สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (31 มกราคม 2562)
อินไซด์เป็นเรื่องธรรมชาติ..
ช่วงนี้ก็จะเข้าสู่ฤดูกาลประกาศงบประจำปีครับ เป็นเรื่องใหญ่ของคนแวดวงหุ้น และมักจะตามมาด้วยเสียงบ่นเสียงนินทา เสียงยี้ว่า อินไซด์กันบึมเลย!
แล้วก็มักจะปล่อยกันเลยตามเลย ปีหน้าว่ากันใหม่ บ่นกันใหม่ กลายเป็นความชาชิน แต่มันบ่อนเซาะตลาดทุน และเป็นการบอนไซตลาดหุ้นกันไปโดยไม่รู้ตัว เอาข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อไวๆนี้เป็นตัวอย่าง DTAC ประกาศงบขาดทุน 4 พันกว่าล้าน ราคาหุ้นพุ่งทันที4บาท KBANK ประกาศกำไรพุ่งเฉียด4หมื่นล้าน เอ้าเฮ้ย!หุ้นตก BDMS ร่วงแค่วันเดียวตอนกลต.ออกข่าวปรับ 500 ล้าน หมอเสริฐหาว่าปั่นหุ้น พำอวันรุ่งขึ้นโดดขึ้นพรวด (มันดีใจอะไรของมัน...)
สรุปคืองงครับ เพราะเรื่องที่เกิดในตลาดหุ้นข้อนี้มันขัดกับหลักสามัญสำนึกง่าย ๆ ของมนุษย์นะครับ กล่าวคือ ถ้ามีข่าวร้ายข่าวลบเข้ามาส่งผลกระทบต่อหุ้น เราก็น่าจะต้องขายออก รอให้มีข่าวดีปรากฏเมื่อไร ค่อยซื้อหรือ...ถ้ายังปรากฏข่าวลือกระซิบกันตามห้องค้าหุ้น หรือส่งต่อกันมาทาง LINE เราก็ควรตรึกตรองกรองข่าวก่อน หรือนิ่ง ๆ ไว้ก่อนอย่าซื้อ รอจนปรากฏความจริงชัดเจนเสียก่อนค่อยซื้อลงทุน
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เรื่องกลับตาลปัตรที่มักเกิดขึ้นเสมอในตลาดหุ้นก็มักปรากฏว่า เมื่อข่าวร้ายปรากฏเผยแพร่ออกมาทางเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ คือเว็บไซต์ www.set.or.th ให้สาธารณชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึงกันแล้ว (SYMMETRIC INFORMATION) คนที่ใช้หลักการคาดการณ์อย่างสมเหตุสมผล (RATIONAL EXPECTATION) และสามัญสำนึกปกติ ถ้าหากมีหุ้นในมือ อาจจะ Action ด้วยการเทขายหุ้นออกไป
แต่การณ์กลับปรากฏว่า มีเราขายหุ้นอยู่คนเดียวเอง (มั้ง) กับแมงเม่าอีกจำนวนหนึ่ง หรือนักลงทุนหน้าใหม่ที่ตื่นตกใจอีกไม่มาก และสิ่งที่เราอาจแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองก็คือ พอเราขายหุ้นออกไปแล้ว ซักพักก็มีแรงซื้อหุ้นตัวนั้นเข้ามาชนิดเคาะซื้อไม้ใหญ่เหมือนกับว่าดีใจนักหนาที่เจ้าของหุ้นโดนปรับคดีจับปั่น หรือดีใจอะไรนักหนาเนี่นย DTAC ขาดทุนบานเลยเนี่ย
แล้วที KBANK โชว์กำไรเพียบ เราโดดใส่ซื้อเต็มพอร์ต ราคาหุ้นดันร่วงลงมา ทำเอาเราเจ้กอั้ก ตกลงคนในตลาดนี่มันเล่นหุ้นกันเป็นปะเนี้ย? ปรากฏว่าคนอื่นเขาเล่นหุ้นเป็นครับ เราต่างหากที่ดันเล่นหุ้นไม่เป็น เขาทำแบบนั้นเพราะเขามีกลยุทธ์ ส่วนเราเม่าล้วนๆไม่มีวัวปน...!
