HotNews: IVL คาดผลงานQ2/61ทะยานต่อ
ปี62 EBITDA แตะ 45%

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(10 พฤษภาคม 2561)-------- IVL กำไรโค้งแรก โต 31.36% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ Core EBITDA ต่อตันอยู่ที่ 140 เหรียญสหรัฐสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากปปริมาณการผลิตที่สูงขึ้น -รับรู้ผลตอบแทนจากการเข้าซื้อกิจการ มองแนวโน้มQ2/61 โตในทิศทางเดียวกัน ยันปี62 EBITDA แตะ 45%

นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) IVL เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานไตรมาส 1/61 มีกำไรสุทธิ 5,814 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.36% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,426 ล้านบาท ขณะที่กำไรหลักต่อหุ้น 0.99 บาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบปีต่อปี หลังจากจะได้รับผลกระทบ 11% จากจานวนหุ้นที่เพิ่มมากขึ้นจากการใช้สิทธิของใบสาคัญแสดงสิทธิ์บางส่วน ด้าน Core EBITDA ต่อตันอยู่ที่ 140 เหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากปปริมาณการผลิตที่สูงขึ้น พร้อมการรับรู้ผลตอบแทนจากการเข้าซื้อกิจการ

ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 ปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 2,325 พันตัน หรือเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบปีต่อปี โดย 85% ของส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการขยายโรงงาน โครงการต่างๆเพื่อความเป็นเลิศในการดำเนินงาน อัตรากำลังการผลิตที่สูงขึ้นและความสาเร็จจากการเข้าซื้อกิจการที่ประกาศในปี 2560

ธุรกิจ PET ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 ปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 947 พันตัน หรือเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบปีต่อปี โดยมีอัตรากำลังการผลิตที่ 87% ซึ่งมาจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้นในผลิตภัณฑ์ของบริษัท ความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในระดับสากลที่สูงขึ้น และความเป็นเลิศในการดาเนินงานผ่านการใช้สินทรัพย์เพื่อการดำเนินงานร่วมกัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในอุตสาหกรรม PET ซึ่งยังคงดำเนินต่อไปช่วยสร้างโอกาสที่ดีสำหรับผู้ผลิต PET ซึ่งมีการจัดการที่ดีเพื่อที่จะสร้างความน่าเชื่อถือในการจัดหาวัตถุดิบและเพื่มปริมาณการขายให้กับลูกค้าถึงแม้ว่าโดยทั่วไปไตรมาสแรกจะเป็นไตรมาสที่ซบเซา

ธุรกิจเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 ปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 363 พันตัน หรือเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบปีต่อปีโดยมีอัตรากาลังการผลิตที่ 95๔ เนื่องจากการเติบโตของอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัทในทุกธุรกิจและภูมิภาค และปริมาณการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าซื้อกิจการ Glanzstoff และ DuraFiber ที่เสร็จสิ้นในปี 2560 โดยการเข้าซื้อกิจการนี้คิดเป็นร้อยละ 77 ของปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด การเพิ่มขึ้นของปริมาณการผลิตนี้ส่วนหนึ่งถูกหักกลบด้วยปริมาณการผลิตที่ลดลงของโรงงาน PHP ในประเทศเยอรมันนีเนื่องจากเหตุสุดวิสัยที่เกิดจากผู้จัดหาวัตถุดิบ

ธุรกิจ Feedstock ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 ปริมาณการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,016 พันตัน หรือเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบปีต่อปีโดยมีอัตรากาลังการผลิตที่ 85% จากปริมาณการผลิตที่ค่อยเพิ่มๆสูงขึ้นจากการขยายโรงงาน PTA ใน Rotterdam ปริมาณการผลิต IPA ที่เพิ่มขึ้นและปริมาณการผลิตที่กลับมาเป็นปกติจากโรงงาน EOEG ในประเทศสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากนี้ปริมาณการผลิตของ PTA ในทวีปเอเชียยังเพิ่มสูงขึ้น 7% เนื่องจากอัตรากาลังการผลิตที่สูงขึ้นจากอุปสงค์ PTA ที่เพิ่มสูงขึ้น ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งถูกหักกลบจากปริมาณการผลิต PTA ที่ลดลงในประเทศแคนาดา เนื่องจาก Apple Grove ซึ่งเป็นโรงงานผลิต PET ในสหรัฐอเมริกายังไม่เริ่มกลับมาดำเนินการผลิต

