สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (10 กันยายน  2561)

 

TAPAC  ทุ่มงบ  119.60  ลบ.  เข้าซื้อหุ้น  23% ในธุรกิจคลังน้ำมันเชื้อเพลิง "พรีเมียร์ แทงค์"  ด้าน"โสฬส ตั้งในธรรม"  บิ๊กบอส TAPAC  ระบุ "พรีเมียร์ แทงค์"   เป็นผู้ให้บริการจ่ายน้ำมันซึ่งมีสัญญาการให้บริการระยะยาวกับผู้ประกอบการเอกชนรายใหญ่รายหนึ่ง  ชี้ เป็นกิจการที่มีรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง

 

นายโสฬส ตั้งในธรรม กรรมการ  บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) TAPAC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ทาพาโก้ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ครั้งที่ 7/2561 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 มีมติอนุมัติให้ บริษัท ซีโฟร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“C4C”) (เป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯเพิ่งจัดตั้งขึ้น โดยมีบริษัทฯเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99 เข้าทำรายการซื้อหุ้นสามัญเดิมจำนวน 23,000 หุ้นของ บริษัท พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“PTC”) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 23.00 ของหุ้นสามัญทั้งหมดของ PTC โดยเป็นการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมของ PTC ซึ่งได้แก่ บริษัท โกรไวด์เดอร์ แคปปิตอล จำกัด (“GWC”) ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 5,200 บาท (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาทต่อหุ้น) รวมเป็นมูลค่าซื้อหุ้นสามัญของ PTC ทั้งสิ้น 119,600,000 บาท โดยคาดว่าบริษัทฯจะเข้าทำรายการแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2561

 

ผู้ซื้อ : บริษัท ซีโฟร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“C4C”) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทฯ โดยมีบริษัทฯถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 99.99

ผู้ขาย : บริษัท โกรไวด์เดอร์ แคปปิตอล จำกัด (“GWC”)

 

ความสัมพันธ์กับบริษัทจดทะเบียนระหว่าง C4C และ GWC ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ และไม่ถือเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยง ตามประกาศคณะกรรมการกากับตลาดทุน ที่ ทจ. 21/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่เกี่ยวโยง และประกาศคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในรายการที่เกี่ยวโยงกัน พ.ศ. 2546 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม

ทั้งนี้ บริษัท พรีเมียร์ แทงค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจคลังน้ามันเชื้อเพลิงโดยเป็นตัวแทนในการกระจายน้ำมันให้กับผู้ใช้และสถานีบริการน้ำมันในแถบจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเป็นหลัก โดยให้บริการ รับ เก็บ จ่าย ผลิตภัณฑ์น้ามันสำเร็จรูป ซึ่งได้แก่ น้ำมันกลุ่มไวไฟ (Mogas) น้ามันกลุ่มดีเซล เอทานอล ไบโอดีเซล และน้ำมันสาเร็จรูป อื่นๆ ปัจจุบัน PTC มีสัญญาเป็นตัวแทนในการให้บริการกระจายน้ามันกับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันรายใหญ่รายหนึ่งของประเทศไทย

 

TAPAC ระบุว่า สิ่งตอบแทนของการเข้าทำรายการได้มาซึ่งหุ้นสามัญของ PTC ดังกล่าว ได้แก่ เงินสดจำนวนรวม 119,600,000 บาท โดยแหล่งที่มาของเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัทฯ

 

ด้านผลประโยชน์ที่เกิดจากการซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว เป็นการลงทุนในกิจการที่มีรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดและอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแน่นอน จากการที่ PTC เป็นผู้ให้บริการจ่ายน้ำมันซึ่งมีสัญญาการให้บริการระยะยาวกับผู้ประกอบการเอกชนรายใหญ่รายหนึ่ง ประกอบกับความต้องการใช้น้ามันของผู้บริโภคจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มมากขึ้นด้วย

 

หาก PTC มีผลประกอบการที่ดีและมีกำไรอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในหุ้นสามัญของ PTC จะทำให้บริษัทฯรับรู้ผลประกอบการกำไรที่เพิ่มมากขึ้นจากการรับรู้ส่วนต่างมูลค่าเงินลงทุนตามสัดส่วนใน PTC บริษัทขอรับรองว่าข้อความในสารสนเทศฉบับนี้ถูกต้องและเป็นความจริงทุกประการ ได้จัดทำขึ้นด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง โดยยึดถือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสาคัญ

