HotNews : CPALL เนื้อๆ เน้นๆ
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (28 มีนาคม 2562) ทีมข่าวหุ้นอินไซด์ สังเกตการณ์ราคาหุ้น บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL พบว่ามีอาการเซ หล่นมาอยู่แถว 74 บาท จึงไปหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น? ก็ได้คำตอบจาก เซียนหุ้นบล.บัวหลวง ที่ให้มุมมองว่าราคาหุ้น CPALL ที่ปรับตัวลดลง 4% หลังจากพรรคการเมืองต่างๆประกาศนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ที่ดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อ CPALL มากกว่าผู้ประกอบการค้าปลีกรายอื่น
เพราะ CPALL มีสัดส่วนของพนักงานที่จ่ายตามค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า อย่างไรก็ตามค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นอาจไม่มีผลจนกว่าจะถึงไตรมาส 2/63 และการปรับขึ้นมีแนวโน้มที่จะเป็นการทยอยปรับในช่วง 3 ปี หรือเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าค่าแรงขั้นต่ำในปี 2563 จะขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 6.75% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการปรับขึ้นค่าแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราว 5% ในกรณีนี้จะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2563 จะถูกปรับลดลง 3.5% อย่างไรก็ตามเชื่อว่าความกังวลเกี่ยวกับการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้าได้สะท้อนในราคาหุ้นแล้ว ระบุราคาหุ้นที่ปรับลงเป็นโอกาสทีดีที่จะเข้าสะสมหุ้น CPALL ชูเป็นหุ้นค้าปลีกตัวเด็ดไตรมาส 2/62 เป้าหมาย 82 บาท/หุ้น
สำหรับแผนธุรกิจ ปี 2562 CPALL เคยเปิดแผน ให้เห็นแบบจะๆ คาดรายได้ปี 62 โตต่อเนื่อง จากยอดขายสาขาใหม่-ยอดขายสาขาเดิมหนุน วางงบลงทุนปี 62 ประมาณ 11,500 – 12,000 ลบ. เปิดสาขาใหม่-ปรับปรุงสาขาเดิม ระบุ วางแผนขยายสาขาอีกประมาณ 700 สาขาในปี62 คาดครบ 13,000 สาขา ภายในปี 64 พร้อม เจรจาขายแฟรนไชส์ ร้าน 7-Eleven ในกัมพูชา-ลาว คาดเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2/62 ตั้งบริษัทย่อย “บริษัท ออลล์ นาว โลจิสติกส์ จํากัด” รุกธุรกิจบริการจัดส่งพัสดุและสินค้าด่วนภายในประเทศ
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer ผู้มีอํานาจรายงานสารสนเทศ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) CPALL เปิดเผยว่าบริษัทฯ คาดการณ์และแนวโน้มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ในปี 2562 บริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบลงทุนในปี 62 ประมาณ 11,500 -12,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การเปิดร้านสาขาใหม่ 3,800-4,000 ล้านบาท การปรับปรุงร้านเดิม 2,400-2,500 ล้านบาท ลงทุนโครงการใหม่ รวมบริษัทย่อยและศูนย์กระจายสินค้า 4,000-4,100 ล้านบาท ลงทุนสินทรัพย์ถาวร และระบบสารสนเทศ 1,300-1,400 ล้านบาท
บริษัทวางแผนลงทุนขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยบริษัทได้กำหนดเป้าหมายใหม่ที่จะขยายสาขาให้ครบ 13,000 สาขา ภายในปี 64 ทั้งนี้ บริษัทวางแผนที่จะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่อีกประมาณ 700 สาขาในปี 62
ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่ารายได้จากการขายและบริการยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตของรายดได้ส่วนใหญ่มาจากอัตราการเติบโตของยอดขายจากร้านสาขาใหม่ และอัตราการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยจากร้านเดิม คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ อาทิ ระดับของอัตราเงินเฟ้อ การขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศ เป็นต้น
นอกจากนั้น บริษัทตั้งเป้าขยายอัตรากำไรขั้นต้นให้ได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยเน้นการพัฒนาระบบในการคัดสรรสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น และผลักดันให้มีสัดส่วนของสินค้าที่กำไรขั้นสูงเพิ่มขึ้น ทั้งจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดิ่ม และสินค้าอุปโภค
