ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา สภาพคล่องดูจะเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ บางครั้งมีคำถาม
ว่าแบงก์ชาติดูดสภาพคล่องมากเกินไปจนทำให้สภาพคล่องในระบบมีไม่เพียงพอ และอาจเป็นสาเหตุให้
ต้นทุนในการกู้ยืมปรับสูงขึ้นหรือไม่ ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ คงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพคล่อง
และบทบาทของแบงก์ชาติในการบริหารสภาพคล่อง รวมทั้งปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย
ก่อนอื่น เราคงต้องให้คำนิยามที่ชัดเจนกับสภาพคล่อง ในทางเศรษฐศาสตร์ สภาพคล่องมีหลาย
นิยาม ทั้งสภาพคล่องในนิยามที่แคบที่สุด คือ เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากของสถาบันการเงินที่แบงก์ชาติ
(หรือที่เรียกว่า ฐานเงิน) ไปจนถึงสภาพคล่องในนิยามที่กว้าง คือ เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากของ
ประชาชนที่สถาบันการเงิน (หรือที่เรียกว่า ปริมาณเงิน) ทั้งนี้ สภาพคล่องที่แบงก์ชาติสามารถบริหารจัดการ
ได้โดยตรงคือฐานเงิน โดยมีหน้าที่บริหารสภาพคล่องดังกล่าวให้อยใู่ นสมดุล เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยตลาด
ระยะสั้นเคลื่อนไหวสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนด ซึ่ง
ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว กนง. ได้ประเมินแล้วว่าเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจขณะนั้น และจะ
ช่วยให้เศรษฐกิจไม่ร้อนแรงหรือซบเซาจนเกินไปในระยะข้างหน้า รวมทั้งช่วยดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ใน
กรอบเป้าหมาย สำหรับสภาพคล่องอีกนิยามที่เป็นที่สนใจและกระทบเศรษฐกิจโดยตรง ก็คือสภาพคล่องใน
ระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะได้กล่าวถึงในรายละเอียดครั้งต่อไป
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อุปสงค์ของสภาพคล่อง (ฐานเงิน) ขยายตัวไม่ทันอุปทานของสภาพคล่อง
ส่งผลให้เกิดภาวะสภาพคล่องส่วนเกิน และแบงก์ชาติต้องดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินนั้น เพื่อช่วยปรับ
สมดุล อุปสงค์ของสภาพคล่องขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจ จากความต้องการใช้สภาพคล่องของ
ภาคเอกชน (ทั้งประชาชนและสถาบันการเงิน) ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 1 แสนล้านบาทในปี 2554 ใน
ขณะเดียวกัน อุปทานสภาพคล่องก็เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 6 แสนล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจาก 1) การเข้าซื้อ
เงินตราต่างประเทศของแบงก์ชาติ (คือการขายเงินบาท หรือเพิ่มสภาพคล่องเงินบาทในระบบ) เพื่อดูแล
ค่าเงินมิให้ผันผวนมากเกินไปจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และ 2) การใช้จ่ายของภาครัฐสุทธิ ที่ช่วย
เพิ่มอุปทานสภาพคล่องในระบบอีกทางหนึ่ง หากแบงก์ชาติไม่ดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนประมาณ
5 แสนล้านบาทนี้ ออกไปจากระบบ ก็จะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะไปกระตุ้น
การบริโภค การลงทุน มากเกินพอดี ทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงและอาจสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อรวมทั้ง
asset price bubble ได้ ดังนั้น การดูดสภาพคล่องของแบงก์ชาติจะไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไป เนื่องจาก
เป็นเพียงการปรับสมดุลให้อุปทานเท่ากับอุปสงค์ของสภาพคล่องเท่านั้น ทั้งนี้ ในเดือน เม.ย.-พ.ค. ที่ผ่านมา
แบงก์ชาติกลับเป็นฝ่ายปล่อยสภาพคล่องสุทธิเข้าไปในระบบ เนื่องจากอุปทานของสภาพคล่องปรับลดลง
จากการออกพันธบัตรของรัฐบาลเป็นสำคัญ ในขณะที่อุปสงค์กลับปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งจากความต้องการ
ใช้จ่ายในช่วงเทศกาล แบงก์ชาติจึงต้องเพิ่มอุปทานสภาพคล่องในระบบประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อ
รองรับอุปสงค์สภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น
ในการสร้างสมดุลให้กับสภาพคล่อง แบงก์ชาติจะดำเนินการในตลาดการเงิน ผ่านเครื่องมือหลัก ๆ
คือการออกพันธบัตร ธปท. การดำเนินการผ่านหน้าต่างซื้อคืนพันธบัตร (Bilateral Repo: BRP) และ ตลาด
SWAP นอกจากนี้ ยังมีหน้าต่างตั้งรับ (Standing Facilities) ให้สถาบันการเงินสามารถลงทุน (โดยการฝาก
เงิน) และกู้ยืมระยะ 1 วัน เพื่อปรับสภาพคล่อง ณ สิ้นวันกับ ธปท. ได้ สำหรับการจัดสรรเครื่องมือบริหาร
สภาพคล่อง แบงก์ชาติจะประเมินและประมาณการสภาพคล่องและภาวะตลาด รวมทั้งคำนึงถึงการพัฒนา
ตลาด (โดยร่วมมือกับกระทรวงการคลัง) ทั้งนี้ ในการบริหารสภาพคล่อง 1) ผ่านการออกพันธบัตร ธปท.
