Today’s NEWS FEED

News Feed

HotNews : FETCO เล็งดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า พุ่งปรี๊ดในรอบ 7 เดือน / IAA เฟ้นหุ้นเด่น AMATA , BBL , CPALL ,STEC ,PTT

2,482

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (8 ตุลาคม 2561)

FETCO  เล็งดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือน ข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง (Bullish) เป็นเดือนแรกในรอบ 7 เดือน   รับความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมือง การเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง -ภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง  ด้านส.นักวิเคราะห์ (IAA)  มองเป้า SET สิ้นปีนี้ที่ 1,818 จุด ชูหุ้นเด่น AMATA , BBL , CPALL ,STEC ,PTT 

 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจําเดือนตุลาคม 2561 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือน ข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง (Bullish) เป็นเดือนแรกในรอบ 7 เดือน โดยผลสํารวจนักลงทุนมี ความเชื่อมั่นในสถานการณ์การเมือง การเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง สนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนเฝ้าติดตามผลกระทบสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนและ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ การไหลเข้าออกของเงินทุน เป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน” ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจําเดือนตุลาคม 2561 ได้ผล สํารวจโดยสรุป ดังนี้

- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2561) เพิ่มขึ้นมาก อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (Neutral) (ช่วงค่าดัชนี 120 - 160) โดยเพิ่มขึ้น 12.01% อยู่ที่ระดับ 120.60


- ดัชนีกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการสํารวจครั้งก่อน มาอยู่ที่ Zone ร้อนแรง


- ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศลดลงเล็กน้อยยังคงอยู่ที่ Zone ร้อนแรง (Bullish)


- ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ แทบไม่ เปลี่ยนแปลง โดยยังคงอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)

 

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)


หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดแฟชั่น (FASHION)

 

ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์การเมือง


ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

 

“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนกันยายน ในช่วงเดือนกันยายน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงต้นเดือนมีทิศทาง ปรับตัวลดลงจากความกังวลนโยบายการขึ้นภาษีนําเข้าของสหรัฐ โดยดัชนีฯลดลงต่ําสุดที่ 1672 จุด และปรับตัว เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังร่างพรบ.เกี่ยวกับการได้มาของสส.และสว. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และการผ่อน คลายเกณฑ์ในการทํากิจกรรมพรรคการเมือง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของวันเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยดัชนีฯช่วง ปลายเดือนเพิ่มขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1750 จุด จากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนสถาบันในประเทศ

 

ผลสํารวจชี้ว่าทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนมาจาก สถานการณ์ทางการเมือง และความเชื่อมั่นการเติบโตเศรษฐกิจของไทย ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นในภาคการท่องเที่ยวแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนลดลงก็ตาม และแนวโน้มราคาน้ํามันที่ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการที่ OPEC ไม่ส่งสัญญาณเพิ่มกําลังการผลิตและมาตรการคว่ําบาตรอิหร่านที่จะถูกบังคับใช้ใน วันที่ 4 พ.ย.นี้ขณะที่นโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐที่ล่าสุดประกาศเพิ่มภาษีนําเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้าน ดอลลาร์ รวมถึงการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ 0.25% เป็นรอบที่ 3 ในปีนี้และแนวโน้มปรับขึ้นอีกครั้ง ในช่วงเดือนธันวาคม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในหลายประเทศและผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้าออกระหว่าง ประเทศ รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะ Emerging Market เป็นปัจจัยความเสี่ยงที่นักลงทุนติดตาม นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ทิศทางนโยบายทางการเงินของธนาคารยุโรปภายหลังลดปริมาณ QE 1.5 หมื่นล้านยูโรในเดือน ต.ค.-ธ.ค. จากปัจจุบันที่เข้าซื้อ 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และคาดว่ามาตรการ QE จะยุติในสิ้นปี นี้ แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงสิ้นปี รวมถึงภาวะเศรษฐกิจจีนและยุโรปจากผลกระทบ ของสงครามทางการค้า”

 

ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตราการควบคุมการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีการกำหนให้มีเงินดาวน์ขั้นต่ำในการกู้บ้านหลังที่สองขึ้นไป หรือ ที่อยู่อาศัยที่มีราคาเกินกว่า 10 ล้านบาท โดยบ้านกลุ่มนี้ต้องวางเงินดาวน์อย่างน้อย 20% หรือคิดเป็นสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(LTV limit 80%) จากปัจจุบันที่กำหนดเงินดาวน์ไว้เพียง 5-10% มองว่าไม่ได้มีผลกระทบกับทุกบริษัทฯ เนื่องจากแต่ละบริษัทฯ มีนโยบายในการวางเงินดาวน์ที่แตกต่างกันไป รวมถึงการเจาะกลุ่มบ้านที่มีราคาสูงก็ไม่ได้มีทุกบริษัทฯที่เจาะกลุ่มดังกล่าว