 

 

ด้าน SEAFCO มั่นใจรายได้ปีนี้โต 30% ตามเป้า คาด 2H/61 โตกว่า 1H/61 หลังตุน Backlog ราว 2.8 พันลบ. อยู่ระหว่างรอผลประมูลงานใหม่ราว 5-6 พันลบ. คาดทยอยรู้ผลต่อเนื่อง

 

ด้านนายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทฯมั่นใจว่ารายได้ปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 30% หรือแตะระดับ 2,600 ล้านบาท ตามเป้าที่วางไว้ จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,907.25 ล้านบาท และบริษัทฯคาดว่ารายได้ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 1,116.93 ล้านบาท โดยในปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ(ณ สิ้นเดือน สิงหาคม 2561) ราว 2,800 ล้านบาท ทยอยรับรู้มาเป็นรายได้ในไตรมาส 3/2561 ราว 700 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ไตรมาส 3/2561 ผ่านไป 2 เดือน บริาทฯรับรู้รายได้แล้วราว 500 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้อีกราว 1,800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯจะมีรายได้หลักมาจากโครงการ One Bangkok เฟส1 และ 2 และโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม และสายสีชมพู

 

 

 

"เรามั่นใจว่ารายได้ในครึ่งปีหลังจะเติบโตดีมาก จากครึ่งปีแรกที่เราทำไปแล้วกว่า 1,100 ล้านบาท โดยไตรมาส 3/2561 เพิ่งจะผ่านไป 2 เดือน เรารับรู้รายได้มาแล้วกว่า 500 ล้านบาท และสิ้นไตรมาส 3/2561เราคาดว่ารายได้จะอยู่ราว 700 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสิ้นเดือนสิงหาคม เราเหลือ Backlog อยู่ที่ 2,800 ล้านบาท มันจะลดลงเรื่อยๆจากการที่เราทยอยรับรู้จากการส่งมอบงาน และเราคาดหวังว่าจะรักษาระดับ backlog ให้อยู่ที่ 1,500-1,800 ล้านบาท " นายณรงค์ กล่าว

 

นายณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การรักษาระดับงานในมือให้อยู่ที่ระดับ 1,500-1,800 ล้านบาท ถือเป็นระดับที่เหมาะสม เพราะถ้าหากบริษัทฯมีงานในมือมากเกินไป แต่กำลังคน และเครื่องมือในการก่อสร้างไม่เพียงพอจะทำให้เกิดปัญหาได้ อีกทั้งบริษัทฯจะเน้นรับงานใหญ่ และมีมาร์จิ้นสูง เนื่องจากจะไม่ต้องเสียเวลาในการขนย้ายเครื่องมือ

 

 

ส่วนการก่อสร้างโครงการ One Bangkok บริษัทได้งานก่อสร้างมา 3 เฟส (เฟส 1 ,2 และ 4 ) จากทั้งหมดมี 4 เฟส โดยปัจจุบันการก่อสร้างเฟสที่ 1 และ 2 มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ และเฟสที่ 4 บริษัทฯจะเริ่มก่อสร้างหลังเดือนตุลาคมนี้

 

นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างรอผลการประมูลงานใหญ่ มูลค่ารวมกันกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรู้ผลอย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับงานในต่างประเทศบริษัทฯ บริษัทเข้าไปเพื่อรับงานจากภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว และในปัจจุบันบริษัทฯอยู่ระหว่างก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ในประเทศเมียนมาร์ คาดว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีนี้ และบริษัทฯได้เตรียมที่จะเพิ่มเครื่องมือในการก่อสร้าง เพื่อที่จะสามารถรองรับงานก่อสร้างเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากอุตสาหกรรใรับเหมาก่อสร้างในเมียนมาร์มีแนวโน้มการเติบโตมากขึ้นและในกัมพูชา ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับผู้รับเหมาหลักที่จะเป็นผู้ส่งมอบงานให้กับบริษัทฯ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างอาคารสูง

SEAFCO        TAPAC