HotNews: GLOW ออกสตาร์ท
ไตรมาสแรกกำไรพุ่ง37.7%

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 30 เมษายน 2561)------ GLOW ซดกำไรไตรมาสแรก โต 37.7% หลังโกยรายได้ขายไฟโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน -ค่าพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โบรกฯ คาดปันผลของ GLOW จะยังคงสูงต่อเนื่องถึงปี 2020F หนุนราคาหุ้น ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" เป้าใหม่ 100 บาท

นายปจงวิช พงษ์ศิวาภัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายการเงิน บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) GLOW เปิดเผยว่า ในไตรมาส1/2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ(ส่วนของบริษัทใหญ่) เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.7 หรือ 716.1 ล้านบาท จากจำนวน 1,898.1 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 2560 เป็นจำนวน 2,614.2 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 2561 อย่างไรก็ตามถ้าไม่รวมผลจากการเปลี่ยนแปลงการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับสัญญาเช่าการเงินของโรงไฟฟ้า โกลว์ ไอพีพี กำไรสุทธิจะมีจานวนทั้งสิ้น 2,616.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.4 หรือ 668.9 ล้านบาท จากจำนวน 1,947.2 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 256

ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการ (รวมรายได้อื่นๆ) ในไตรมาสแรกปี 2561 จำนวน 13,027.2 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 หรือจำนวน 890.9 ล้านบาท จากจำนวน 12,136.3 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลักต่อไปนี้
รายได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ. ของ บจ.โกลว์ ไอพีพี ภายใต้สัญญาผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่

ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ. (ก่อนการปรับปรุงตามมาตรฐานบัญชีเกี่ยวกับสัญญาเช่าการเงิน) จานวน 647.5 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 4.9 หรือ 33.1 ล้านบาท จากจำนวน 680.6 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวลดลงมีสาเหตุหลักมาจากค่าความพร้อมจ่ายที่ลดลงร้อยละ 19.5 หรือ 88.4 ล้านบาท เป็นจำนวน 363.9 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2561 เนื่องมาจากอัตราค่าความพร้อมจ่ายที่ปรับตัวลดลงและค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมผลจากการนามาตรฐานบัญชีเกี่ยวกับสัญญาเช่าการเงินมาใช้ รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ. ที่แสดงในงบการเงินจะประกอบไปด้วยรายได้จากสัญญาเช่าการเงินจำนวน 123.8 ล้านบาท และรายได้จากการขายจำนวน 436.0 ล้านบาท

รายได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ. ของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วันภายใต้สัญญาผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.จำนวน 2,759.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.0 หรือ 869.8 ล้านบาท จากจำนวน 1,889.3 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวเพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากความพร้อมที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกปี 2561 ซึ่งเป็นผลมาจากในไตรมาสแรกปี 2560 มีการหยุดซ่อมบำรุงที่มากกว่า ซึ่งทำให้ค่าความพร้อมในไตรมาสแรกปี 2561 เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นในไตรมาสนี้ ค่าพลังงานไฟฟ้าได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการจ่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.8 จากไตรมาสแรกปี 2560 เป็นจำนวน 1,312.7 กิกะวัตต์ชั่วโมงในไตรมาสแรกปี 2561 นอกจากนั้นรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลมาจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกด้วย
รายได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวของ บจ.ไฟฟ้า ห้วยเหาะ ภายใต้สัญญาผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่
ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาวจำนวน 145.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.6 หรือ20.9 ล้านบาท จากจำนวน 166.0 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว การปรับตัวลดลงมีสาเหตุหลักจากปริมาณการจาหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.และรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว ที่ลดลงร้อยละ 4.7 หรือจาก 88.7 กิกะวัตต์ชั่วโมง เป็นจำนวน 84.5 กิกะวัตต์ชั่วโมง การปรับตัวลดลงของรายได้ยังเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

รายได้รับจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ. ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจาหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.จำนวน 3,133.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7.6 หรือจำนวน 258.4 ล้านบาท จากจำนวน 3,392.3 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวลดลงมีสาเหตุหลักมาจากค่าพลังไฟฟ้าที่ลดลง อันเนื่องมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโกลว์พลังงานระยะที่ 2 ที่ได้หมดอายุลง1 การหมดอายุของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว ยังทาให้ปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับกฟผ.ลดลงร้อยละ 6.7
รายได้รับจากการจาหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม

ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมจำนวน 4,011.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 หรือคิดเป็นจำนวน 266.4 ล้านบาท จากจานวน 3,745.1 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวเพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักจากอัตราค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 และปริมาณการจาหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.4
รายได้รับจากการจำหน่ายไอน้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม

ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจาหน่ายไอน้ำจำนวน 1,751.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 หรือจานวน 52.2 ล้านบาท จากจำนวน 1,699.1 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวเพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักจากราคาจำหน่ายไอน้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 อันเนื่องมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 และยอดจำหน่ายไอน้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณร้อยละ 0.7 เป็นจานวน 1,949.7 กิโลตัน

รายได้รับจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ในไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำนวน 114.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 หรือจำนวน 4.3 ล้านบาท จากจานวน 109.8 ล้านบาทในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวเพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักจากปริมาณการจาหน่ายน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3

