคาด และเผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งสงครามการค้า และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit
เรามองตลาดยังมีแนวโน้มปรับลดประมาณการ GDP และกำไรปีนี้ลงอีก หลังตัวเลข Q1 อ่อนแอ และยังไม่ได้สะท้อนการขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่ อย่างไรก็ดี เรามองการปรับลดประมาณการกำไรของตลาดไม่น่ามีอีกมากแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากประมาณการกำไรนับตั้งแต่ต้นปีนี้ถูกปรับลงมาพอสมควรแล้วที่ -6% vs. แนวโน้มการปรับประมาณการกำไรในอดีตที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -8.0% (ยกเว้นถ้าเป็นปีที่เกิดวิกฤติ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008-09 หรือวิกฤติราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2014-15 ประมาณการกำไรของตลาดจะสามารถปรับลงได้มากกว่าระดับ -10%)
นอกจากนี้ เรามอง SET Index ในระดับปัจจุบันที่ 1620 จุด เริ่มมี Downside จำกัด เนื่องจากคิดเป็น Fwd. PER ปี 20F ที่ 13.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับ -0.5SD จากค่าเฉลี่ย Fwd. PER ระยะยาวที่ 15.3 เท่า และหากคำนึงถึงโอกาสการหั่นประมาณการกำไรลงอีก 2-3% ระดับ SET Index ก็จะต่ำกว่าระดับ 1600 จุดไม่มากนัก ดังนั้น SET Index ที่ต่ำกว่าระดับ 1600 จุด จึงน่าจะเป็นจังหวะในการทยอยสะสมอีกครั้ง
ถึงแม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า แต่เรามองตลาดหุ้นไทยเป็นตลาด "Defensive" ทำให้ Downside ค่อนข้างจำกัด (แต่ในขณะเดียวกัน Upside ก็จำกัดเช่นกัน) ขณะที่เรามองการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น ประเด็นหุ้นน่าลงทุนในเดือนนี้ จึงเน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยหุ้นเด่นในเดือน มิ.ย. ที่เราแนะนำ คือ AEONTS, CBG, CK, MAJOR, ROJNA, SEAFCO และ WHA ด้านแนวรับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1600, 1575-80, 1550 และ 1640, 1660-65, 1675-85 จุด ตามลำดับ
ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ค. ไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างที่เราคาดหวังไว้ หลังประธานาธิบดีทรัมป์สร้างความประหลาดใจด้วยการประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา และจีนตอบโต้กลับด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ จากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% มีผลบังคับใช้ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป สิ่งนี้สร้างความกังวลมากขึ้นต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สะท้อนในอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง แตะระดับ 2.26%
ซึ่งเป็นจุดต่ำใหม่นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2017 และกดดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือน พ.ค. ปรับตัวลงกว่า -5.5% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยถือว่าเคลื่อนไหว "Outperform" กว่าตลาดหุ้นโลก โดยปรับตัวลง -3.2% ได้อานิสงส์เชิงบวกจาก MSCI Rebalancing ที่ปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยในตลาดเกิดใหม่ (EM) ขึ้นจาก 2.4% เป็น 2.9% ประกอบกับมีความชัดเจนทางการเมืองในประเทศมากขึ้น หลังการเลือกประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ทั้ง 3 ท่านมาจากขั้วอำนาจเดิมที่ตลาดคาดว่าจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
เรายังคงมุมมองกรณีฐาน คือ พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่จะเป็นรัฐบาลที่มีคะแนนเสียงแบบปริ่มน้ำ (จำนวน ส.ส. ของพรรคร่วมรัฐบาลเกินกึ่งหนึ่งไม่มาก) ทำให้อายุรัฐบาลอยู่ได้ไม่นาน และน่าจะเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลใหม่มีความจำเป็นต้องเร่งสร้างผลงานเพื่อเป็นฐานเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยตลอดทั้งเดือน มิ.ย. นี้ แนะนำติดตามการจัดตั้งรัฐบาล และโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีว่าจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด
การประชุมหลายธนาคารกลางทั้งในและต่างประเทศเดือนนี้ คาดคงมุมมอง "Dovish"และ "Data-dependent"
ธนาคารกลางหลายแห่งมีกำหนดการประชุมพร้อมกันในเดือน มิ.ย. นี้ แม้เราไม่คาดว่าจะมีธนาคารกลางใด ๆ เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากยังมีมุมมอง "Dovish" และ "Data-dependent" ต่อการดำเนินนโยบายการเงินอยู่ แต่ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจลงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกว่าคาด และเผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งสงครามการค้า และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit มุมมองของเราต่อกำหนดการประชุมธนาคารกลางทั้งในและต่างประเทศเดือนนี้
วันที่ / ธนาคารกลาง 6 มิ.ย. / ECB (EU)
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
เราคาดว่า ECB จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกเดือน มิ.ย. 2021
คาดการณ์ด้านอื่น ๆ
เราคาด ECB จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจลงเล็กน้อย มองปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทั้ง Brexit และสงครามการค้า นอกจากนี้ คาดว่า ECB จะคิดอัตราดอกเบี้ยติดลบในการกู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ผ่านโครงการ TLTRO3 (เริ่มระลอกแรกเดือน ก.ย.)