ทำไมถึง “ ซื้อเมื่อมีข่าวร้าย ขายเมื่อมีข่าวดี ” ( Buy on Bad News , Sell on Good News ) คำตอบคือ เพราะตลาดหุ้นไม่มีประสิทธิภาพ ( ไม่เฉพาะตลาดหุ้นเมืองไทยนะครับ เป็นกับแบบนี้ทั่วโลก ตลาดหุ้นอังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น ที่ไหนก็เป็นแบบนี้ )
สรุปสั้นๆคือ หากตลาดมีประสิทธิภาพสูงก็จะสามารถกำหนดราคาหุ้นแต่ละตัวให้ตรงตามกับปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้เพราะตลาดหุ้นได้เป็นแหล่งรวมข้อมูลทุกอย่างของหุ้นไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
คำว่า ตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ นั้นก็บอกกันตรง ๆ หละนะครับ ไม่ต้องแปลอะไรให้มากความ ก็จะตรงข้ามกับตลาดที่มีประสิทธิภาพ สรุปสั้นๆคือ หากตลาดมีประสิทธิภาพสูงก็จะสามารถกำหนดราคาหุ้นแต่ละตัวให้ตรงตามกับปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้เพราะตลาดหุ้นได้เป็นแหล่งรวมข้อมูลทุกอย่างของหุ้นไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
ทั้งนี้สาเหตุสำคัญของความไม่มีประสิทธิภาพก็มาจากการรับข้อมูลข่าวสารที่ไม่เท่าเทียมกัน( ASYMMETRIC INFORMATION ) รายใหญ่รู้เร็วกว่ารายย่อย กองทุนไทย-เทศรู้ลึกกว่านักลงทุนธรรมดา พวกอยู่วงในอินไซด์กว่าคนวงนอก จึงเกิดพฤติการณ์ขายก่อนช้อนกลับทีหลัง(หากอินไซด์ข่าวร้ายมาก่อน) หรือพฤติการณ์ซื้อดักก่อนชาวบ้านพอข่าวดีมาก็ขายใส่ชาวบ้านนักลงทุนทั่วไป(ในกรณีได้อินไซด์ข่าวดีมาก่อน)
แต่หากตลาดมีประสิทธิภาพ คือปิดข่าวเงียบ ประกาศโครมออกมารู้พร้อมกันถ้วนหน้า (SYMMETRIC INFORMATION)ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อย รายใหญ่ สถาบันต่างชาติ ราคาหุ้นจึงจะสะท้อนต่อข่าวไปในอีกแบบหนึ่ง คือโชว์กำไรออกมาก็ทำให้หุ้นขึ้น ตรงกันข้ามหากโชว์ขาดทุนก็ทำให้หุ้นตกแต่ความจริงแล้วตลาดหุ้นทั่วโลกไม่มีประสิทธิภาพ และข้อมูลข่าวสารไม่เท่าเทียมกันอย่างที่ว่า มันเลยทำให้เรื่องนี้คงยังเป็นสูตรสำเร็จต่อไป
แก้เผ็ดพวกอินไซด์......
ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกานั้นมีการใช้บังคับกฎ FD ( FORCE DISCLOSURE ) ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯโดยมีวัตถุประสงค์บังคับให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นต้องมีการเปิดเผยข้อมูลต่างๆของบริษัทอย่างเท่าเทียมกันสำหรับทั้งนักลงทุนประเภทสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยเพื่อสกัดไม่ให้กองทุน,โบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่หรือนักลงทุนขาใหญ่คว้าข้อมูลวงใน (ข้อมูลINSIDE-อินไซด์) ก่อนที่จะมีการเปิดเผยเป็นการทั่วไปสู่ PUBLIC (สาธารณชน คนพันธุ์เม่า)
เรื่องนี้นับว่าดีเยี่ยมเลยหละครับ แต่ต้องขีดเส้นใต้ด้วยว่า หาก ทำได้จริงในทางปฏิบัติ
ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น ไม่รู้เพราะว่า คงจะปราบอินไซด์ไม่ไหวหรือไร เลยไม่ไคร่เน้นมาตรการบังคับให้เปิดเผยข้อมูล ( FORCE DISCLOSURE : FD ) แต่ไปใช้มาตรการให้แรงจูงใจทางบวกแก่บริษัทจดทะเบียนเพื่อส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเท่าเทียมกันแทน
แต่หากจะกำหราบอินไซด์กันแบบเข้มๆ เหมือนการจับคดีปั่นหุ้นช่วง2-3ปีมานี้ได้ก็ควรต้องทำครับ จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเรามีประสิทธิภาพ และทำให้เกิดความเชื่อถือความเชื่อมั่น คนที่มีอคติว่าตลาดหุ้นก็ไม่ต่างจากบ่อน มีเจ้ามือมีคนคุมเกมได้ ก็จะได้หันกลับมามองว่า มันโปร่งใสเปิดเผยเป็นธรรม คนก็กล้าเข้ามาลงทุนกัน ขยายวงกว้างออกไป เพราะมี trust ต่อตลาด
ตลาดทุนก็พัฒนาได้เร็วและเติบโตขยายตัวในที่สุดครับ
....................
ข่าวประชาสัมพันธ์ครับ - คอร์สแรกของปีที่ท่านรอคอย - กราฟเทคนิคแม่นเทพ หลักสูตรหัวกระทิ By ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ คัดมาเฉพาะหัวกระทิ แม่ไม้กราฟที่พิสูจน์ว่าใช้งานได้ขั้นเทพของจริง เรียน่วันเดียวจบ รู้เรื่องเข้าใจง่าย เอาไปใช้ได้ตลอดชีพ
วันอาทิตย์ 24 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 08.30-17.30 น.
ที่ ห้องอบรมเชิงปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษารการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด ถนนรามคำแหง 160
ผู้ฝึกสอน - อาจารย์ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ โปรแกรมที่ใช้ในการสอน- ASPEN สำหรับ Window และสำหรับโทรศัพท์มือถือ (ใช้บน IPAD ได้)
ผู้เรียน - เป็นผู้ลงทุนในตลาดหุ้น,ตลาดฟิวเจอร์ (รวมทั้งTFEX และทองคำ),อัตราแลกเปลี่ยน (รวมทั้งCryptoCurrency) ไม่จำเป็นต้องมีความรู้หรือประสบการณ์เรื่องกราฟเทคนิคมาก่อน หากมีโน้ตบุ๊ค หรือสมาร์ตโฟนสำหรับลงโปรแกรมกราฟ จะช่วยให้ฝึกมือในภาคปฏิบัติดีขึ้น
หัวข้อการเรียนและทำเวิร์คปช็อป
*ดูแนวโน้มให้เป็นอ่านเทร็นด์ให้ขาด
*ฟันธงหุ้นด้วยทฤษฎีคลื่น ง่ายนิดเดียว
*จับทางเจ้ามือหุ้นเข้าหรือออก หลอกหรือจริง
*รูปแบบราคาที่ชั้เป้ารวย และบอกทางหนีตาย
*เข้า-ออกแม่นเป๊ะขั้นเทพด้วยตัวเลขมหัศจรรย์Fibonacci
*สรุปสูตรหัวกระทิวันเดียวจบ เอาไปใช้งานได้จริงตลอดชีพ
จองที่เรียน และสอบถามค่าเรียน ที่
Line@ : @TONTANCORP
คลิ้ก
https://line.me/R/ti/p/%40tontancorp
แม่ดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ และแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก็แตก 1,200 จุด ด้วยพ่อใหญ่อย่าง DELTA แม่ใหญ่ AOT เป็นหัวหอก....
FTI จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ผถห.อนุมัติไฟเขียวทุกวาระ จ่ายปันผล 0.04 บาทต่อหุ้น
NER บนสงครามการค้าโลก - สายตรงอินไซด์ - 24 เม.ย.68