ประเด็นสำคัญ
•คาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณที่ระดับ 85 พันล้านดอลลาร์ฯ/เดือนอย่างต่อเนื่องในการประชุมวันที่ 30-31 กรกฏาคม 2556 นี้
•แม้ว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับในช่วงใกล้สิ้นสุดสิ้นสุดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 2 (QE 2) แต่ความไม่แน่นอนด้านการคลังที่ยังคงรออยู่ข้างหน้า อาจมีน้ำหนักสนับสนุนให้เฟดรอดูพัฒนาการเศรษฐกิจต่ออีกระยะ ก่อนเปลี่ยนแปลงขนาดการซื้อสินทรัพย์
•ขณะที่ พัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า คงจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เฟดจะพิจารณาสำหรับจังหวะในการปรับเปลี่ยนขนาดการซื้อพันธบัตรเพื่อสร้างสมดุลของเศรษฐกิจในระยะยาว ทั้งนี้ การตัดสินใจปรับลดขนาดการซื้อพันธบัตรของเฟดไม่ได้หมายความว่าเฟดจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในภาพรวม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในการประชุม ณ วันที่ 30-31 กรกฏาคม 2556 นี้ คงจะเป็นอีกรอบที่ตลาดการเงินคงจะจับตาการตัดสินใจของเฟดอย่างใกล้ชิด โดยเฟดคงจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการตัดสินใจเชิงนโยบายที่ต้องประเมินภาพรวมการดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวัง ระหว่างต้นทุนส่วนเพิ่มและประโยชน์ในการคงขนาดการการซื้อสินทรัพย์ในระดับปัจจุบัน กระนั้นก็ดี คาดว่าเฟดน่าจะยังคงขนาดการซื้อสินทรัพย์ไว้ที่ 85 พันล้านดอลลาร์ฯ/เดือน โดยแม้ว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะให้ภาพรวมการฟื้นตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ท่ามกลางความเสี่ยงด้านการคลังของสหรัฐฯ ที่ยังคงมีอยู่ และอาจจะกระทบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า ก็อาจส่งผลให้เฟดเลือกที่จะยังติดตามพัฒนาการของของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอีกสักระยะ เพื่อให้มั่นใจว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีเสถียรภาพ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนขนาดและทิศทางของการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป
ความไม่แน่นอนด้านการคลังยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า แม้ว่าพัฒนาการทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นับจากช่วงต้นปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถที่จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป โดยหากพิจารณาสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบันกับเมื่อช่วงที่เฟดใกล้จะสิ้นสุดการดำเนินมาตรการ QE 2 ในช่วงกลางปี 2554 จะเห็นได้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีก่อนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการของตลาดแรงงานและตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็น 2 ภาคหลักที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤติซับไพรม์ ทั้งนี้ ด้วยสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยฟื้นตัว ประกอบกับการส่งสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่เฟดจะเริ่มทยอยปรับลดขนาดของการซื้อสินทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้
เปรียบเทียบปัจจัยเครื่องชี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในช่วงที่เฟดสิ้นสุด QE2 และปัจจุบัน
เครื่องชี้เศรษฐกิจ ช่วงสิ้นสุด QE2(ไตรมาส 2/54) ปัจจุบัน
การจ้างงานนอกภาคการเกษตร
(เฉลี่ยย้อนหลัง 12 เดือน) 116,583 ตำแหน่ง 191,083 ตำแหน่ง
อัตราการว่างงาน 9.1% 7.6%
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) 1.43% 1.06%
ยอดการสร้างบ้านใหม่ (Housing Start) 608,000 หลัง/เดือน 836,000 หลัง/เดือน
ยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) 4,190,000 หลัง/เดือน 5,080,000 หลัง/เดือน
การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย -4.39 % YoY 12.05 % YoY
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี 3.16% 2.49%
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 57.6 81.4
อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะดูมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่ความเสี่ยงด้านการคลังก็ยังคงเป็นประเด็นที่อาจจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคของสหรัฐฯ ยังคงมีจุดยืนทางนโยบายการคลังที่แตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับร่าง พรบ. งบประมาณปี 2014 ที่พรรครีพับลิกันซึ่งคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ต้องการให้รัฐบาลปรับลดรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อแลกกับการอนุมัติขยายเพดานหนี้สาธารณะ (Debt Ceiling) ทั้งนี้ หากการเจรจาดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติ ก็อาจจะสร้างความเสี่ยงให้การดำเนินงานบางส่วนของรัฐบาลกลางอาจจะต้องปิดตัวลง (Federal Government Shutdown) ในช่วงเดือน ต.ค. นี้ อันเป็นช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ 2014 ของสหรัฐฯ และอาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อการจ้างงาน การบริโภคภาคครัวเรือนและการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจในท้ายที่สุด นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนด้านการคลังดังกล่าว อาจจะกดดันให้ภาคธุรกิจมีการเลื่อนการตัดสินใจขยายการลงทุนและการจ้างงาน อันอาจจะส่งผลกระทบกลับมาที่การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าได้