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้ดําเนินการเจรจาและตกลงเพื่อการเข้าทําสัญญาแฟรนไชส์หลัก (MasterFranchise Agreement) ในการลงทุนจัดตั้งและดําเนินการร!าน 7-Eleven ในประเทศกัมพูชาและประเทศลาว ทั้งนี้บริษัทได!มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (Indicative Term Sheet) กับ 7-Eleven, Inc. สําหรับการได้รับสิทธิแฟรนไชส์ในการจัดตั้งและดําเนินการร้าน 7-Eleven ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 29มกราคม 2562 โดยมีกําหนดระยะเวลาของบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นฉบับนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อมีการลงนามในสัญญาแฟรนไชส์หลัก ซึ่งคาดหมายว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาสที่ 2/2562 อย่างไรก็ตามสามารถขยายระยะเวลาได้โดยความเห็นชอบของคู่สัญญา การลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว บริษัทไม่มีภาระผูกพันที่จะต้องลงนามในสัญญาแฟรนไชส์หลักกับ 7-Eleven, Inc. แต่อย่างใด
พร้อมกันนี้ รับทราบการจัดตั้งบริษัทย่อยของบริษัทเพื่อดําเนินธุรกิจบริการจัดส่งพัสดุและสินคาด่วนภายในประเทศชื่อ “บริษัท ออลล์ นาว โลจิสติกส์ จํากัด” และการเปลี่ยนชื่อบริษัท ไดนามิค แมนเนจเมนท์จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทและทําธุรกิจบริหารจัดการคลังสินค้า เป็น “บริษัท ออลล์ นาว แมนเนจเมนท์ จํากัด”
ด้าน บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า เชื่อว่าความกังวลเกี่ยวกับการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในปีหน้าได้สะท้อนในราคาหุ้น CPALL แล้ว ในขณะที่แนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2/62 ดูเหมือนว่ายังไม่ได้รับรู้เข้าไปทั้งหมด ดังนั้นเราจึงมองว่าเป็นโอกาสทีดีที่จะเข้าสะสมหุ้น CPALL
คาดยอดขายสาขาเดิมในไตรมาส 2/62 มีแนวโน้มเติบโตดี เนื่องจากปรากฎการณ์เอลนีโญ่ส่งผลให้สภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งยาวนานไปจนถึงปลายไตรมาส ซึ่งโดยปกติแล้วยอดขายของร้าน 7-Eleven จะดีมากในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากเครื่องดื่มขายดี แต่ยอดขายจะอ่อนตัวลงในช่วงฤดูฝน เนื่องจากฝนทำให้ลูกค้าเข้าร้านน้อยลง นอกจากนี้ปัจจัยอีกประการที่ จะผลักดันให้ยอดขายสาขาเดิมเติบโตยิ่งมากไปกว่าปกติคือฐานที่ต่ำในไตรมาส 2/61 จากปรากฎการณ์ลานีญาส่งผลให้ฝนเริ่มตกตั้งแต่เดือนเม.ย. ซึ่งเร็วกว่าปกติที่จะเริ่มตกในช่วงกลางเดือนพ.ค. ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเห็นยอดขายสาขาเดิมโตได้มากกว่า 5% ในไตรมาส 2/62 ซึ่งจะสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาดและประมาณการของเราที่ 4.5%
การเติบโตจากฐานที่ต่ำไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงในไตรมาส 2/62 เท่านั้น แต่คาดว่าจะต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 3/62 เนื่องจากมีฐานที่ต่ำจากแคมเปญแสตมปที่ไม่ประสบความสำเร็จในไตรมาส 3/61 ทั้งนี้แคมเปญแสตมปในช่วงปลายเดือนก.ค.จนถึงปลายเดือนก.ย. ปี 2561 ไม่ประสบความสำเร็จในการดึงลูกค้าให้สะสมแสตมปและแลกสินค้าพรีเมี่ยม เนื่องจากคาแรกเตอร์ของแสตมปจากละครทีวีที่ได้รับความนิยมในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. ปี 2561 หมดความนิยมอย่างรวดเร็วกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ ดังนั้นแม้ว่าภาษีบุหรี่ที่เพิ่มขึ้นช่วยหนุนอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมได้ราวๆ 1-2% แต่ยอดขายสาขาเดิมของร้าน 7-Eleven ขยายตัวได้เพียง 1.8% เท่านั้นในไตรมาส 3/61 ดังนั้นหากแคมเปญแสตมปในปีนี้ประสบความสำเร็จ เราอาจะเห็นยอดขายสาขาเดิมโตได้ไม่ต่ำกว่า 5% ในไตรมาส 3/62
ราคาหุ้น CPALL ปรับตัวลดลง 4% หลังจากพรรคการเมืองต่างๆประกาศนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยพรรคพลังประชารัฐเสนอที่ 400-425 บาทต่อวันในขณะที่พรรคเพื่อไทยเสนอที่ 400 บาทต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 308-330 บาทต่อวัน ในปัจจุบันค่อนข้างมาก ทั้งนี้การปรับขึ้นค่าแรงดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อ CPALL มากกว่าผู้ประกอบการค้าปลีกรายอื่น จากที่ CPALL มีสัดส่วนของพนักงานที่จ่ายตามค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่า อย่างไรก็ตามค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นอาจไม่มีผลจนกว่าจะถึงไตรมาส 2/63 และการปรับขึ้นมีแนวโน้มที่จะเป็นการทยอยปรับในช่วง 3 ปี หรือเพิ่มขึ้น 9% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าค่าแรงขั้นต่ำในปี 2563 จะขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 6.75% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการปรับขึ้นค่าแรงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราว 5% ในกรณีนี้จะส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2563 จะถูกปรับลดลง 3.5% ดังนั้นเราเชื่อว่าการที่ราคาหุ้นลดลง 4% ได้สะท้อนค่าแรงขั้นต่ำที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้าแล้ว
สอดคล้องกับความเห็นของ บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอสวิคเคอร์ส ที่ระบุก่อนหน้านนี้ ว่าราคาหุ้น CPALL ที่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกังวลเรื่องนโยบายการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำของพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานบริษัทเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เรามองว่าประเด็นนี้กระทบจำกัดเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นของภาคแรงงานทำให้กำลังซื้อสูงขึ้น และเป็นผลดีต่อยอดขายของ CPALL ที่มีสาขากระจายอยู่ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดมากกว่า 1.1 หมื่นแห่ง
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแกร่งมาก จากการจำหน่ายสินค้าเป็นเงินสดแต่ได้เครดิตเทอมจากการซื้อสินค้าเข้าร้าน 3-4 เดือน อำนาจต่อรองในการซื้อสินค้าสูง และมี Economy of scale จากจำนวนสาขาที่มาก
การอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะซื้อสะสม โดยฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 81 บาท ทั้งนี้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 62 เติบโต 19% ดีขึ้นจากปี 61 ที่ขยายตัว 4%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ระยะสั้นมากให้แนวรับไว้ที่ 73+/-, 71.50 บาท ส่วนการปรับขึ้นมีแนวต้าน 76.50-77, 78บาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำซื้อ CPALL เช่นกันประเมินราคาพื้นฐาน ที่ 86.00 บาท คาด CPALL ยังคงมีการเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยเน้นให้ธุรกิจร้านเซเว่นฯ เป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลักของบริษัท ซึ่งจะมาจาก SSSG และการขยายสาขา 700 สาขา/ปี รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การขยายไปต่างประเทศคาดยังไม่ส่งผลกระทบช่วงสั้น แต่จะช่วยสร้างโอกาสการเติบโตยั่งยืนในระยะยาว เราปรับประมาณการขึ้นสะท้อน SSSG ที่เติบโตดีกว่าคาด ทำให้ราคาเป้าหมาย (DCF) ปรับขึ้นจาก 81 บาท เป็น 86 บาท แนะนำ ซื้อ
เราปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนถึง SSSG ของร้านเซเว่นฯ ดีกว่าคาด ทำให้ยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี CPALL อาจจะบันทึกประมาณการหนี้สินสำหรับผลประโยชน์พนักงานอีก 809 ล้านบาทในปีนี้ (บันทึกไปแล้ว 100 ล้านบาทใน 4Q61) แต่เป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด ขณะที่ฐานะการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี คาดอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงจาก 1.2 เท่า เป็น 1.0 เท่า ซึ่งอยู่ภายใต้ Bond Covenants ที่ 2.0 เท่า
การเติบโตของ CPALL ในปีนี้จะมาจาก SSSG ที่ 2-3% และการเปิดสาขาเซเว่นฯ 700 สาขา (+6% YoY) เป็น 11,688 สาขา โดยยังมีเป้าหมายครบ 13,000 สาขาในปี 2564 ซึ่งเราเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่บริษัทจะทำได้ตามเป้าหมาย โดยเน้นเปิดสาขาแบบ Stand alone และมีขนาดใหญ่ขึ้นช่วยสร้างโอกาสในการเพิ่มยอดขายต่อสาขา อีกทั้งยังมีการขยายสาขา All Caf? จากปัจจุบันที่ 5,900 จุด คาดจะเกิน 7,000 จุดในปีนี้
CPALL อยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขการเข้าทำสัญญาเปิดร้านเซเว่นฯ ในกัมพูชาและลาว หากได้เซ็นสัญญา การขยายสาขาจะเป็นแบบไปค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเราคาดว่าไม่ส่งผลบวกอย่างมีนัยยะในช่วงสั้น แต่จะเป็นบวกในระยะยาว ทั้งนี้ เราประเมินเบื้องต้นว่า ร้านสะดวกซื้อในกัมพูชาและลาวอาจมีได้ 4,000 และ 1,700 สาขา ตามลำดับ ซึ่งประมาณการอ้างอิงจากจำนวนร้านสะดวกซื้อต่อจำนวนประชากรของไทยปัจจุบันที่ประมาณ 4,200 คน/สาขา
ปิดการซื้อขายวันนี้ ราคาหุ้น CPALL อยู่ที่ 74.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1.21 พันล้านบาท
CPALL