18-19 มิ.ย. / FED (US)
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
เราคาด FED จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25-2.5% ตลอดจนปี 2021
คาดการณ์ด้านอื่น ๆ
เราคาดว่า FED จะย้ำว่านโยบายการเงินปัจจุบันยังมีความเหมาะสม และจะรอประเมินสถานการณ์ในระยะข้างหน้าอีกครั้ง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ทั้งนี้ FED อาจตัดสินใจลด Dot plot ปี 2020 ลงเป็นไม่ขึ้นอีกแล้ว (จากที่คงไว้ที่ 1 ครั้ง)
19 มิ.ย. / BOT (TH)
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
เราคาด กนง. จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% ตลอดทั้งปีนี้
คาดการณ์ด้านอื่น ๆ
เราคาด กนง. จะคงดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ แต่จะมีการทบทวนประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลงจาก 3.8% หลังเศรษฐกิจโลกชะลอ
19-20 มิ.ย. / BOJ (JP)
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
เราคาด BOJ จะคงมาตรการ Yield Curve Control (YCC) ตลอดจนปี 2020
คาดการณ์ด้านอื่น ๆ
เราคาดว่า BOJ จะคงนโยบายการเงินเดิม หลังการประชุมครั้งก่อนส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับต่ำยาวไปจนถึงกลางปี 2020 เป็นอย่างน้อย
20 มิ.ย. / BOE (UK)
คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย
เราคาด BOE จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในเดือน ส.ค.
คาดการณ์ด้านอื่น ๆ
เราคาด BOE จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.75% และประเมินความเสี่ยงมีสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit
ที่มา : TISCO Economic Strategy Unit (TISCO ESU), TISCO Research
ตลาดยังมีแนวโน้มปรับลดประมาณการ GDP และกำไรปีนี้ลงอีก หลังตัวเลข Q1 อ่อนแอ... GDP 1Q19 ขยายตัว +2.8% YoY ขยายตัวต่ำสุดนับตั้งแต่ 4Q14 จากกิจกรรมภาคต่างประเทศที่อ่อนแอ โดยยอดส่งออกทั้งสินค้า (-5.4% YoY) และบริการ (-3.6% YoY) ต่างหดตัว ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวดี นำโดยการบริโภคเอกชน (+4.6% YoY) และการลงทุนภาคเอกชน (+4.4% YoY) อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐยังคงอ่อนแอ (-0.1% YoY)
ถึงแม้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ปรับลดเป้า GDP ปี 2019 ลงเป็น 3.3-3.8% (จากเดิมที่ 3.5-4.5%) สอดคล้องกับประมาณการ GDP ของเราและตลาดที่ 3.5% และ 3.6% ตามลำดับ แต่เรามองประมาณการ GDP ในปัจจุบันยังมีความเสี่ยงที่อาจถูกปรับลงอีกเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอล่าสุด (ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้นในเดือน พ.ค. ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 ปี ขณะที่ดัชนีของยูโรโซนและญี่ปุ่นลดลงมาอยู่ในภาวะหดตัว) ยังไม่ได้สะท้อนการขึ้นภาษีตอบโต้กันระหว่างสหรัฐฯ และจีนรอบใหม่ แถมยังขยายวงกว้างขึ้นจากสงครามการค้าเป็นสงครามเทคโนโลยีด้วย หลังสหรัฐฯ สั่งคว่ำบาตร "Huawei" ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีน
สำหรับประมาณการกำไรปี 19-20F ของบริษัทจดทะเบียนไทย (Bloomberg Consensus) ถูกปรับลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยนับจากต้นปีนี้ปรับลงมาแล้ว -7% และ -6% มาอยู่ที่ 107.2 บาท และ 117.4 บาทในปี 19-20F ตามลำดับ เรามองแนวโน้มประมาณการกำไรยังถูกปรับลงอีกจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณชะลอตัวกว่าคาด, สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่รุนแรงขึ้น (ขยายวงเป็นสงครามเทคโนโลยี), ความผันผวนของราคาน้ำมันที่เกิดขึ้นล่าสุดจนต่ำสุดในรอบ 3 เดือน และการตั้งสำรองตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ที่กำหนดให้จ่ายเงินชดเชยเพิ่มขึ้นจาก 300 วันเป็น 400 วันสำหรับพนักงานที่มีอายุงานเกิน 20 ปีขึ้นไป โดยคาดว่าจะเห็นบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่บันทึกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ในช่วงไตรมาส 2
...แต่มอง SET Index เริ่มมี Downside จำกัด, จังหวะเข้าลงทุนไม่น่าหนีจากระดับ 1600 จุดมากนัก
ถึงแม้แนวโน้มประมาณการกำไรของตลาดยังมีโอกาสปรับลงอยู่ แต่เรามองไม่น่ามีอีกมากแล้ว เนื่องจากประมาณการกำไรนับตั้งแต่ต้นปีนี้ถูกปรับลงมาพอสมควรแล้วที่ -6% vs. แนวโน้มการปรับประมาณการกำไรในอดีตที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ -8.0% (ยกเว้นถ้าเป็นปีที่เกิดวิกฤติ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจปี 2008-09 หรือวิกฤติราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2014-15 ประมาณการกำไรของตลาดจะสามารถปรับลงได้มากกว่าระดับ -10%)