 

"จากกรณีที่แบงค์ชาติออกมาตรการควบคุมฯ ตรงนี้ก็ให้ดูเป็นบริษัทๆไป ก็มีอีกหลายบริษัท ที่เค้าอาจจะไม่ได้ถูกกระทบมากมาย หลายๆบริษัทก็มีนโยบายที่อาจจะเรียกเงินดาวน์ค่อนข้างเยอะอยู่ แล้ว ไม่ใช่ทุกบริษัทมีการเรียกเงินดาวน์ต่ำที่สุด เท่าที่กฎหมายยอมให้ทำ ฉะนั้นถ้าเราไปโฟกัสบริษัทที่อาจจะเรียกเงินดาวน์ที่สูงอยู่แล้ว บริษัทเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกกระทบมากมาย หรือบริษัทที่ไม่ได้เน้นจับตลาด บ้านราคาสูง 10 ล้านขึ้นไป ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะผลกระทบที่มีไม่ได้กระทบเท่ากันทุกบริษัท" นายไพบูลย์ กล่าว

 

ทั้งนี้จากการที่หลายบริษัทหลักทรัพย์ได้มีการคาดการณ์ว่าเป้าหมาย SET INDEX ในปี 2562 จะมีการปรับขึ้นไปถึง 2,000 จุด มองว่ามีความเป็นไปได้ จากปัจจัยภายนอกประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น และปัจจัยในประเทศก็ต้องมีความแข็งแกร่งด้วย "เป้า SET ปีหน้า ถึง 2000 จุด มีความเป็นไปได้ ถ้าหากปัจจัยเศรษฐกิจในต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี สหรัฐอเมริกาจะต้องมีความปลิดภัยดีอยู่ และไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากมายจากดอกเบี้ยที่ขึ้น สงครามการค้าจะต้องจบ จีน สหรัฐจะต้องคุยกันได้ ไม่ใช่ลากคารา คาซังไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ก็อาจจะไม่ถึง แต่สุดท้ายคือในประเทศเราเอง เราจะต้องมีรัฐบาลที่ดีเข้ามาบริหารจัดการเศรษฐกิจ ให้มันโต และไปตามทิศทางที่ควรจะเป็น ผมคิดว่าก็น่าจะมีความหวังอยู่" นายไพบูลย์ กล่าว

 


ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในระยะสั้นและต่อเป้าหมายของดัชนี SET Index ในปี 2561 นี้ โดยมีตัวแทนทีมวิเคราะห์การลงทุน ทั้งหมด 26 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 20 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 3 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน 1 บริษัทและธุรกิจโกลด์ ฟิวส์เจอร์ส 2 บริษัท ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้

 


ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนร้อยละ 50 มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในระยะสั้น มีมุมมองต่อตลาดในทิศทางบวก ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 46.15 เป็นไปในทิศทาง Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก และร้อยละ 3.85 มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางลบทั้งนี้นักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุนคาดว่าดัชนีราคาหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคมจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,773 จุด

 

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในระยะสั้นนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เรื่องการเลือกตั้งของไทยเป็นปัจจัยลำดับแรกที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคาหุ้นไทยระยะสั้น รองลงมาคือ ปัจ จัยสงครามการค้าโลก และผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2561 ตามลำดับเมื่อมองภาพที่ยาวขึ้นไปถึงสิ้นปี 2561 นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดการณ์จุดต่ำสุดของดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ระหว่างปีมีค่าเฉลี่ยจุดต่ำสุด ที่ 1,688 จุด ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขที่สารวจในเดือนก่อนที่มองว่าจุดต่าสุดจะอยู่ที่ 1,647 จุด

 

สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ช่วงที่เหลือของปี 2561 เฉลี่ยที่ระดับ 1,826 จุด ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 45.45 ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,801 – 1,850 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 36.36 ที่คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ในช่วง 1,751 – 1,800 ตามลำดับสำหรับผลสำรวจความเห็นต่อเป้าหมายดัชนี ณ วันสิ้นปีปี 2561 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,818 จุด ซึ่งมากกว่าผลสำรวจของเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยไม่มีผู้ตอบที่คาดว่าดัชนี ณ วันสิ้นปี 2561 จะอยู่ต่ำกว่า 1,700 จุด ระยะเวลาที่เหลือจากนี้ไปตลอดปีปัจจัยที่ถูกคาดว่าจะส่งผลในด้านบวก ได้แก่ ปัจจัยทางด้านการเมืองในประเทศ ที่รวมแนวโน้มการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจภายในประเทศรวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เป็น 2 ปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสำรวจเทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก ขณะที่ Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย ได้รับการโหวตมาเพียง 50% ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ตอบแบบสำรวจส่วนปัจจัยที่จะส่งผลในด้านลบต่อตลาดทุนไทยในช่วงที่เหลือของปี ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมา คือทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) ซึ่งมีเพียง 2 ปัจจัยที่มีเสียงโหวตมากถึง 50% ขึ้นไปเป็นที่น่าสังเกตุปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยในประเทศนั้นไม่มีผลมากนัก ต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยมีผู้ตอบเพียง 19.23 % ที่มองว่าจะเป็นผลบวก และมีผู้ตอบอีก 15.38 % ที่มองแย้งว่าจะเป็นผลลบ

 

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2562 ร้อยละ 50 รองลงมา คือ คาดว่าเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4/2561 ร้อยละ 34.62 และเริ่มปรับขึ้นในช่วงหลังจากไตรมาส 1/2562 ไปแล้ว ร้อยละ 15.38 ตามลำดับกำหนดการเลือกตั้งของไทย นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นมี.ค.-พ.ค.2562 ร้อยละ 69.23 รองลงมา ร้อยละ 26.92 คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่เกิน ก.พ.2562 ทั้งนี้มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียงร้อยละ 3.85 ที่คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น มิ.ย. - ส.ค.2562

 

คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 109.31 บาท ผู้ตอบส่วนใหญ่คาดการณ์อยู่ที่ระดับ 105 – 109.99 บาท โดย แยกตามกลุ่มมีผู้ตอบดังนี้


 105 – 109.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 70
 110 – 114.99 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 25
 115 - 120 บาท มีผู้ตอบร้อยละ 5

 

 

EPS Growth ณ สิ้นปี 2561 คาดว่า EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 9.39 ส่วนอัตราการเติบโตของกาไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) แยกตามกลุ่มผู้ตอบจะอยู่ระหว่างร้อยละ

5 – 9.99 มีผู้ตอบร้อยละ 50
10 – 14.99 มีผู้ตอบร้อยละ 45
15 – 20 มีผู้ตอบร้อยละ 5

 


ผลสำรวจการคาดกำรณ์ Forward P/E สำหรับ ปี 2561 เฉลี่ยที่ระดับ 16.18 เท่าโดยแยกตามกลุ่มดังนี้


P/E 14 - 15.99 เท่า มีผู้ตอบร้อยละ 23.81
P/E 16 - 17.99 เท่า มีผู้ตอบร้อยละ 76.19

 


รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำโดยมีจำนวนสำนักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้

1. AMATA โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ เตรียมจะเข้าไปลงทุนในโครงการเมืองอัจฉริยะ การทำนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจใหม่ในเมียนมาร์และ สปป.ลาว


2. BBL โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ เติบโตตามการลงทุนที่ฟื้นตัว คุณภาพสินทรัพย์เสถียรขึ้น


3. CPALL โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ เติบโตตามเศรษฐกิจ โดยราคาหุ้นสะท้อนจุดต่ำสุดในทางพื้นฐานไปแล้ว Fair Value 80 บาท


4. STEC โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ งานในมือสูงกว่า 1.2 แสนล้านบาท และมีโอกาสรับงานประมูลภาครัฐใหม่ๆ อีกมากที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า


5. PTT โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ราคาน้ามันดิบ จากราคาน้ามันดิบ WTI มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง กรอบการเคลื่อนไหว 70-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากการที่ประเทศอิหร่านกล่าวว่าจะไม่ลดกาลังการผลิตน้ำมันดิบลงส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

พระโค By: แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ วันนี้ วันพืชมงคล พระโค กินน้ำ หญ้าและเหล้า ส่วนตลาดหุ้นไทย วันนี้ ยังคงซึม ท่ามกลาง ....

IND เยี่ยมชมโครงการก่อสร้างทางรถไฟ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ

IND เยี่ยมชมโครงการก่อสร้างทางรถไฟ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ

มัลติมีเดีย

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

APO มาเหนือเฆม - สายตรงอินไซด์ - 2 เม.ย.67

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้