การประชุม 20-21 ก.ย. 2554คาดเฟดคงดอกเบี้ย และอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
By : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน ในวันที่ 20-21 กันยายน 2554 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด จะมีการประชุมรอบที่หกของปี 2554 เพื่อตัดสินใจนโยบายการเงิน โดยเฟดได้มีการขยายระยะเวลาการประชุมเป็น 2 วัน เพื่อพิจารณาถึงมาตรการต่างๆ ที่อาจจำเป็น หลังจากเฟดได้ให้คำมั่นที่จะคง อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่กรอบ 0.00-0.25% ต่อเนื่องถึงกลางปี 2556 ในการประชุม FOMC รอบก่อนหน้าเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองต่อผลการประชุมของเฟดในรอบที่จะถึงนี้ ดังนี้
เฟดอาจพิจารณาดำเนินมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่องเพิ่มเติม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เฟดยังมีความจำเป็นที่จะต้องคงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ระดับต่ำต่อเนื่องและมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะออกมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่องเพิ่มเติม ในภาวะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น โดยเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาสมากขึ้น (จาก 33% เป็น 40%) ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง
พัฒนาการเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้ภาพไปในเชิงลบมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนจากเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งทยอยฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่เข้ามากระทบ อาทิ ปัจจัยทางการเมืองของสหรัฐฯ การถูกปรับลดอันดับเครดิต ตลอดจนปัญหาหนี้ในยูโรโซนที่เลวร้ายลงอย่างมาก ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งผู้บริโภค และผู้ผลิต โดยส่งผลให้ผู้ผลิตมีการชะลอการผลิต การลงทุน และการจ้างานออกไป ในขณะที่ผู้บริโภคก็มีการชะลอการบริโภคท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ อันจะเห็นได้จาก ตัวเลขเครื่องชี้การผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดค้าปลีกในสหรัฐฯ ในเดือน สิงหาคม ที่ไม่มีการขยายตัว (+0%) ในขณะที่หากมองไปข้างหน้า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังต้องเชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะประเด็นการปรับลดการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลในปี 2556 ( ค.ศ.2013) เป็นต้นไป
การผลิตสหรัฐฯ มีทิศทางที่ไม่ค่อยสดใส
ทั้งนี้ แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงนี้อาจจะดูค่อนข้างย่ำแย่ แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่น่าจะถึงภาวะถดถอยในปีนี้ ขณะที่แถลงการณ์ที่การประชุมธนาคารกลางโลก ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังคงเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังในปีนี้ น่าจะให้ภาพการขยายตัวที่ดีกว่าครึ่งแรกที่ผ่านมา โดยพัฒนาการล่าสุดพบว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือน ส.ค. ขยายตัว 0.2% ในขณะที่เครื่องชี้นำเศรษฐกิจก็ให้ภาพที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้าง ซึ่งถ้าหากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจกลับคืนมา ก็คงน่าจะช่วยสนับสนุนให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดภาวะถดถอยในปีหน้าน่าจะลดลง
ประเด็นทางการคลัง...ยังเป็นปัจจัยท้าทายเศรษฐกิจสหรัฐฯ
จากพัฒนาการการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ให้ภาพการขยายตัวที่อ่อนแรงลงอย่างมาก โดยการจ้างงานภนอกภาคการเกษตรสหรัฐฯ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง (+0K) ในเดือนสิงหาคม โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากประเด็นทางการเมืองในการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ตลอดจนการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ โดย S&P แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาการว่างงานของสหรัฐฯ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งคงต้องใช้เวลานานในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ ในวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โอบามา จึงได้มีการแถลงถึงแผนการสร้างงาน (Obama’s Jobs Plan) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 447 พันล้านดอลลาร์ฯ โดยเป็นการลดภาษี ให้กับบริษัทที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งมุ่งเน้นการสร้างงานด้านการศึกษา การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการให้ความช่วยเหลือกับคนอเมริกันในช่วงหางาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ ในหลักการ หากดำเนินการได้ตามแผน น่าจะช่วยฟื้นฟูตลาดแรงงานที่ย่ำแย่ให้ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงกระตุ้นจีดีพีสหรัฐฯ ได้ประมาณ 2% ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างงานของโอบามาอาจเผชิญกับอุปสรรคเนื่องจากจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรส ท่ามกลางปัจจัยการเมืองที่ยังคงร้อนแรงในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือน พฤศจิกายน 2555 ขณะที่การผ่านกฎหมายของสภา คองเกรสมีสัดส่วนที่ลดต่ำลงต่อเนื่อง ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ตลาดก็คงไม่สามารถคาดหวังในประสิทธิผลของแผนการสร้างงานของโอบามาในระดับสูง
นอกจากนี้ ยังจำเป็นที่จะต้องติดตาม แผนการปรับลดการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดว่าจะต้องมีการเสนอสภาคองเกรสภายในวันที่ 23 พ.ย. 54 และจะต้องลงมติให้ได้ภายใน 15 ม.ค. 55 (หากไม่สามารถทำได้ การตัดลดรายจ่ายในรายการที่กำหนดไว้จะถูกปรับลดโดยอัตโนมัติในมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ฯ) ตลอดจนรายละเอียดในการปรับลดงบประมาณ ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใด
สภาวะการปล่อยสินเชื่อในสหรัฐฯ ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ
สภาวะการปล่อยสินเชื่อในสหรัฐฯ ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยพบว่าธนาคารสหรัฐฯ ยังมีความเข้มงวด (Tighten) ที่จะปล่อยสินเชื่อ อันจะเห็นได้จากผลสำรวจสภาวะการปล่อยสินเชื่อที่อยู่ในแดนลบ (แสดงถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน) ในขณะที่ปริมาณการถือเงินสดของธนาคารสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เข้ามากระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ คดีฟ้องร้องสถาบันการเงินสหรัฐฯ เกี่ยวกับการประเมินคุณภาพสินทรัพย์จำนองที่สูงเกินจริง การถูกปรับลดอันดับเครดิตของรัฐบาลสหรัฐฯ ตลอดจน ปัญหาหนี้ในยุโรปที่อาจจะลุกลามไปยังสถาบันการเงินสหรัฐฯ โดยจากรายงานล่าสุดของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) สหรัฐฯ ถือครองทรัพย์สินในธนาคารยุโรปประมาณ 6.7 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดยมีธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้อง (Exposures) กับธนาคารในยุโรปสูงถึงประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ณ สิ้นปี 2553 โดยหากสถานการณ์ปัญหาหนี้ยุโรปบานปลายและกระทบภาคธนาคาร ก็ย่อมส่งผลต่อฐานะการเงินของธนาคารสหรัฐฯ โดยอาจจะต้องมีการสำรองเพิ่มเติม และส่งผลต่อกิจกรรมการปล่อยกู้ของธนาคารในสหรัฐฯ ได้ ซึ่งทางเฟดก็คงจะต้องติดตามพัฒนาการของการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปอย่างใกล้ชิด และมีโอกาสที่เฟด อาจจะดำเนินมาตรการผ่อนคลายสภาพคล่องเพิ่มเติม เพื่อช่วยกระตุ้นสภาวะการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินให้เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น
การแก้ปัญหาหนี้ในยุโรป...อีกปัจจัยที่ท้าทาย
เมื่อไม่นานมานี้ ปัญหาหนี้ในยุโรปได้กลับมาเป็นประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจอีกครั้ง โดยตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับ ความสามารถของกรีซในการที่จะดำเนินมาตรการรัดเข็มขัด เพื่อลดการขาดดุลการคลังลง อันเป็นเงื่อนไขที่ต้องบรรลุ ก่อนที่ IMF และ EU จะอนุมัติวงเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม ท่ามกลางข่าวที่ ผู้นำในยุโรปเริ่มหมดความอดทนในการแก้ปัญหาหนี้ของกรีซ ส่งผลให้เกิดความกังวลอย่างมากในภูมิภาคยุโรป โดยส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรเทียบกับพันธบัตรประเทศเยอรมัน ของประเทศที่มีหนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูง เช่น อิตาลี และสเปน ปรับตัวสูงขึ้นมาก และส่งผลไปสู่ภาคธนาคารในยุโรป ที่อาจได้รับความเสียหาย หากกรีซผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารยุโรปลดลง และส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของธนาคารเหล่านั้นสูงขึ้น อันสะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารยุโรป (EU LIBOR OIS) ที่ปรับตัวสูงขึ้น จนกระทั่งล่าสุด ธนาคารกลางประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB), ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed), ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์(SNB) ได้ร่วมกันสนับสนุนเงินกู้สกุลดอลลาร์ฯ แก่ธนาคารพาณิชย์ในยุโรป เพื่อป้องกันไม่ไห้เกิดปัญหาสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ในยุโรปที่อาจจะลุกลามไปยังภาคธนาคารสหรัฐฯ นั้น ยังไม่อยู่ในภาวะที่ต้องกังวลโดยจะเห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารของสหรัฐฯ (US LIBOR OIS) ยังคงอยู่ในภาวะปกติ ขณะที่สถานะทางการเงินภาคเอกชนสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง
ปัญหาหนี้ในยุโรปส่งผลกระทบจำกัดต่อธนาคารในสหรัฐฯ
ปัจจัยเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ทำให้เฟดอาจจะมีการพิจารณาออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติม
ท่ามกลางความเสี่ยงต่างๆ ทั้งจากปัจจัยภายใน เช่น การปรับลดการขาดดุลการคลังสหรัฐฯ (Budget Act Control) ความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวทางการเมือง (Political Dysfunction) รวมถึงปัญหาหนี้ในยูโรโซนที่เริ่มจะลุกลามขยายตัวไปยังภาคธนาคาร ทำให้เฟดคงต้องประเมินปัจจัยท้าทายดังกล่าว และดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างมากต่อไป โดยมีโอกาสมากขึ้นที่เฟดจะออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เฟดอาจจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมไปจากเดิม โดยมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่เฟดอาจทำการการซื้อคืนพันธบัตรรอบใหม่ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (Quantitative Easing : QE3) โดยหันมาซื้อพันธบัตรระยะกลาง-ยาว ซึ่งหวังผลลดอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง เพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของประชาชนสหรัฐฯ และยังเป็นการช่วยให้ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวขึ้น (จากความสามารถในการผ่อนที่สูงขึ้นซึ่งน่าจะลดการยึดจำนองบ้านลง) รวมไปถึงการที่เฟดอาจจะประกาศขยายระยะเวลาครบกำหนดของตราสารที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอของเฟด นอกจากนี้เฟดยังอาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อกระตุ้นให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ให้กับภาคเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงอาจมีการเพิ่มตัวเลขเงินเฟ้อเป้าหมายในระยะกลาง (ซึ่งมาตรการอันหลังมีความเป็นไปได้น้อยกว่ามาตรการอันอื่นเนื่องจากอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว)
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าแม้เฟดอาจไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นและสนับสนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับสู่เส้นทางของการขยายตัว ผ่านการใช้เครื่องมือต่างๆ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามประสิทธิผล จากมาตรการเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังต้องติดตามประเด็นการคลังว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้มากน้อยเพียงใด ขณะที่การดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมของเฟด อาจจะส่งผลให้ตลาดการเงินโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวผันผวนต่อเนื่องอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงในลักษณะเดียวกันกับช่วงที่เฟดดำเนินมาตรการ QE1 และ QE2 ที่สภาพคล่องในระบบการเงินโลกเพิ่มสูงขึ้น และกระทบต่อการปรับตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แถลงการณ์หลังการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ที่ 0.00-0.25% ต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2556 รวมถึงอาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติ่ม หลังจากปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมีมากขึ้น
ท่ามกลาง พัฒนาการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ให้ภาพไปในเชิงลบมากขึ้นประกอบกับสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ยังมีความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัญหาทางการเมือง (Political Dysfunction) รวมถึงปัญหาหนี้ในยูโรโซนที่อาจจะลุกลามขยายตัวไปยังภาคธนาคาร ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่น่าที่จะเกิดภาวะถดถอยในปีนี้ โดยมองว่า การฟื้นตัวของการบริโภค ขณะที่ภาคเอกชน รวมถึง ภาคธนาคารสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง ก็น่าจะเป็นตัวสนับสนุนให้มีโอกาสที่การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะออกมาดีกว่าในช่วงครึ่งแรก อีกทั้ง แผนการจ้างงานของโอบามา หากสามารถทำได้ในหลักการแล้วก็น่าจะช่วยประคองการจ้างงานที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯ ให้ค่อยๆทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความท้าทายในระยะข้างหน้า ทั้งจากปัจจัยการเมืองที่อาจกระทบต่อแผนการสร้างงานของโอบามา ที่ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งอาจถูกต่อรองทางการเมือง ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือน พ.ย. 2555 รวมถึง มาตรการการปรับลดการขาดดุลการคลังของสหรัฐฯ จะเริ่มมีผลในปี 2556 เป็นต้นไป ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
สำหรับผลต่อไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สภาวะตลาดการเงินโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวผันผวน คงจะมีผลต่อความเชื่อมั่นและการปรับตัวของตลาดเงินและตลาดทุนในประเทศอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง ขณะที่คาดการณ์ว่า ทางการไทยคงจะติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจทั้งในประเทศ อันได้แก่ ผลจากนโยบายรัฐบาล และภาวะน้ำท่วม รวมถึงปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และยุโรป อย่างใกล้ชิด ในขณะที่คงจะพิจารณาน้ำหนักความเสี่ยงเศรษฐกิจ และเงินเฟ้ออย่างรอบคอบ เพื่อเป็นการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายที่เหมาะสมต่อไป
PTG ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 ประจำปี 2025 เป็นปีที่สองติดต่อกัน ...
SKIN ผนึก APM ลุยโรดโชว์ห้องค้า PST มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดีเยี่ยม
แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ อารมณ์คอการเมือง ร้อนทันที เป็นคลิปเสียง แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สนทนากับ สมเด็จฯ ฮุน..
รู้จักพร้อมเปิดพื้นฐาน NUT ก่อนเทรด 11 มิ.ย.- สายตรงอินไซด์ - 9 มิ.ย.68