นอกจากนี้ เรามอง SET Index ในระดับปัจจุบันที่ 1620 จุด เริ่มมี Downside จำกัด เนื่องจากคิดเป็น Fwd. PER ปี 20F ที่ 13.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับ -0.5SD จากค่าเฉลี่ย Fwd. PER ระยะยาวที่ 15.3 เท่า และหากคำนึงถึงโอกาสการหั่นประมาณการกำไรลงอีก 2-3% ระดับ SET Index ก็จะต่ำกว่าระดับ 1600 จุดไม่มากนัก ดังนั้น SET Index ที่ต่ำกว่าระดับ 1600 จุด จึงน่าจะเป็นจังหวะในการทยอยสะสมอีกครั้ง
คาดการณ์ครั้งสุดท้าย รายชื่อหุ้นเข้า-ออก SET50 / SET100 Index งวด 2H19F
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทบทวนรายชื่อหุ้น SET50 / SET100 Index ชุดใหม่สำหรับใช้ในการคำนวณครึ่งปีหลังในช่วงกลางเดือน มิ.ย. นี้ จากการประเมินครั้งสุดท้ายของเราคาดว่าหุ้นที่จะเข้า SET50 Index มี 2 ตัว คือ OSP, SAWAD (เหมือนคาดการณ์ครั้งก่อนทั้งหมด) ซึ่งจะมาแทน CENTEL, SPRC (แตกต่างจากครั้งก่อนที่คาดการณ์ว่าจะเป็น KKP, SPRC) ที่ตกชั้นไปอยู่ SET100 Index ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะเข้า SET100 Index มี 4 ตัว คือ OSP, BA, S, SPCG (ลดลง 2 ตัว คือ TPIPL, THG จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่มี 6 ตัว) ส่วนหุ้นที่คาดว่าจะออก คือ ANAN, PSL, TKN, WORK (ลดลง 2 ตัว คือ PRM, SUPER จากคาดการณ์ครั้งก่อนที่มี 6 ตัว)
คาดการณ์รายชื่อหุ้นเข้า-ออก SET50 / SET100 Index สำหรับงวด 2H19F
SET50 Index
เข้า (Additions) OSP, SAWAD
ออก (Deletions) CENTEL, SPRC
สำรอง (Reserves) CENTEL, TPIPP, TTW, AEONTS, SPRC
SET100 Index
เข้า (Additions) OSP, BA, S, SPCG
ออก (Deletions) ANAN, PSL, TKN, WORK
สำรอง (Reserves) DCC, PTL, TKN, SF, JMT
ที่มา : TISCO Research
มองหุ้นที่ได้รับคัดเลือกเข้า SET50 / SET100 Index น่าสนใจต่อการลงทุนระยะสั้น เพราะโดยปกติมักเคลื่อนไหวในทิศทางที่ดีกว่าตลาด จากการศึกษาข้อมูลการซื้อขายในอดีตนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 2009 เป็นต้นมา เราพบว่าหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าสู่การคำนวณ SET50 Index จะให้ผลตอบแทนเป็นบวกโดยเฉลี่ยประมาณ +6.9%, +4.4%, +2.4% และ +2.3% ในช่วงก่อนเริ่มมีผลบังคับใช้ 1 เดือน, 3 สัปดาห์, 2 สัปดาห์ และ 1 สัปดาห์ ตามลำดับ ซึ่งระดับความเชื่อมั่นเฉลี่ยมากกกว่าระดับ 70% (หมายความว่า หากซื้อหุ้นตัวนั้นก่อนวันที่จะมีผลบังคับใช้ 1 เดือน จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ +6.9% หรือหากซื้อหุ้นตัวนั้นก่อน 1 สัปดาห์ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ +2.3% ตามลำดับ) ส่วนหุ้นที่ถูกปลดออกจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นลบราว 3-4% ในช่วงเวลาดังกล่าว
ธีมหุ้นเด่นเดือน มิ.ย. เน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนที่ได้ประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ถึงแม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมยังถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า แต่เรามองตลาดหุ้นไทยเป็นตลาด "Defensive" ทำให้ Downside ค่อนข้างจำกัด (แต่ในขณะเดียวกัน Upside ก็จำกัดเช่นกัน)ขณะที่เรามองการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่จะตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้น ประเด็นหุ้นน่าลงทุนในเดือนนี้ จึงเน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยหุ้นเด่นในเดือน มิ.ย. ที่เราแนะนำ คือ AEONTS, CBG, CK, MAJOR, ROJNA, SEAFCO และ WHA ด้านแนวรับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1600, 1575-80, 1550 และ 1640, 1660-65, 1675-85 จุด ตามลำดับ
ด้านบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเคราะห์ Monthly Wizard: June 2019 คาด SET index เดือน มิ.ย. เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,600 - 1,650 จุดโดยคาดดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของเดือน จากปัญหา Trade war ที่ยืดเยื้อและขยายตัวเป็นวงกว้างไปสู่ประเทศคู่ค้าอื่นๆของสหรัฐ แต่ปลายเดือนคาดดัชนีจะกลับมาฟื้นตัว จากการเก็งกำไรปัญหา Trade war จะคลี่คลายในการประชุม G20 ช่วงวันที่ 28-29 มิ.ย.รวมไปถึงการเก็งกำไรการจัดตั้งทีมเศรษฐกิจ และ การประกาศ Action plan ของรัฐบาลชุดใหม่
กลยุทธ์ยังเป็น Selective Buy เน้นหุ้นกลุ่ม Domestic play และกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อาทิ ค้าปลีก นิคม และรับเหมาฯ
Top pick เดือน มิ.ย. ADVANC, BEM, BDMS, CK และ CPALL
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
- 7 มิ.ย. สหรัฐรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือน พ.ค.
