การเมืองนิ่ง…ความคุ้มค่าท่องเที่ยวไทยโดดเด่น :ดึงต่างชาติเที่ยวไทยปี’54 เพิ่มกว่าร้อยละ 20
By : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงีน ความสงบในประเทศที่กลับคืนมาตั้งแต่กลางปี 2553 ต่อเนื่องมาในปี 2554 ประกอบกับความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐและภาคเอกชนในการเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยกลับคืนมาในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดท่องเที่ยวหลักของไทย และเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยผลักดันตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยให้เติบโตมาอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งแรกของปี 2554
สำหรับในช่วงครึ่งหลังของปี สถานการณ์ทางการเมืองของไทยที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ส่งผลดีต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวของไทย เมื่อได้รับแรงกระตุ้นจากการจัดงานตามเทศกาลต่างๆต่อเนื่องไปในช่วงปลายปี (อาทิ งานประเพณีเข้าพรรษา เทศกาลกินเจ งานประเพณีออกพรรษา งานประเพณีลอยกระทง และงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นต้น) ซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลในยุโรป ยิ่งช่วยสร้างแรงจูงใจดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากภูมิภาคต่างๆให้เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ท่องเที่ยวครึ่งปีแรก...คึกคัก : ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวร้อยละ 28
เหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพฯช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ที่จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะในบางพื้นที่ ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นๆ โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวชายทะเลในแถบอันดามัน และภาคตะวันออก รวมทั้งสมุย และหาดใหญ่ ทำให้การท่องเที่ยวไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 1.82 ล้านคน ในเดือนธันวาคม 2553 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยที่กลับคืนมาในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยยังคงขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่องไปในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 แม้จะมีปัจจัยภายนอกมากระทบตลาดท่องเที่ยวสำคัญของไทยในหลายภูมิภาค อาทิ ญี่ปุ่นประสบภัยจากสึนามิและวิกฤตนิวเคลียร์ หลายประเทศในตะวันออกกลางเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ และเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงในหลายประเทศ ทั้งภาวะน้ำท่วมและแผ่นดินไหว
โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.66 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวของนักท่องเที่ยวในทุกภูมิภาค
เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 พบประเด็นสำคัญ ดังนี้
นักท่องเที่ยวจากตลาดท่องเที่ยวระยะใกล้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคเอเชียใต้ ขยายตัวอย่างรวดเร็วในอัตราร้อยละ 36.3 และร้อยละ 34.0 ตามลำดับ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากทั้ง 2 ภูมิภาคต่างมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น(เมื่อเทียบกับตลาดรวมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ) โดยนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 49.3 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เป็นร้อยละ 52.6 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ส่วนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียใต้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เป็นร้อยละ 6.2 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554
ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวระยะไกลในภูมิภาคยุโรปและภูมิภาคอเมริกา ซึ่งขยายตัวในอัตราร้อยละ 18.0 และร้อยละ 14.3 ตามลำดับ ต่างมีสัดส่วนลดลง โดยนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 30.1 ในช่วงครึ่งแรกปี 2553 เหลือร้อยละ 27.8 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ส่วนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอเมริกามีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 5.7 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เหลือร้อยละ 5.1 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554
ตลาดนักท่องเที่ยวระยะปานกลางในภูมิภาคโอเชียเนียและภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งขยายตัวในอัตราร้อยละ 19.9 และร้อยละ 16.8 ตามลำดับนั้น มีสัดส่วนลดลงเช่นกัน โดยนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคโอเชียเนียมีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 4.9 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เหลือร้อยละ 4.6 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ส่วนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางมีสัดส่วนลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 3.4 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 เหลือร้อยละ 3.1 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2554
