สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(23 ธันวาคม 2568)---------ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.75% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ในการประชุมครั้งสุดท้ายของปี ระหว่างวันที่ 16-17 ธ.ค.2025 พร้อมคงดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3.75% และดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 5.50% สะท้อนจุดยืนเชิงนโยบายที่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพค่าเงินและตลาดการเงิน โดยมีรายละเอียดดังนี้
• ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่ายังเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการลดดอกเบี้ย ตั้งแต่ต้นปีรูเปียห์อ่อนค่าลง 3.35% มาอยู่ที่ 16,722 รูเปียห์ต่อดอลลาร์ฯ (ณ วันที่ 19 ธ.ค.) (รูปที่ 1) จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ ส่งผลให้ดุลบัญชีการเงินปี 2025 มีแนวโน้มขาดดุลครั้งแรกในรอบ 3 ปี ทำให้ BI จึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการพยุงค่าเงินอย่างต่อเนื่อง ผ่านการแทรกแซงตลาดเงินควบคู่กับการซื้อพันธบัตรรัฐบาล และการใช้เครื่องมือเสริมสภาพคล่องเพื่อช่วยบริหารกดต้นทุนทางการเงิน
รูปที่ 1: เงินทุนไหลออกกดดันค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าต่อเนื่องนับจากต้นปี 2025
ในปี 2025 ดุลบัญชีการเงินมีความเสี่ยงขาดดุล
ค่าเงินรูเปียห์ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง
ที่มา: CEIC
• อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ย.อยู่ที่ 2.72% อยู่ในกรอบเป้าหมาย 1.5-3.5% แม้เปิดโอกาสให้ BI สามารถลดดอกเบี้ยได้ แต่ความเสี่ยงจากต้นทุนนำเข้าที่อาจเพิ่มขึ้นตามค่าเงินที่อ่อนค่า ทำให้ BI ต้องดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวัง
• การฟื้นตัวของสินเชื่อยังช้าต่ำกว่าเป้าหมายของ BI ที่ 8-11% ในปีนี้ โดยสินเชื่อรวมใน ต.ค. ขยายตัวช้าลงต่อเนื่องเหลือ 6.96%YoY จากที่ขยายตัว 8.97%YoY ในเดือน ม.ค. ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดไมโคร ขนาดกลางและขนาดเล็ก (Micro, Small and Medium Enterprises: MSMEs) ซึ่งมีสัดส่วน 18% ของสินเชื่อทั้งระบบหดตัวเล็กที่ -0.1%YoY สะท้อนว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจยังต้องการแรงสนับสนุนเพิ่มเติม (รูปที่ 2)
รูปที่ 2: สินเชื่อในระบบชะลอตัวโดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจ MSMEs
การเติบโตของสินเชื่อในภาพรวมยังเติบโตช้า สินเชื่อธุรกิจในกลุ่ม MSMEs เริ่มหดตัวในเดือน ต.ค.
ที่มา: CEIC, Bank Indonesia
• เศรษฐกิจอินโดนีเซียยังเผชิญแรงกดดันจากภัยพิบัติขนาดใหญ่ เหตุอุทกภัยและดินโคลนถล่มที่เกาะสุมาตราตอนเหนือ 3 พื้นที่ ประกอบด้วยอาเจะห์ สุมาตราเหนือ และสุมาตราตะวันตกซึ่งคิดเป็น 7.78% ของ GDP ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร ยางพารา ปาล์มน้ำมัน พริก และห่วงโซ่อุปทานอาหารของประเทศ รัฐบาลประเมินงบประมาณเพื่อการฟื้นฟูไว้ที่ราว 3.2 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 0.2% ของ GDP ปัจจัยดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่ BI ต้องคงท่าทีผ่อนคลายทางการเงินในลักษณะผ่อนคลายอย่างระมัดระวัง
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า BI มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้อีกอย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 หากค่าเงินรูเปียห์เริ่มมีเสถียรภาพ เงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย และแรงกดดันจากเงินทุนไหลออกทยอยคลี่คลาย