- 6 มิ.ย. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินยุโรป (ECB meeting)
- 17 มิ.ย. สหรัฐทำ Public hearing การเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้ามูลค่า 3 แสนล้านเหรียญในอัตรา 25%
- 18-19 มิ.ย. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ (Fed meeting)
- 20 มิ.ย. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินญี่ปุ่น และ อังกฤษ (BoJ & BoE Meeting)
- 25 -26 มิ.ย. ประชุมกลุ่มผลิตน้ำมันดิบ (OPEC+ Non OPEC Meeting)
- 28 -29 มิ.ย. ประชุม G20
***Trade war จีน-สหรัฐ ความหวังอยู่ที่การประชุม G20 ในช่วงวันที่ 28-29 มิ.ย.19 ***
ปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐกลับมาสร้างความกังวลให้กับตลาดอีกครั้งหลังจากเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาสหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหม่จากเดิม 10% เป็น 25% คลอบคลุมมูลค่าสินค้ากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ และขู่จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในอัตรา 25% ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมูลค่ารวมประมาณ 60,000 ล้านเหรียญ คลอบคลุมสินค้ากว่า 5,000 รายการ โดยจะจัดเก็บภาษีในหลายอัตราตั้งแต่ 5%-25% เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิ.ย. 19 นอกจากนี้สหรัฐยังมุ่งสกัดกั้นการเติบโตของธุรกิจเทคโนโลยีของจีน ด้วยการประกาศแบนธุรกิจของบริษัท หัวเว่ย และ เตรียมแบนธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตกล้องวงจรปิดของจีนอย่างน้อย 5 ราย
ปัจจุบันนักลงทุนยังเฝ้าติดตามปัญหาสงครามการค้าระหว่างสองประเทศอย่างใกล้ชิด และยังมีความหวังเชิงบวกว่าสหรัฐและจีนจะสามารถยุติข้อพิพาททางการค้าได้ในการประชุมระหว่าง ทรัมป์ และ สีจิ้นผิง ซึ่งจะมีขึ้นในการประชุม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันที่ 28-29 มิ.ย. 19 อย่างไรก็ตามก่อนที่จะถึงการประชุมดังกล่าวเราคาดว่าจะมีเหตุการณ์ที่จะเข้ามากดดันตลาดก่อนอย่างน้อย 1 เหตุการณ์ นั่นคือ สหรัฐ อาจจะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นเครื่องมือหลักในการเจรจาต่อรองกับ สี จิ้นผิง ในการประชุม G20 แต่เหตุการณ์นี้คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังวันที่ 17 มิ.ย. 19 เพราะสหรัฐต้องทำประชาพิจารณ์ (Public hearing) เสียก่อนซึ่งการทำประชาพิจารณ์จะมีขึ้นในวันที่ 17 มิ.ย.19
หากเป็นไปตามที่เราคาดการณ์เราเชื่อว่าจีนและสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติสงครามการค้าได้ แต่เป็นเพียงการยุติข้อตกลงที่สหรัฐจะไม่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ปัจจัยนี้จะผลักดันให้ตลาดหุ้นทั่วโลกทำได้เพียงแค่ฟื้นตัวไม่เพียงพอที่จะทำ New high เพราะยังมีผลกระทบทางลบจากภาษีก้อนเดิมที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนในช่วงก่อนหน้า คือ มูลค่า 50,000 ล้านเหรียญเก็บภาษี 25% และมูลค่า 200,000 ล้านเหรียญเก็บภาษี 25% ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าหากตลาดจะขึ้นแรงและมี New high สหรัฐจะต้องยกเลิกภาษีที่เรียกเก็บภาษีจากสินค้าจีนในช่วงก่อนหน้านี้ทั้งหมด
***ตลาดยังคาดหวัง Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้ ***
จากการประชุมครั้งก่อนคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันฑ์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.5% ตามที่ตลาดคาดไว้ และส่งสัญญาณจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ สอดคล้องกับ Fed Dot plot หรือจำนวนครั้งในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ลดลงจาก 2 ครั้งเป็น 0 ครั้ง ส่วนการประชุมเดือนนี้ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 18-19 มิ.ย. เราและตลาดส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.5% ตามเดิม เพราะต้องการรอดูผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าครั้งใหม่หลังจากที่จีนและสหรัฐกลับมาทำสงครามการค้าด้วยการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันอีกครั้ง และปัญหานี้ยังมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นหากสหรัฐเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย Bloomberg Consensus คาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้อยู่ที 0% และคาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 92.1%
ส่วนในช่วงที่เหลือของปีนี้ตลาดยังคาดหวังว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 1 ครั้งสะท้อนผ่านคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus ซึ่งคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยมีมากขึ้น ดังจะเห็นได้ตามรูปด้านล่าง ซึ่งเห็นได้ว่าความน่าจะเป็นที่ Fed จะลดดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 21.7% ในการประชุมเดือน ก.ค. และเพิ่มขึ้นเป็น 52.8% ในเดือน ก.ย. และสูงขึ้นเป็น 62.4% และ 79% ในเดือน ต.ค. และ ธ.ค. ตามลำดับ