อาจกล่าวได้ว่า ความสงบภายในประเทศที่กลับคืนมา และการขยายตัวของเที่ยวบินตรงจากเมืองต่างๆมายังเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงภัยจากการชุมนุม(หากเกิดขึ้น)ได้ ประกอบกับความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนในการเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยในตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงอย่างต่อเนื่อง สามารถเรียกความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยให้กลับคืนมาในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเอเชียซึ่งเป็นตลาดท่องเที่ยวสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ตลาดเอเชีย...ยังมาแรง : หนุนท่องเที่ยวครึ่งปีหลังขยายตัวร้อยละ 14.6
บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 มีแนวโน้มแจ่มใสขึ้น จากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมาก หลังจากการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลชุดใหม่ในช่วงกลางปี พิจารณาได้จากการขยายตัวในอัตราสูงของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2554 แม้ว่าจะเปรียบเทียบกับฐานในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ปรับตัวสูงขึ้นแล้วก็ตาม โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.8 และร้อยละ 35.4 ในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคม 2554 ตามลำดับ
ตลาดต่างชาติไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างเด่นชัด
สำหรับในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมต่อเนื่องถึงเดือนกันยายน แม้ว่าจะเกิดสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวคนไทย เพราะพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยส่วนใหญ่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวคนไทย ซึ่งอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ส่วนพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญตามเมืองท่องเที่ยวหลัก อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุย พัทยา และหาดใหญ่ ไม่ได้รับผลกระทบนัก ยังคงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวตามปกติ
อาจกล่าวได้ว่า สถานการณ์น้ำท่วมไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเดินทางเข้ามายังประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเด่นชัด แต่อาจส่งผลกระทบต่อการให้บริการท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พำนักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทย โดยทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวต้องปรับแผนการให้บริการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ อาทิ ปรับเส้นทางท่องเที่ยวบางรายการเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางหรือแหล่งท่องเที่ยวที่ประสบภาวะน้ำท่วม หรือการปรับเส้นทางล่องเรือท่องเที่ยว หรือหยุดให้บริการล่องเรือชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว
เทศกาลและงานประเพณีต่างๆช่วยกระตุ้นตลาดท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม เทศกาลกินเจปีนี้เร็วกว่าทุกปีและอยู่ในช่วงวันชาติของจีนที่มีวันหยุดยาว (โดยเทศกาลกินเจปีนี้อยู่ระหว่างวันที่ 27 กันยายน – 5 ตุลาคม 2554 ส่วนเทศกาลกินเจปีที่แล้วอยู่ระหว่างวันที่ 8-16 ตุลาคม 2553) เอื้ออำนวยให้มีนักท่องเที่ยวเชื้อสายจีนจากประเทศต่างๆ รวมทั้งชาวจีน เดินทางเข้ามาร่วมกิจกรรม ตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่มีการจัดกิจกรรมในเทศกาลกินเจอย่างยิ่งใหญ่ คือ กรุงเทพฯ (ที่เยาวราช) ภูเก็ต พังงา ตรัง หาดใหญ่ และพัทยา
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดการณ์ว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในเดือนกันยายน 2554 ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าในอัตราประมาณร้อยละ 20 ส่งผลให้ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 (เดือนกรกฎาคม-กันยายน) มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 25.0 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นประมาณ 4.7 ล้านคน
ความคุ้มค่าด้านการท่องเที่ยว : นำท่องเที่ยวไทยฝ่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
จุดแข็งด้านการท่องเที่ยวของไทยที่โดดเด่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ คือ ความคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเลือกปลายทางท่องเที่ยวในภาวะที่เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างยังต้องการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน หากแต่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นการท่องเที่ยวในแบบประหยัดมากขึ้น (โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยุโรปที่ต้องการหลบอากาศหนาวเย็นจัดในประเทศของตนในช่วงฤดูหนาวไปพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลที่อบอุ่น)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดการณ์ว่า ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยยังคงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 แต่ในอัตราไม่สูงนัก (เนื่องจากเปรียบเทียบกับฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว) โดยคาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่า 4.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ทำให้โดยรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยมีแนวโน้มขยายตัวประมาณร้อยละ 14.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นประมาณ 9.6 ล้าน
ส่งผลให้ตลอดทั้งปี 2554 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.9 โดยมีจำนวนรวมทั้งสิ้นประมาณ 19.26 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 7.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.1 จากปี 2553
ผู้ประกอบการเร่งปรับตัว : รับแนวโน้มตลาดที่ปรับเปลี่ยน
เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2554 พบว่า ขณะที่ตลาดท่องเที่ยวระยะใกล้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคเอเชียใต้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในอัตราร้อยละ 35.5 และร้อยละ 30.0 ตามลำดับ ส่งผลให้ทั้ง 2 ภูมิภาคต่างมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดท่องเที่ยวระยะไกล (คือ ภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคอเมริกา) และตลาดท่องเที่ยวระยะปานกลาง (คือ ภูมิภาคโอเชียเนีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง) ต่างก็มีสัดส่วนลดลง แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าก็ตาม
สำหรับตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้ประเทศไทย โดยในปี 2553 นักท่องเที่ยวยุโรปสร้างรายได้ให้ประเทศไทยในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีมูลค่ารวมประมาณกว่า 5.9 แสนล้านบาท แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปที่เดินทางเข้ามามีสัดส่วนเพียงร้อยละ 27 ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมของไทยที่มีจำนวน 15.94 ล้านคน
นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยุโรปส่วนใหญ่ยังเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่นิยมเดินทางมาเที่ยวซ้ำ จึงมีความคุ้นเคยกับประเทศไทยมากกว่านักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น และเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ไม่อ่อนไหวง่ายต่อปัจจัยต่างๆที่มากระทบเท่านักท่องเที่ยวจากแถบเอเชีย พิจารณาได้จากการที่ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองในช่วงปลายปี 2551และความไม่สงบภายในประเทศ รวมทั้งวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาซึ่งลุกลามไปยังยุโรปนั้น ปรากฏว่า ในปี 2552 ยังคงมีนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ1.9 จากปี 2551 ขณะที่นักท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกมีจำนวนลดลงร้อยละ 6.9 จากปี 2551
สำหรับในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นประมาณ 4.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หากพิจารณาโครงสร้างของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็คาดว่าจะมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงในลักษณะเดียวกับในช่วงก่อนหน้า โดยนักท่องเที่ยวจากตลาดท่องเที่ยวระยะใกล้ คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคเอเชียใต้ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมี จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนของตลาดภูมิภาคเอเชีย
ขณะที่นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกล คือ ภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคอเมริกา มีแนวโน้มลดลงร้อยละ 5.4 และลดลงร้อยละ 3.3 ตามลำดับ ส่งผลให้มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 29.8 เหลือร้อยละ 26.5 สำหรับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรป และลดลงจากร้อยละ 5.3 เหลือร้อยละ 4.8 สำหรับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอเมริกา เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่นักท่องเที่ยวจากตลาดหลักดั้งเดิมของยุโรป (อาทิ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และกลุ่มสแกนดิเนเวีย) มีแนวโน้มชะลอการเติบโตลงหรือถดถอยลงนั้น ยังคงมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่เติบโตอย่างรวดเร็วสวนกระแสตลาดยุโรปโดยรวม คือ รัสเซีย ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ไม่เพียงส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวจากตลาดท่องเที่ยวระยะไกลเดินทางเข้ามาลดลง แต่ยังส่งผลต่อพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุโรป ที่มีแนวโน้มการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อาทิ
จากเดิมที่นิยมเดินทางเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ มีแนวโน้มเปลี่ยนมาเดินทางเข้ามาแบบอิสระ (Foreign Individual Tourism)มากขึ้น จากการหาข้อมูลท่องเที่ยวด้วยตนเอง หรือจากประสบการณ์ที่ได้เคยเดินทางมาท่องเที่ยวแล้วในครั้งก่อนๆ
จากที่เคยพักโรงแรมระดับ 5 ดาวก็เปลี่ยนมาพักโรงแรมระดับ 3-4 ดาว หรือโรงแรมต้นทุนต่ำ (ที่เริ่มเปิดให้บริการตามเมืองท่องเที่ยวต่างๆเพิ่มขึ้น) บ้างก็ลงทุนซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม เพื่อใช้พักระยะยาวเป็นบ้านหลังที่สอง หรือซื้อเพื่อการลงทุนให้เช่า หรือขายทำกำไร ซึ่งจะปรากฏชัดเจนในจังหวัดภูเก็ต
การใช้ชีวิตท่องเที่ยวก็มีแนวโน้มเปลี่ยนไป โดยนักท่องเที่ยวมักจะเลือกทานอาหารในโรงแรมเพียงมื้อเดียว มื้อที่เหลือไปทานอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด หรือตามร้านอาหารที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ซึ่งสามารถหารับประทานได้ง่ายทั่วไปตลอด 24 ชั่วโมง
มีการจับจ่ายซื้อเสื้อผ้า และของฝากต่างๆลดลง
กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวซ้ำจะแวะพักเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น ภูเก็ต เพียงไม่กี่คืน จากนั้นจะเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น พังงา (ย่านเขาหลัก) หรือ กระบี่ ซึ่งมีสนามบินอำนวยความสะดวกไม่แพ้ภูเก็ต ทั้งนี้ เพื่อหลบความแออัดวุ่นวายของภูเก็ตไปพักผ่อนแบบเงียบสงบและมีความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าภูเก็ต
ใช้ระยะเวลาในการจองห้องพักล่วงหน้าในช่วงสั้นลง จากเดิมที่เคยจองล่วงหน้าข้ามปี
เลือกนั่งเครื่องบินชั้นประหยัด แทนชั้นธุรกิจหรือชั้นหนึ่ง หรือใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ
ดังนั้น เพื่อสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในธุรกิจท่องเที่ยวท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยจะต้องปรับแผนการตลาด โดยขยายตลาดสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น อาทิ จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย รวมทั้งรัสเซีย เพื่อทดแทนตลาดยุโรปที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ ยังต้องปรับแผนการให้บริการด้านการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
สรุป
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า โดยรวมตลอดทั้งปี 2554 ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 จากปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 19.26 ล้านคน ขณะที่ตลาดหลักสำคัญซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวระยะใกล้ คือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออก และภูมิภาคเอเซียใต้ ที่มีสัดส่วนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2553 ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล และระยะปานกลาง ได้แก่ ภูมิภาคยุโรป ภูมิภาคอเมริกา ภูมิภาคโอเซียเนีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง ต่างมีสัดส่วนของนักท่องเที่ยวลดลง
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคยุโรปและอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะมีผล กระทบทำให้นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลลดลงในช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปีนี้ดังกล่าว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวควรเร่งปรับแผนการตลาด โดยเน้นกลยุทธ์เชิงรุกในตลาดนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง คือ จีน เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย รวมทั้งพยายามรักษาตลาดที่มีอยู่เดิมไว้ โดยมุ่งขยายสู่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ อาทิ กลุ่มประชุมสัมมนา กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล กลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กลุ่มจัดงานแต่งงานและฮันนีมูน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงกว่านักท่องเที่ยวเดินทางทั่วไป รวมทั้งพัฒนาแพ็กเกจท่องเที่ยวในแต่ละเส้นทางกิจกรรม ให้สามารถตอบสนองความชื่นชอบเฉพาะบุคคลได้หลากหลายขึ้น อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุวัยเกษียณ กลุ่มผู้หญิงวัยทำงานที่รักการเดินทาง กลุ่มผู้ที่รักสุขภาพ กลุ่มที่ชื่นชอบการผจญภัย กลุ่มที่รักธรรมชาติ และกลุ่มที่ชอบทำบุญไหว้พระ เป็นต้น
เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เห็นวานนี้ สถาบันในประเทศ อย่าง กองทุน ขายหุ้นมากกว่า 6.39 พันล้านบาท เพื่อถือเงินสด ....
PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...
รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68