รายได้อื่นๆ ประกอบด้วย ดอกเบี้ยรับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และอื่น ๆ สำหรับไตรมาสแรกปี 2561 บริษัทฯมีรายได้อื่นๆ จำนวน 552.5 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 51.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.5 จาก 603.8 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 2560 การปรับตัวลดลงมีสาเหตุเนื่องจากการบันทึกเงินชดเชยจากประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักของโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วันในไตรมาสแรกปี 2560 และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิจำนวน 388.2 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.9 หรือจำนวน 16.0 ล้านบาท จากไตรมาสแรกปี 2560

ด้านบล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า นอกจากคาดว่าปันผลของ GLOW จะยังคงสูงต่อเนื่องถึงปี 2020F หนุนราคาหุ้น ปัจจุบันเรามองว่า GLOW เริ่มเติบโตจากกำลังการผลิตใหม่จากเดิมที่เป็นหุ้นที่ไม่มีการเติบโตมาเป็นเวลานาน ด้วยมีแนวโน้มกำไรที่ดีขึ้นในระยะยาว แม้ในระยะสั้นจะอ่อนแอ เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ"

ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น "ซื้อ" (จาก ถือ) และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น100 บาท จาก 85 บาท สะท้อน 1) การปรับมาใช้ประมาณการปี 2018เป็นปีฐาน 2) โครงการทดแทน SPP เข้ามาเต็มรูปแบบ 3) โครงการพลังงานขยะขนาด 90MW (ถือหุ้น 33.3%) และ 4) โครงการ private PPAกำลังการผลิตรวม 50MW อาจมีมูลค่าเพิ่มราว 6 บาท/หุ้น จากการขยายกำลังการผลิตใหม่ - โรงไฟฟ้าพลังนํ้า Lemro 622MW ในพม่าเราคาดว่าGLOW จะคงจ่ายเงินปันผลสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีกระแสเงินสดอิสระ 9-13 พันลบ ต่อปี เทียบกับเงินปันผลจ่าย 8.5 พันลบ. ต่อปีขณะที่คาดว่าจะใช้จ่ายลงทุนไม่มากนักจนถึงปี 2021F GLOW ซื้อขายที่PE ที่ 16 เท่าในปี 2018 ด้วยมี ROE ที่ 16-17% และให้ yield 6.9%เทียบกับคู่แข่งที่ 38 เท่า, 9% และ 2% ตามลำดับ

โครงการทดแทน SPP มูลค่า 7 พันลบ. ของ GLOW ซึ่งเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้า 180MW และไอน้ำ 300-440tph (เพื่อทดแทนกำลังการผลิตไฟฟ้า404MW และไอน้ำ 390tph ของ GLOW ที่จะหมดอายุในปี 2021F) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงการทบทวนโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานใหม่คาดว่าจะได้ข้อสรุปอัตราไฟฟ้าใน 1H18F และเริ่มก่อสร้างปลายปี 2018Fแม้ว่าโครงการจะได้รับอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าอัตราปกติ ด้วยใช้เกณฑ์มาตรฐานความร้อนที่เข้มงวดแต่เราคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีประมาณ 13% เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าที่ดีขึ้น เงื่อนไขสุดท้ายสำหรับโครงการทดแทน SPP จะถูกใช้สำหรับ SPP อื่นที่จะหมดอายุในปี2024-25 ปัจจุบันเราคาดว่าการเติบโตของกำไรจะมีแนวโน้มขาขึ้นอย่างราบรื่นจากปี 2021F เป็นต้นไป

ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2018-20F ลง 3-10% เนื่องจากแรงกดดันจาก 1) ต้นทุนก๊าซ และโดยเฉพาะถ่านหินที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่า Ftถูกปรับขึ้นในอัตราที่ช้ากว่า 2) ผลกระทบอย่างเต็มปีจากการหมดอายุของPPA ของ SPP เฟส 2 ในปี 2018 3) รายได้ AP ที่ลดลงไปอีกของGLOW IPP ตามที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) (ทรงตัวในปี2019-23) 4) เงินประกันบางส่วนจาก GHECO-1 อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่ากำไรปกติที่อ่อนตัวลงจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลที่สูงเนื่องจากมี EBITDA และ FCF ที่แข็งแกร่งในปี 2018-20F ที่ 16 พนั ลบ.ต่อปี และ 9-13 พันลบ.

GLOW คาดว่าพันธมิตรทั้งสามจะเข้าร่วมโครงการ Lemro GLOW คาดว่าการจะลงนาม MOU ในเร็วๆ นี้ เพื่อดำเนินการสำรวจและศึกษาด้านวิศวกรรมเพิ่มเติมน่าจะใช้เวลาราว 1.5 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ และขั้นตอนต่อไปก็คือการเจรจาเพื่อให้ได้ MOA และ PPA การก่อสร้างจะใช้เวลา 5 ปีเมื่อคู่สัญญาตกลงกันในข้อตกลง PPA แม้การลงทุนในประเทศพม่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ Lemro ก็เหมือนโครงการ G2G ซึ่งทำให้เรามีความสบายมากขึ้นในการลงทุน เราให้มูลค่า Lemro ที่ 6 บาท/หุ้น (ถือหุ้น50%) และยังไม่รวม upside นี้ในราคาเป้าหมายของเรา

---จบ---