HotNews : TOA โชว์แผนปี 62 วางเป้ารายได้โต 10% ลงทุน 600 ลบ.

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (12 มีนาคม 2562) TOA ตั้งเป้ารายได้ปี 62 โต 10% จากปีก่อน หลังปรับกลยุทธ์เร่งการเติบโตในไทย - ขยายโรงงานใน AEC วางงบลงทุนปี 62 ราว 600 ลบ. ใช้ลงทุนสร้างโรงงานต่อเนื่อง - ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ระบุ ไร้ผลกระทบจากตลสดอสังหาฯซบเซา เหตุยังเห็นดีมานด์-สัดส่วนลูกค้าบ้านใหม่น้อย พร้อมตั้ง “ประกรณ์ เมฆจำเริญ”ขึ้นแท่น “กรรมการผู้จัดการใหญ่” สานต่อนโนบายผู้นำตลาดสีในไทยและเออีซี

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) TOA เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 2562 เติบโตประมาณ 10% หรือแตะ 18,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 16,347 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงาน โดยการเร่งการธุรกิจในไทย จากการที่บริษัทจะเน้นการขายผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มที่เพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้มากที่สุด รวมถึงการนำนวัตกรรมใหม่ๆมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ารายได้ในประเทศโตประมาณตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง (middle sigle digit)

ขณะที่ตลาดต่างประเทศบริษัทฯได้ตั้งเป้ารายได้ในปีนี่ เติบโตประมาณตัวเลข 2 หลัก (dubble digit) จากการที่บริษัทได้มีการขยายธุรกิจไปในตลาดอาเซียน (AEC) มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จากแบรนด์ TOA ในการขยายธุรกิจให้เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ การสร้างฐานการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน รวมทั้งบริษัทจะมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายด้วยการสร้างดีลเลอร์ใหม่เพิ่มขึ้น เพื่อให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และบริษัทคาดว่าในปีนี้ สัดส่วนรายได้ในต่างประเทศของบริษัทจะเพิ่มเป็น 15% จากปีก่อนอยู่ที่ 14% พร้อมกันนี้บริษัทฯคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตเป็น 20% และ 25% ภายใน 5 ปี และ 10 ปี ข้างหน้าตามลำดับ

"ในปีนี้ เราต้องเติบโตให้ได้มากกว่าอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ 10% ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง ผลประกอบการ 2 เดือนที่ผ่านมาของเราก็ถือว่าสามารถประคองตัวไปได้ ส่วน EBITDA เราก็จะให้เป็นไปตามทิศทางเดียวกับรายได้ที่โตขึ้น โดยEBITDA ของเราจะมีความผันผวน จากราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะน้ำมัน" นายจตุภัทร์ กล่าว

สำหรับความคืบหน้าการสร้างโรงงานผลิตสีแห่งใหม่ ทั้ง 3 แห่งในต่างประเทศ บริษัทฯได้มีการกาอสร้างในเขตนิคมอุตสาหกรรม Kawasan Industri Millenium ประเทศอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิต 7.8 ล้านแกนลอน และใช้งบลงทุนไปทั้งหมดประมาณ 670 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างทดลองไลน์การผลิต และคาดว่าเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 2/2562

ส่วนโรงงานใหม่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา ซึ่งทำการย้ายมาจากย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ มีกำลังการผลิต 3.4 ล้านแกนลอน และใช้งบลงทุนไปทั้งหมด 312 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างเฟสที่ 1 คาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพานิชย์ได้ในช่วงไตรมาสที่ 3/2562 และการสร้างโรงงานผลิตสีแห่งที่ 2 ในเขตเศรษฐกิจพิเศษพนมเปญ ประเทศกัมพูชา กำลังการผลิต 3.3 ล้านแกนลอน และใช้งบลงทุนทั้งหมดประมาณ 254.1 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะสามารถดำเนินงานเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่4/2562 ซึ่งหลังจากโรงงานทั้ง 3 แห่งดังกล่าวแล้วเสร็จและเริ่มเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ บริษัทฯคาดว่าภายในปี 2562 กำลังการผลิตรวมจะเพิ่มเป็น 102 ล้านแกลลอนหรือเพิ่มขึ้น 16% จากปี 2561 ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 88 ล้านแกนลอน