การเมืองในประเทศ จับตาทีมเศรษฐกิจ และ Action plan ของรัฐบาลใหม่
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ในรูปแบบของรัฐบาลผสมมีพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด 15 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ, ภูมิใจไทย, ประชาธิปัตย์ และ พรรคขนาดเล็กอื่นๆ โดยมีเสียง ส.ส.สนับสนุนประมาณ 253 เสียงจากทั้งหมด 500 เสียง เมื่อรวมกับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.อีก 250 เสียง จะมีคะแนนเสียงรวม 503 เสียง เกินกึ่งหนึ่งของสภา (ส.ส.+ส.ว.) จึงเป็นไปได้ว่าสภาฯจะลงมติโหวตให้ พลเอก ประยุทธ์ จันโอชา เป็น นายกฯรัฐมตรีต่ออีกหนึ่งสมัย และเป็นนายกฯคนที่ 30 ของเมืองไทย
อย่างไรก็ตามเรามองว่าตลาดมองข้ามการจัดตั้งรัฐบาลและตัวนายกฯไปแล้ว ลำดับถัดไปเราเชื่อว่าตลาดจะมุ่งเป้าไปที่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี
โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ รวมไปถึงการประกาศ Action plan หรือ Road map ในการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่มากกว่า เบื้องต้นเรายังเชื่อว่าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่จะยังมี คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นผู้นำหรืออยู่เบื้องหลังเหมือนกับทีมเศรษฐกิจของ คสช. ดังนั้น Action Plan ที่จะเกิดขึ้นของรัฐบาลชุดใหม่พอจะคาดเดาได้ประมาณ 3 แนวทาง คือ 1) นโยบายเร่งด่วนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชน คือ การกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับรากหญ้า หรือ นโยบายประชานิยม เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน (เรียกคะแนน), 2) โครงการเมกะโปร์เจกต์ เร่งกระตุ้นโครงการค้างท่อต่างๆ (รถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูง และรถไฟทางคู่)
ให้เดินหน้าเนื่องจากเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ภาครัฐจะต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อมาชดเชยฟันเฟืองจากการส่งออกและท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และ 3) สานต่อนโยบาย EEC ให้เป็นรูปธรรมหลังจากที่วางรากฐานไว้แล้วในรัฐบาล คสช. ผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
Theme การลงทุนสำหรับรัฐบาลชุดใหม่จึงเกาะอยู่ใน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ 1)กลุ่มค้าปลีก Top pick CPALL ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย, 2) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง Top pick STEC CK คาดหวังรัฐบาลใหม่เร่งขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ อาทิ รถไฟความเร็วสูง และ รถไฟฟ้า และ 3) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม Top pick AMATA คาดหวังรัฐบาลใหม่เดินหน้าสานต่อโครงการ EEC
***ราคาน้ำมันดิบจะลงต่อ หรือ ฟื้นตัว ขึ้นอยู่กับการประชุมของกลุ่ม OPEC ในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้ ***
ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และถือเป็น Assets class ที่ให้ผลตอบแทนเด่นสุดในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- เม.ย.) โดย WTI เพิ่มขึ้น 39.9% และ Brent เพิ่มขึ้น 33.9% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดวิตกกังวลว่า Supply น้ำมันดิบของโลกจะตึงตัว จาก 1) กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันดิบ (OPEC + Non OPEC) ประกาศปรับลดการผลิตจำนวน 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 19 ไปจนถึง 30 มิ.ย.19, 2) ปริมาณการการผลิตน้ำมันดิบของเวเนซุเอล่าปรับตัวลงเนื่องจากประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และ 3) กังวลการผลิตน้ำมันดิบและส่งออกจากอิหร่านจะลดลงหลังจากสหรัฐกลับมาประกาศคว่ำบาตรต่ออิหร่านรอบใหม่ อย่างไรก็ตามในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากตลาดวิตกกังวลว่าปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และสหรัฐกับเม็กซิโกรอบใหม่จะกดดันให้เศรษฐกิจและความต้องการน้ำมันดิบของทั้งโลกลดลง ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าจะลงต่อหรือกลับมาฟื้นตัวจึงขึ้นอยู่กับการประชุมของกลุ่ม OPEC ในช่วงวันที่ 25-26 มิ.ย.
รวมไปถึงการประชุมเพื่อแก้ปัญหาสงครามการค้าระหว่าง ทรัมป์ และ สิจิ้น ผิง (G20) ในช่วงปลายเดือน
