
HotNews:TCMC ฟุ้งปีนี้-ปีหน้ากำไรพุ่งนิวไฮ
หลังซื้อกิจการCommercial Carpet ในฮ่องกง
สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 20 กันยายน 2560 ) --------TCMC คาดปีนี้-ปีหน้า กำไรทำนิวไฮ หลังซื้อกิจการ Commercial Carpet Business ในฮ่องกง มูลค่าราว 3 พันล้านบาท ระบุเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือน ต.ค. นี้ พร้อมคาดรายได้ปีนี้เพิ่มเป็น 7.4 พันล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านบาทในปี 61 เล็งนำควบรวม 2 กิจการบริษัทเฟอร์นิเจอร์ในอังกฤษ ก่อนดันเข้าตลาดหุ้นลอนดอนภายใน 1-2 ปี เผยยังสนใจซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง -แตกไลน์ธุรกิจใหม่ แต่ไม่รีบร้อนตัดสินใจ คาดช่วงที่เหลือของปีใช้งบลงทุน 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อรีแบรนด์ -ซื้อเครื่องจักรใหม่
นายพิมล ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) TCMC เปิดเผยว่า คาดภาพรวมกำไรสุทธิในปี 60 ต่อเนื่องไปถึงปี 61 จะทำสถิติสูงสุด (New High) ต่อเนื่อง ส่วนรายได้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยบริษัทคาดว่ารายได้ในปี 61 จะแตะ 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้คาดจะมีรายได้อยู่ที่ 7.4 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3.9 พันล้านบาท หลังบริษัทเตรียมเข้าซี้อธุรกิจผลิตและจำหน่ายพรมเพื่อการพาณิชย์จาก Tai Ping Carpets International Limited ซึ่งเป็น Commercial Carpet Business ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ซึ่งการเข้าซื้อกิจการ Tai Ping Carpets จะส่งผลให้ TCMC ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายพรมรายใหญ่อันดับต้นๆของโลก อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการขยายไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆเพิ่มขึ้น สามารถเจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยหลังจากที่บริษัทเข้าซื้อกิจการ Tai Ping Carpets แล้วเสร็จ จะเริ่มรับรู้รายได้และกำไรเข้ามาตั้งแต่เดือนถัดไป
ทั้งนี้ธุรกิจผลิตและจำหน่ายพรมเพื่อการพาณิชย์จาก Tai Ping Carpets International Limited เป็นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง โดยบริษัทใช้เงินลงทุนในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ราว 94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 3 พันล้านบาท ภายในเดือนนี้ โดยแหล่งเงินทุน บริษัทจะใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) จำนวน 3 พันล้านบาท เพื่อชำระเงินในการซื้อกิจการในวันที่ 29 ก.ย.60 และหลังจากนั้นบริษัทจะออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อจัดสรรขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในสัดส่วน 2:1 จำนวน 254 ล้านหุ้น ราคา 3 บาท/หุ้น ในเดือนพ.ย.60 เพื่อนำเงินจำนวนกว่า 700 ล้านบาท พร้อมกับออกวอร์เรนต์ในสัดส่วน 1:1 จำนวน 254 ล้านหุ้น ที่ราคา 4 บาท/หุ้นครบอายุใน 2 ปีข้างหน้า ทำให้จะมืเงินที่ได้จากวอร์แรนต์เข้ามากว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนแบบ RO และวอร์แรนต์ มาชำระคืนเงินกู้ส่วนหนึ่งกับBBL
อย่างไรก็ตามการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ต่อทุน (D/E) เพิ่มเป็น 2.1 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.07 เท่า แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่เกินจากนโยบายของบริษัทที่ 2.75 เท่า ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้มองว่ามีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และช่วยเกื้อหนุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน โดยบริษัทได้รับผลตอบแทนเข้ามาทันที พร้อมทั้งได้ฐานลูกค่า ช่องทางการจัดจำหน่าย วัตถุดิบ และการผลิตที่เข้ามาเสริม เพื่อก้าวไปสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายพรมระดับโลก และได้รับความเชื่อถือจากลูกค้ามากขึ้น
นายพิมล กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังการเข้าซื้อกิจการจากฮ่องกงจะช่วยเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการผลิตพรม ซึ่งทำให้มีกำลังการผลิตพรมเพิ่มขึ้นเป็น 2-2.1 ล้านตารางเมตร/ปี จากเดิมที่บริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 500,000 ตารางเมตร/ปี ทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น และคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 6-7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 4.48%
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับงานปูพรมในท่าอากาศยานของฮ่องกง มูลค่า 2.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากงานดังกล่าวเข้ามาในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 61 เต็มปี
ขณะที่บริษัทยังมีแผนการควบรวม 2 บริษัทลูกที่ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และโซฟา ในประเทศอังกฤษ คือ Manor (2016) Holdings Limited (Manor) และ DM Midlands Holdings Limited (DMMH) เพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเพื่อระดมทุนนำเงินมาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเป็นแผนในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
นายพิมล กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทเตรียมเปลี่ยนชี่อบริษัทใหม่เป็น บมจ.ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะจดทะเบียนพาณิชย์ในชื่อใหม่วันที่ 2 ต.ค. 60 พร้อมกับสร้างโลโก้บริษัทใหม่เพื่อให้จดจำง่ายและมีความทันสมัย โดยบริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนในการรีแบรนด์ใหม่ รวมทั้งจะมีการซื้อเครื่องจักรใหม่เข้ามาประมาณ 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯในช่วงที่เหลือของปีนี้
ขณะเดียวกันบริษัทยังสนใจซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งแตกไลน์ธุรกิจใหม่ โดยจะมองหาโอกาสอย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่รีบร้อนในการตัดสินใจ
ปิดการซื้อขายวันนี้ ราคาหุ้น TCMC อยู่ที่ 4 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ 3.09% มูลค่าการซื้อขาย 71 ล้านบาท
---จบ---