แบงก์ชาติจะประกาศแผนการออกพันธบัตรล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ร่วมตลาดสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่าง
เหมาะสม 2) ผ่านหน้าต่าง BRP โดยการดูด/ปล่อยสภาพคล่องทุกวัน ผ่านคู่ค้าของ ธปท. (BRP Primary
Dealers) และ 3) ผ่านตลาด FX swap โดยดำเนินการในลักษณะ Over-the-Counter (OTC) ณ ปัจจุบัน ยอด
คงค้างพันธบัตร ธปท. มีสัดส่วนเกินกว่าครึ่งของเครื่องมือบริหารสภาพคล่องทั้งหมด ส่วนหนึ่งเนื่องจาก
แบงก์ชาติใช้พันธบัตร ธปท. เป็นเครื่องมือหลักในการช่วยพัฒนาตลาดตราสารหนี้ด้วย
ทั้งนี้ ในการดำเนินการในตลาดการเงิน สถาบันการเงินจะเป็นผู้เสนอปริมาณและอัตราดอกเบี้ย
รวมทั้งเลือกช่องทางในการลงทุน/กู้ยืม ในขณะที่แบงก์ชาติจะกำหนดวงเงินพันธบัตร ธปท. ที่ออกขาย
ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน (ยกเว้นธุรกรรม BRP ระยะ 1 วัน ที่ ธปท. จะทำที่อัตราดอกเบี้ย
นโยบายเท่านั้น) จึงเป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยตลาด (market-determined) และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
เช่น การคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย term และ liquidity premium เป็นต้น โดยปกติแล้ว อัตรา
ดอกเบี้ยตลาดเงินระยะข้ามคืน จะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ปัจจุบันอยู่ที่ ร้อยละ
3.00) แต่สำหรับอัตราดอกเบี้ยตลาดระยะอื่นๆ ที่ยาวกว่า 1 วัน โดยส่วนใหญ่จะอยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย
นโยบาย ตัวอย่างเช่น อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) ระยะ 6 เดือนอยู่ที่ ร้อยละ 3.24
ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในอีก 6 เดือนข้างหน้า
หากแบงก์ชาติดูดสภาพคล่องมากเกินไปจริง อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น ควรจะปรับ
เพิ่มขึ้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น หากสภาพคล่องมีไม่
เพียงพอ สถาบันการเงินจะต้องหาสภาพคล่องโดยการกู้ยืมจากตลาดการเงิน ซึ่งจะกดดันให้อัตราดอกเบี้ยใน
ตลาดเงินปรับสูงขึ้น แต่จากข้อมูลล่าสุด อัตราดอกเบี้ยในตลาดกู้ยืมระหว่างธนาคารระยะข้ามคืน
(Overnight interbank market rate) และอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรภาคเอกชน ระยะข้ามคืน
(Overnight Private Repo) อยู่ที่ร้อยละ 2.94 และ 3.00 ตามลำดับ ซึ่งแทบจะไม่แตกต่างจากอัตราดอกเบี้ย
นโยบายเลย
จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราสามารถตอบคำถามในประเด็นสภาพคล่องได้ดังนี้คือ แบงก์ชาติมีหน้าที่
ดูแลอุปทานสภาพคล่อง (ฐานเงิน) ให้อยู่ในระดับที่สมดุลกับความต้องการสภาพคล่อง จึงดูดสภาพคล่อง
เฉพาะในส่วนที่เกินกว่าความต้องการเท่านั้นเพื่อให้อัตราดอกเบี้ยตลาดระยะสั้นเคลื่อนไหวสอดคล้องกับ
อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กำหนด ไม่ได้ดูดมากเกินไป นอกจากนี้
อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน เป็นอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยตลาด สำหรับครั้งต่อไป จะอธิบายถึงสภาพ
คล่องในนิยามกว้าง และปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนในการกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน
------------------------------------------------------------------------------------
BY:นางสาว รัญชนา พงศาปานผู้บริหาร ทีมกลยุทธ์ตลาดการเงินสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นวานนี้ สถาบันในประเทศ อย่าง กองทุน ขายหุ้นมากกว่า 6.39 พันล้านบาท เพื่อถือเงินสด ....
PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...
รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68