เบื้องต้นเราแบ่งแนวทางผลประชุมของกลุ่ม OPEC ไว้ 3 แนวทาง คือ 1) Worse case : OPEC + Non OPEC มีมติเพิ่มการผลิตเพื่อชดเชยปริมาณการผลิตที่หายไปของอิหร่านหากออกมาในแนวทางนี้จะท ให้ตลาดน้ มันไม่มีปัจจัยบวกใหม่ให้ลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนั่นหมายความว่าตลาดต้องไปลุ้นให้ปัญหา Trade war ยุติลงในเร็ววันถึงจะหนุนให้ Sentiment และ Demand กลับมาฟื้นตัวได้ หากเป็นไปตามแนวทางนี้ เราเชื่อว่าราคาน้ มันดิบ WTI จะปรับตัวลงไปทดสอบแนวรับจิตวิทยาที่ระดับ 50-55$/bbl, 2) Base case เป็นแนวทางที่กลุ่มOPEC + Non OPEC มีมติขยายเวลาการปรับลดปริมาณการผลิตที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงสิ้นปี 2019 จากเดิมจะหมดอายุมาตรการในวันที่ 30 มิ.ย.19 แนวทางนี้จะช่วยBalance Demand ที่ลดลงจากปัญหา Trade war ได้
ซึ่งจะทำให้ราคาน้ มันดิบสามารถประคองตัวที่ระดับ 55-65$/bbl ต่อไปได้อีกในช่วงครึ่งปีหลัง และ 3) Best case หรือแนวทางที่ดีที่สุดของตลาดน้ มัน คือ กลุ่ม OPEC + Non OPEC ตัดสินใจลดปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันซึ่งลดการผลิตอยู่แล้วที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ก็ลดเพิ่มอีกเป็น 1.8 หรือ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แนวทางนี้จะท ให้ Supply ตึงตัวมากขึ้นและหาก Trade war คลี่คลายได้เร็ว จะหนุนให้ราคาน้ มันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ระดับ 70-75$/bbl ได้อย่างรวดเร็ว
เรามองแนวทางที่ 2 หรือแนวทางที่ OPEC + Non OPEC ขยายเวลาการลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงสิ้นปี ถือเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด เพราะเป็นแนวทางที่ OPEC ต้องการ Balance Demand และ Supply ในตลาดไม่ให้เหลื่อมล้ำกันมากเกินไป ( Demand ที่ลดลงจาก Trade war จะถูกชดเชยด้วยการผลิตที่ลดลงของ OPEC ) ช่วยให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพเป็นบวกทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้
***สรุปพอร์ตการลงทุนเดือน พ.ค. แม้พอร์ตจำลองของเราจะให้ผลตอบแทนติดลบ(-0.6%ถึง -2%) แต่ก็ดีกว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทน -3.2% ***
หุ้นในพอร์ตการลงทุนทั้งหมด 5 หลักทรัพย์ของเดือน พ.ค. ให้ ผลตอบแทนเฉลี่ย -1.2% ดีกว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทน -3.2% โดย BEM ให้ผลตอบแทนมากที่สุด +3.7% ตามด้วย ADVANC +1.8% ส่วน CK และ BDMS ไม่เปลี่นแปลง โดย มี BCH ให้ผลตอบแทนน่าผิดหวังและเป็นตัวถ่วงผลตอบแทนของพอร์ตในเดือนนี้โดยให้ผลตอบแทน -11.5% ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนตั้งแต่เดือน ม.ค., ก.พ., มี.ค. เม.ย. และ พ.ค. (YTD) ให้ผลตอบแทนรวมลดลงเป็น 8.5% แต่ยังชนะตลาดซึ่ง YTD ให้ผลตอบแทน 3.6% ส่วนพอร์ตการลงทุนอื่นๆ พบว่าพอร์ตการลงทุนแบบ DCA (DCA. Stock) ให้ผลตอบแทนดีสุด -0.6% ตามด้วยพอร์ตลงทุนที่เน้นหุ้นปันผล (D.Stock) และ หุ้น Growth Stock (G.Stock) ให้ผลตอบแทน -1.3% และ -2% ตามลำดับ
***กลยุทธ์การลงทุนเดือน มิ.ย. ยังเป็น Selective buy เน้น กลุ่ม Domestic play และหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ อาทิ ค้าปลีก, นิคมฯ และ รับเหมาฯ***
กลยุทธ์เดือน มิ.ย. เรายังเลือกเป็น Selective Buy เน้นกลุ่ม Domestic play ที่ปลอดภัยจากปัญหา Trade war และคาดว่าจะได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ อาทิ 1) นโยบายเร่งด่วนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชน คือ การกระตุ้นการใช้จ่ายในระดับรากหญ้า หรือ นโยบายประชานิยม เพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน (เรียกคะแนน), 2) โครงการเมกะโปร์เจกต์ เร่งกระตุ้นโครงการค้างท่อต่างๆ (รถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูง และรถไฟทางคู่) ให้เดินหน้าเนื่องจากเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่ภาครัฐจะต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อมาชดเชยฟันเฟืองจากการส่งออกและท่องเที่ยวที่ชะลอตัว และ 3) สานต่อนโยบาย EEC ให้เป็นรูปธรรมหลังจากที่วางรากฐานไว้แล้วในรัฐบาล คสช. ผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่ม ค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้เรายังแนะนำทยอยสะสมหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลซึ่งจะเข้าสู่ช่วง High season ในช่วงไตรมาส 3
***TOP Pick เดือน มิ.ย. : ADVANC, BEM, BDMS, CK และ CPALL***
พอร์ตการลงทุนเดือน มิ.ย. เรายังคงหุ้นในพอร์ตทั้งหมด 4 หลักทรัพย์ไว้ตามเดิม คือ ADVANC BEM BDMS และ CK เนื่องจากยังอยู่ใน Them การลงทุนของเราแต่ถอด BCH ซึ่งมีประเด็นการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเงินประกันสังคมเหมือนกับปีที่ผ่านมาออกและนำหุ้น CPALL ซึ่งเป็น Top pick ของกลุ่มค้าปลีกเข้ามาแทน โดย ADVANC คาดว่าจะเข้าประมูลคลื่น 5G เพื่อแลกกับการยืดจ่ายค่าไลเซนส์คลื่น 900MHz ส่งผลบวกต่อ Cash flow รวมถึงอาจพิจารณาเพิ่มอัตราการจ่ายปันผล, BDMS เป็น Top picks หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลทยอยสะสมเตรียมเข้าสู่ช่วง High season ส่วน BEM และ CK ได้อานิสงส์จากงานภาครัฐที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นหลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่
Monthly portfolio ADVANC (ซื้อ/เป้า 213) Top pick กลุ่ม ICT
- ADVANC เป็นผู้ประกอบการในกลุ่ม ICT ที่ผลประกอบการมั่นคงสุดทั้งฐานะการเงิน ผลกำไรและ มีปันผลจ่ายสม่ำเสมอ ตรงข้ามกับ TRUE และ DTAC ทีผลกำไรยังผันผวน
- คาด ADVANC จะยื่นใช้สิทธิยืดเวลาจ่ายค่าไลเซนต์คลื่น 900MHz งวดสุดท้าย (10 พ.ค.19) ส่งผลบวกต่อการบริหาร Cash flow ของบริษัท และอาจหนุนให้ ADVANC เพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลขึ้น
- ประมูลคลื่น 700MHz มอง ADVANC ได้ผลบวกมากสุด เนื่องจากมีคลื่นเมื่อเทียบกับฐานผู้ใช้น้อยกว่าคู่แข่ง (ดูจากสัดส่วน bandwidth/จำนวนผู้ใช้) หาก ADVANC มีจำนวนคลื่นเพิ่มจะส่งผลบวกในระยะกลาง - ยาว
BEM (ซื้อ/เป้า 11.8) รายได้มั่นคงยาวนานจากสัญญาสัมปทานที่ยาวถึงปี 2050 -2057
- ปลดล็อก Overhang สัญญาสัมปทานทางด่วนที่กำลังจะหมดอายุสัมปทานในปี 2020 หลังจากการทางพิเศษ (กทพ.) อนุมัติต่อสัญญาสัมปทานให้ BEM (+30 ปี) ธุรกิจรถไฟฟ้าไต้ดินเข้าสู่ช่วงเติบโต จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เพราะ BEM จะเพิ่มจำนวน
- ตู้โดยสารรองรับ รถไฟฟ้าใต้ดินอีก 2 เส้นทาง ที่จะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือน ก.ย. 2019 และ เม.ย. 2020
- คาดกำไรปกติของ BEM จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4,000 ล้านบาทในปีนี้และ 5,000 ล้านบาท ในปี 2019 เติบโต 34%yoy และ 33% ตามลำดับ
BDMS (ซื้อ/เป้า 30): เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไร
- ผ่านพ้นช่วงการลงทุนใหญ่มาแล้ว จากที่ปี 2016 ซื้อปาร์คนายเลิศ ทำ BDMS Wellness clinic หรือ ศูนย์สุขภาพใหญ่สุดในเอเชีย ต่อจากนี้จะเริ่มเก็บเกี่ยวผลกำไร
- มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต จาก Mega trend ของผู้สูงวัย หรือ ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society)
- BDMS มีศักยภาพเติบโตมากกว่า BH และมีความพร้อมมากที่สุดของเมืองไทย จากจำนวนสาขาที่กระจายทั่วทุกภูมิภาค ทำให้ BDMS เติบโตได้ทั้งในเชิงของ Volume และ ราคา ขณะที่ BH เติบโตจาก ราคา เพียงอย่างเดียว
CPALL (ซื้อ/เป้า 88 บาท): Top pick กลุ่มค้าปลีก
- เรายังเชื่อว่าร้านสะดวกซื้อมีความยืดหยุ่นต่อทุกสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปในชีวิตประจำวัน จะยังมีความต้องการต่อเนื่อง
- บริษัทฯ ยังมีแผนการเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีส่วนแบ่งขาดทุนจากการขยายสาขาของ Makro ในต่างประเทศแต่จะกระทบกับกำไรเล็กน้อยเพียง 2-3% ซึ่งตลาดเริ่มรับรู้แล้ว
- CPALL เรามองเป็นหุ้น ที่ยังสามารถเติบโตได้ เราเชื่อว่าราคาหุ้นจะสามารถ outperform ตลาด และ sector ได้ในช่วงที่ตลาดผันผวน
SET Technical
ภาพระยะกลาง - ยาว : แกว่งตัวขาลงในกรอบ Downtrend SET เดือนก่อนดีดตัวขึ้นไปใกล้กรอบด้านบนบริเวณ 1,700 จุดแต่ไม่สามารถผ่านได้และถูกแรงขายกดให้ทรุดตัวลงแรงปิดต่ำกว่าเส้น EMA 10 days อีกครั้งส่งผลให้ภาพรวมดัชนีเป็นลบและยังคงเคลื่อนตัวในกรอบขาลงต่อไป นอกจากนี้เครื่องมือ RSI กับ MACD ที่ส่งสัญญาณขัดแย้งกันส่งผลให้โมเมนตัมแรงส่งดัชนีอ่อนกำลังลงและกดดันให้ดัชนีมีโอกาสผันผวนง่าย ดังนั้นประเมินว่า SET จะพักตัวลงไปทดสอบแนวรับสำคัญ 1,600 จุดก่อนจะสลับ Technical rebound อย่างไรก็ตามหาก SET หลุด 1,600 จุดจะมีแนวรับถัดไปที่บริเวณ Low เดิม 1,550 จุดต่อไป
- กลยุทธ์ รอซื้อช่วงอ่อนตัว โดยมีแนวรับ 1,600 จุด และ Cut loss หาก SET ลงต่ำกว่า 1,600 จุด
- ระยะกลาง-ยาว Wait & see เพื่อรอจังหวะซื้อสะสมที่บริเวณ 1,600 และ 1,550 จุดตามลำดับ
***Dividend stock ***
KKP ราคาเป้าหมาย : 72.0
- คาดยอดสินเชื่อปีนี้โต 10%yoy จากการขยายตัวของยอดสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อที่มีหลักประกัน
- คุณภาพสินทรัพย์ยังดี NPLs ratio ลดลงต่อเนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอประมาณ 5 บาทต่อปี ให้ Dividend yield ประมาณ 6-7%
QH ราคาเป้าหมาย : 3.5
- 2H18 จะได้ Sentiment บวกจากการเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้นหนุนยอดขาย Presale กลับมาโต
- Valuation ไม่แพง มี PE ratio ต่ำเพียง 8 เท่า และ PBV ratio ที่ 1.3 เท่า
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดปันผลปีนี้ประมาณ 0.22 บาทต่อหุ้น ให้ Dividend yield ประมาณ 6-7%
LH ราคาเป้าหมาย : 10.0
- วางแผนเปิดขายโครงการเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง (ประมาณ 23,000 ล้านบาท) คาดหวังรองรับการเติบโตของรายได้ในปีถัดไป
- จ่ายปันผลสม่ำเสมอ คาดเงินปันผลปีนี้ประมาณ 0.61 บาท ให้ Dividend yield ประมาณ 5.2% (ยังไม่รวมส่วนเพิ่มจากกำไรที่คาดว่าจะได้จากการขาย Asset
SCC ราคาเป้าหมาย : 440.0
- หุ้นใหญ่ผลกำไรเติบโตไม่มาก แต่มั่นคง ปีนี้คาดกำไรปกติประมาณ 53,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3%yoy
- ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมาจน Valuation เริ่มน่าสนใจโดยมี PE ปีนี้ต่ำเพียง 10 เท่า
- เป็นหุ้น Big Cap ที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ และให้ Dividend yield ประมาณ 4.5-5%
SNC ราคาเป้าหมาย : 20.0
- SNC ผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดของธุรกิจไป มองการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ การขาย และ ลดขนาดกิจการที่ไม่ทำกำไรจะทำให้ภาพรวมของบริษัทกลับมาฟื้นตัว
- ภาพรวมทั้งปีคาดมีกำไรสุทธิประมาณ 480 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20%yoy นับเป็นผลการดำเนินงานที่พลิกกลับมาขยายตัวได้เป็นปีแรกในรอบกว่า 4 ปี
- ราคาหุ้นยังถูกคิดเป็น P/E ปี 18 เพียง 10 เท่าขณะที่ EPS growth สูงถึง 20% และให้ Dividend yield ประมาณ 7-8% ต่อปี
***Growth stock ***
BEM ราคาเป้าหมาย : 11.8
- ธุรกิจรถไฟฟ้าไต้ดินเข้าสู่ช่วงเติบโต จากจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เพราะ BEM จะเพิ่มจำนวนตู้โดยสารรองรับ รถไฟฟ้าใต้ดินอีก 2 เส้นทาง ที่จะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือน ก.ย. 2019 และ เม.ย. 2020
- คาดกำไรปกติของ BEM จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4,000 ล้านบาทในปีนี้และ 5,000 ล้านบาท ในปี2019 เติบโต 34%yoy และ 33% ตามลำดับ
BGRIM ราคาเป้าหมาย : 35.0
- คาดผลกำไรเติบโตโดดเด่นสู่ระดับ 3,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 66%yoy จาก 2 แรงหนุน คือ ต้นทุนก๊าซลดลง และ มีเมกะวัตต์เพิ่มขึ้น
- มี Growth story จาก 1) ภาครัฐออกข้อสรุปให้ต่อสัญญาสัมปทานต่อโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุสัมปทาน และ 2) ลุยโรงไฟฟ้าต่างประเทศโดยเฉพาะเวียดนาม
MTC ราคาเป้าหมาย : 56.0
- MTC เป็นบริษัทเดียวในตลาดหลักทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิทำ New high ได้ทุกไตรมาส ประสิทธิภาพการดำเนินงานดีกว่าคู่แข่ง ทั้งยอดสินเชื่อต่อสาขาที่สูง และ NPL ratio ต่ำกว่า คาดกำไรสุทธิจะยังเติบโตเฉลี่ย 30-40% ต่อปี ในอีก 2 ปีข้างหน้าจากยอดสินเชื่อที่เติบโตตามแผนการขยายสาขาปีละ 600 สาขา
SPA ราคาเป้าหมาย : 13.0
- คาดอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในช่วงปี 2018-2019 จะเติบโตเฉลี่ย 30% จากการเติบโตภายใน และการเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทยอีกปีละ 10 สาขา นอกจากนี้ เรายังมี upside จากการเร่งขยายกิจการในประเทศจีนผ่านโมเดลธุรกิจแบบ franchise ด้วย branding ที่แข็งแกร่ง และคุณภาพของบริการที่สูงจึงเป็นการยากที่คู่แข่งจะเข้ามาตีตลาดและลอกเลียนแบบ
***DCA stock (Dollar cost average stock)***
AOT ราคาเป้าหมาย : 70.0
- ผูกขาดธุรกิจสนามบินในประเทศ ผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายพื้นที่ ในสนามบิน อาทิ ดอนเมืองและสุวรรณภูมิเฟส 2
BDMS ราคาเป้าหมาย : 30.0
- ธุรกิจโรงพยาบาลเป็นกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตอย่างมากในอนาคต จาก Mega trend ของผู้สูงวัย หรือก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) โดย BDMS เป็นผู้ประกอบการโรงพยาบาลที่มีศักยภาพและความพร้อมมากที่สุดของเมืองไทย จากจ นวนสาขาที่กระจายทั่วทุกภูมิภาค
BEM ราคาเป้าหมาย : 11.8
- เป็นหุ้นที่มีการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ ท ให้ BEM เป็นหุ้นที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง อาทิ ทางด่วน รถไฟฟ้าใต้ดิน นอกจากนี้ยังถือหุ้นในธุรกิจโรงไฟฟ้าผ่าน CKP และธุรกิจน้ำประปาผ่าน TTW
ADVANC ราคาเป้าหมาย : 213.0
- มือถือ และ อินเตอร์เน็ต กลายเป็นปัจจัย 4 ที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันของเราไปแล้ว ADVANC นับเป็นผู้ประกอบการในกลุ่ม ICT ที่ผลประกอบการมั่นคงสุด ทั้งฐานะการเงิน ผลกำไร และมีปันผลจ่ายสม่ำเสมอ
RATCH ราคาเป้าหมาย : 62.0
- ผลประกอบการเติบโตมั่นคง จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับภาครัฐ มี Growth story จากแผนการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ มีเงินปันผลสม่ำเสมอให้Dividend yield ประมาณ 4-5% ต่อปี