หลังจากที่เฟดเริ่มมีการส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนขนาดการซื้อสินทรัพย์ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จากพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้น ได้ส่งผลต่อการคาดการณ์ของตลาดเกี่ยวกับความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นพิเศษของเฟด ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไรก็ดี ในการแถลงข้อมูลประจำปีของเฟดต่อสภาคองเกรสในวันที่ 17-18 ก.ค. ที่ผ่านมา ประธานเฟดได้มีการระบุว่า เฟดไม่ได้มีการกำหนดตายตัวเกี่ยวกับจังหวะเวลาในการปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ แต่การตัดสินใจปรับเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินคงจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่น่าจะทรงตัวต่ำกว่าระดับ 2% อันเป็นเป้าหมายเงินเฟ้อในระยะยาวของเฟด ยังคงช่วยให้เฟดยังมีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงิน ท่ามกลางแนวทางการปรับลดรายจ่ายโดยอัตโนมัติที่ยังคงเป็นความเสี่ยงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรอยต่อสำคัญที่สภาคองเกรสกำลังพิจาณาร่าง พรบ. งบประมาณประจำปี 2014 รวมทั้งประเด็นหนี้สาธารณะที่ปัจจุบันสูงเกินเพดานหนี้ไปแล้ว ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดน่าจะคงขนาดของการซื้อสินทรัพย์ที่ 85 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนในการประชุม FOMC ในครั้งนี้ เพื่อรอดูความชัดเจนด้านการคลัง ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนขนาดการซื้อสินทรัพย์ในระยะต่อไป หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถรักษาการขยายตัวของตำแหน่งงานในระดับปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เพื่อลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว และดูแลไม่ให้ขนาดของงบดุลของเฟด ที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวในอัตราเร่ง จนอาจสร้างความเสี่ยงต่อการบริหารจัดการในระยะข้างหน้า
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ว่าเฟดอาจจะมีการปรับเปลี่ยนขนาดของการซื้อสินทรัพย์ในระยะข้างหน้าให้เหมาะสมกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเสถียรภาพในระยะยาว เฟดก็จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายผ่านอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือ การตัดสินใจปรับลดขนาดการซื้อพันธบัตรของเฟดไม่ได้สะท้อนว่าเฟดจะปรับเปลี่ยนมุมมองและทิศทางต่อการดำเนินนโยบายทางการเงิน อันจะนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบางอยู่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการบริโภคของภาคครัวเรือน การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ อันคงจะเป็นปัจจัยที่เฟดคงจะพิจารณาอย่างรอบคอบต่อไป
ดังนั้นแล้ว เมื่อย้อนกลับมามองผลกระทบต่อประเทศไทย แม้ว่าเฟดจะตัดสินใจคงขนาดการซื้อสินทรัพย์ในการประชุมรอบนี้ แต่แน่นอนว่า ทางการไทยคงจะติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลอดจนเศรษฐกิจแกนหลักอื่นๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินโอกาสของการปรับท่าทีและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ดังกล่าว พร้อมวางแนวทางรับมือในระยะข้างหน้า เนื่องจากจะมีผลต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย เสถียรภาพของเงินบาท รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างยากจะหลีกเลี่ยง นอกเหนือไปจากอีกปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อทิศทางนโยบายการเงินไทยไม่น้อยไปกว่ากัน คือ แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยว่าจะอ่อนตัวลงมากกว่าคาดหรือไม่ อย่างไร ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่น่ากังวล
ที่มา ศูนย์วิจัยกสิกร
PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...
SKIN ผนึก APM ลุยโรดโชว์ห้องค้า PST มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม
แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ อารมณ์คอการเมือง ร้อนทันที เป็นคลิปเสียง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สนทนากับ สมเด็จฯ ฮุน..
รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68