ประเด็นสำคัญ
•ไทย เป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ โดยในปี 2555 มูลค่าการนำเข้าพลังงานรวมทั้งสิ้น 1.45 ล้านล้านบาท ขณะที่การส่งออกพลังงานมีมูลค่าเพียง 4 แสนล้านบาท ส่งผลให้บันทึกยอดขาดดุลประมาณ 1 ล้านล้านบาท
•ไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าพลังงานสุทธิ โดยในปี 2555 มูลค่าการนำเข้าพลังงานรวมทั้งสิ้น 1.45 ล้านล้านบาท ขณะที่การส่งออกพลังงานมีมูลค่าเพียง 4 แสนล้านบาท ส่งผลให้บันทึกยอดขาดดุลประมาณ 1 ล้านล้านบาท
•มองไปข้างหน้า การนำเข้าพลังงานในประเภทต่างๆ ของไทยยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่ทรัพยากรด้านพลังงานของไทยมีทิศทางที่ลดลงเรื่อยๆ อันจะยังคงเป็นความท้าทายสำหรับความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต ตลอดจนอาจจะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจผ่านความเป็นไปได้ของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยเฉพาะหากเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่าลง
•ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า ทุกฝ่ายควรเตรียมการรับมือกับความท้าทายดังกล่าว โดยจำเป็นต้องอาศัยหลายๆ มาตรการประกอบกัน ซึ่งรวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ความต้องการใช้พลังงานของไทย อยู่ที่ปริมาณ 37,962 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ktoe) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 8.7 แสนล้านบาท โดยน้ำมันสำเร็จรูปเป็นพลังงานที่มีสัดส่วนความต้องการใช้สูงที่สุด รองลงมาคือ พลังงานไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ ตามลำดับ
ทั้งนี้ ความต้องการใช้พลังงานที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ปริมาณการนำเข้าพลังงานของไทยอยู่ที่ 1.15 ล้านบาร์เรล/วัน (เทียบเท่าน้ำมันดิบ) ปรับเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เมื่อพิจารณาเป็นรายประเภทพลังงาน พบว่า พลังงานที่มีปริมาณการนำเข้าเพิ่มขึ้น ประกอบไปด้วย ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ก๊าซธรรมชาติ (NG) และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมบางประเภท ซึ่งรวมถึงก๊าซ LPG หรือก๊าซหุงต้ม ในขณะที่ น้ำมันดิบ มีการนำเข้าลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากการสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ทั้งเอทานอลและไบโอดีเซล สอดคล้องกับนโยบายการยกเลิกน้ำมันเบนซิน 91 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
จากสถิติข้างต้น สะท้อนได้ว่า ไทยพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูง เพราะพลังงานที่ไทยผลิตได้นั้น ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้และจำเป็นต้องมีการนำเข้า ขณะที่ ราคาพลังงานที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมถึงกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของไทยในอนาคต
ทั้งนี้ ผลจากความต้องการใช้พลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ทรัพยากรด้านพลังงานของไทยถูกใช้จนร่อยหลอลงเรื่อยๆ (ข้อมูลกระทรวงพลังงาน บ่งชี้ว่าไทยมีน้ำมันดิบสำรองเหลือใช้อีกประมาณ 4-16 ปี ด้านก๊าซธรรมชาติอีกราว 10-28 ปี) นั้น ส่งผลให้ปริมาณและมูลค่าการนำเข้าพลังงานในประเภทต่างๆ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ประเภทพลังงาน แนวโน้มการนำเข้าพลังงานในอนาคต
น้ำมันดิบ ไทยนำเข้าน้ำมันมากกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณความต้องการใช้ หรือประมาณกว่า 8 แสนบาร์เรล/วัน ประกอบกับภาครัฐมีแผนการเพิ่มสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์จาก 36 วันเป็น 90 วัน ทำให้ต้องเพิ่มสำรองน้ำมันจากประมาณ 23 ล้านบาร์เรลในปัจจุบัน เป็นประมาณ 58 ล้านบาร์เรล
ก๊าซธรรมชาติ ตามแผนในระยะสั้น (ปี 2555-2563) จะมีการจัดหาก๊าซธรรมชาติในประเทศจากสัญญาฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และจากแหล่งก๊าซธรรมชาติเดิมที่ขยายอายุสัมปทาน รวมทั้งจัดหาจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศเมียนมาร์ และตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป จะจัดหาจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศอินโดนีเซีย
ก๊าซหุงต้ม
(LPG) คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการนำเข้า 10.4 ล้านตัน ในปี 2573 ในกรณีที่ไม่สามารถหาแหล่งก๊าซอื่นๆ มาทดแทนแหล่งก๊าซที่กำลังหมดไปได้
ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) คาดการณ์ว่าไทยจะมีความต้องการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวประมาณ 23.2 ล้านตันในปี 2573 มาทดแทนก๊าซธรรมชาติในประเทศที่กำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อป้อนให้กับภาคการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรมและภาคขนส่ง
ไฟฟ้า การรับซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศประมาณ 2,405 เมกะวัตต์ในปี 2555 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 8,631 เมกะวัตต์ในปี 2573 รวมทั้งการรับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานทดแทนจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
ที่มา: มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 2555-2573 (PDP 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3)
รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย
จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศในอนาคต ซึ่งจะเป็นประเด็นท้าทายต่อทั้งความมั่นคงด้านพลังงาน เม็ดเงินที่ใช้จากการอุดหนุนราคาพลังงาน รวมทั้งการสูญเสียเงินตราต่างประเทศจำนวนมากเพื่อนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ อันในที่สุดอาจจะเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจผ่านความเป็นไปได้ของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การบริหารจัดการด้านพลังงานในระยะต่อไป จึงต้องใช้หลายๆ มาตรการประกอบกัน ทั้งการสำรวจหาแหล่งพลังงานในประเทศเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มปริมาณพลังงานสำรองในประเทศ ในขณะเดียวกัน ก็ต้องส่งเสริมและผลักดันให้ภาคส่วนต่างๆ มีการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนซึ่งสามารถหาวัตถุดิบผลิตได้ในประเทศ โดยจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการดำเนินการ
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...
SKIN ผนึก APM ลุยโรดโชว์ห้องค้า PST มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม
แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ อารมณ์คอการเมือง ร้อนทันที เป็นคลิปเสียง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สนทนากับ สมเด็จฯ ฮุน..
รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68