ทั้งนี้บริษัทลงทุนในธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตโดยรวม เพิ่มการควบรวมในแนวตั้ง ตลอดจนเพิ่มคุณภาพของกาไร ทั้งนี้กระแสเงินสดที่เพิ่มมากขึ้นและความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องของผู้ถือหุ้นทำให้เกิดสภาพคล่องสาหรับโอกาสในการลงทุนต่างๆตามแผนเชิงกลยุทธ์ในช่วงปี 2561 ถึง 2564

นอกจากเงินลงทุนที่ประกาศไปก่อนหน้านี้จำนวน 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 ถึง 2562 บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มอีกจำนวน 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ตามงบประมาณ และแนวทางของบริษัทในอัตราหนี้สินต่อทุนซึ่งเท่ากับ 1:1 ในช่วงที่วางแผน) ความสามารถในการลงทุนเพิ่มนี้รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่ได้ประกาศไว้

บริษัทอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Feedstock PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ หลังจากที่อยู่ในสภาวะอุปทานส่วนเกินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยพื้นฐานของอุตสาหกรรมได้ปรับตัวขึ้นในทิศทางบวก การปรับตัวดีขึ้นของการบริโภคผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ในประเทศจีน ความต้องการวัตถุดิบตั้งต้นที่เพิ่มสูงขึ้นจากมาตราการห้ามการนำเข้าขยะในประเทศจีน และการที่ผู้ผลิตมีระเบียบวินัยมากขึ้น ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่สมดุลมากขึ้นซึ่งส่งผลให้อัตรากาลังการผลิตและอัตรากาไรเพิ่มสูงขึ้น

ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ทาให้บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตของ EBITDA ที่ร้อยละ 45 ในปี 2562 เมื่อเทียบกับปี 2560 ซึ่งบริษัทได้ประกาศไว้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาพร้อมกับธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่และโครงการที่ได้รับอนุมัติอย่างต่อเนื่องประมาณการของ EBITDA ในปี 2561 และ 2562 ของบริษัทยังไม่รวมถึงการเข้าซื้อกิจการที่ได้ประกาศไว้แต่ยังไม่เสร็จสิ้น การเข้าซื้อโรงงาน PET ในประเทศบราซิลซึ่งมีกาลังการผลิตอยู่ที่ 550,000 ตัน และการเข้าร่วมในกิจการร่วมทุน Corpus Christi ซึ่งมีกาลังการผลิต PTA และ PET 2.4 ล้านตัน ที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรของธุรกิจ Necessities และสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับธุรกิจในทวีปอเมริกาของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังแสวงหาโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ HVA เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจยานยนต์ ผลิตภัณฑ์สุขอนามัยส่วนบุคคล และสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เมื่อการเข้าซื้อกิจการ DuPont Tejin Films แล้วเสร็จ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสัดส่วนผลิตภัณฑ์ HVA และช่วยสร้างรูปแบบที่เข้มแข็งในด้านนวัตกรรมและการเติบโตไปยังธุรกิจฟิล์มของบริษัท
บริษัทรายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปี ทั้งปริมาณการผลิตและอัตรากำไรเพิ่มขึ้นในทุกส่วนธุรกิจและส่วนภูมิภาค ผลการดำเนินงานนี้เป็นผลมาจากกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวของบริษัท การควบรวมภายในกับกิจการที่เข้าซื้อ ผลกำไรที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นของผลิตภัณฑ์ Necessities ที่มีปริมาณการผลิตสูง และผลิตภัณฑ์ HVA ที่มีอัตรากำไรที่สูงกว่าและค่อนข้างคงที่ บริษัทรายงานผลกำไรและกระแสเงินสดดีเป็นประวัติการณ์และคาดการณ์ว่าทิศทางเดียวกันนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในไตรมาสที่กำลังจะมาถึง

---จบ---