ขณะเดียวกันหลังจากที่โรงงานทั้ง 3 แห่งสร้างเสร็จ จะส่งผลให้บริษัทฯมีโรงงานผลิตสี ทั้งหมด 10 แห่ง แบ่งเป็น ในประเทศไทย 3 แห่ง และต่างประเทศ 7 แห่ง ได้แก่ ประเทศเวียดนาม,สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว,ประเทศมาเลเซีย,ประเทศอินโดนีเซีย,ประเทศเมียนมาร์และประเทศกัมพูชา และโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ฉาบบาง (Skim Coat) อีกหนึ่งแห่งในประเทศกัมพูชา

นอกจากนี้ในปี 2562 บริษัทฯได้มีการวางงบลงทุนไว้ประมาณ 600 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงานเดิมประมาณ 250 - 300 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้การก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้ง 3 แห่งในต่างประเทศ ซึ่งเป็นงบลงทุนต่อเนื่องของโครงการ ซึ่งในปัจจุบันยังมีโรงงาน 2 แห่งที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ เมียนมาร์ และกัมพูชา

นายจตุภัทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จากการที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีการประเมินว่าค่อนข้างซบเซานั้น บริษัทฯมองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากจากการขายสีให้กับลูกค้าที่นำไปใช้ในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศในปัจจุบัน ลูกค้าส่วนใหญ่ประมาณ 70% จะเป็นลูกค้าบ้านเก่า ส่วนบ้านใหม่ที่กำลังสร้างมีเพียง 30% อีกทั้งการสร้างตึก คอนโดมิเนียม หรือบ้านต่างๆก็ยังมีความต้องการใช้สีให้เห็นอยู่ พร้อมกันนี้ ในปีนี้บริษัทฯคาดหวังว่าภายหลังจากการเลือกตั้งแล้ว ผู้บริโภคจะมีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ก็จะเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อ ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตไปด้วย

TOA ตั้ง “ประกรณ์ เมฆจำเริญ”ขึ้นแท่น “กรรมการผู้จัดการใหญ่” สานต่อนโนบายผู้นำตลาดสีในไทยและเออีซี

‘ทีโอเอ’ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีทาอาคารและผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นแบบครบวงจรเบอร์หนึ่งของประเทศไทยและก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดผู้ใช้สีปกป้องพื้นผิวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย “ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ โดยทีโอเอ ได้เข้าสู่การเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา โดยการบริหารงานมืออาชีพรุ่นลูกของ “จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ “พงษ์เชิด จามีกรกุล” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่ได้เติบโตเคียงข้างมากับทีโอเออย่างยาวนาน จนครบกำหนดวาระ เกษียณอายุ?ซึ่งหลังจากนี้บริษัทฯ ได้ประกาศผังโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยแต่งตั้ง “ประกรณ์ เมฆจำเริญ” มาดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อย่างเป็นทางการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 เป็นต้นไป

โดย นายประกรณ์ เผยว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้เข้ามารับไม้ต่อในการบริหารอาณาจักรสี “ทีโอเอ” บริษัทผู้ผลิตสีแห่งความภาคภูมิใจของประเทศไทย ตนพร้อมสานต่อนโยบายที่บริษัทฯ ได้วางรากฐานและตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งในด้านการสร้างความแข็งแกร่งในประเทศไทยให้เติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ พร้อมกับการรุกขยายไปในตลาดเออีซี ด้วยการสร้างโรงงานฐานผลิตควบคู่กับการทำการตลาด โดยจะใช้ประสบการณ์ ความรู้ และความสามารถที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดีในภูมิภาคอาเซียนนี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทในแต่ละประเทศ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายของบริษัทฯ