ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
ภาพรวมการลงทุนสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นไปในลักษณะผสมผสาน (Mixed Sentiment) โดยดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI ACWI) ปิดทรงตัว จากแรงหนุนในการเข้าซื้อคืนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งช่วยชดเชยแรงเทขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและกลุ่มตลาดเกิดใหม่
สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีปรับตัวลดลง 0.2% โดยได้รับแรงกดดันหลักจากกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (-6.8%) กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (-5.2%) และกลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์ (-3.7%) อย่างไรก็ดี กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าสู่กลุ่มโลหะมีค่าอย่างต่อเนื่อง หนุนให้ราคาทองคำและโลหะเงินปรับตัวขึ้น 0.9% และ 8.4% ตามลำดับ
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
ท่ามกลางพัฒนาการของโลกการเงินดิจิทัล การทำความเข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดจากสินทรัพย์ประเภท Stablecoin ต่อระบบเศรษฐกิจมหภาค จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในบริบทที่ธุรกรรมภายในประเทศอาจดูเหมือนเป็นระบบปิด (Closed Loop) หรือมีปริมาณไม่มากนัก แม้จะมีพัฒนาการด้านการกำกับดูแลที่เพิ่มขึ้น เช่น การอนุมัติ Stablecoin บางชนิดให้ใช้อย่างเป็นทางการในตลาดที่ได้รับใบอนุญาตตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุม แต่ก็ยังอาจมีช่องทางคู่ขนานที่เชื่อมโยงตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับตลาดทองคำและค่าเงินบาท ผ่านกลไกสำคัญ 3 ประการที่ยังคงท้าทายกรอบการกำกับดูแลในปัจจุบัน
ประการแรก: ความเข้าใจผิดที่เกิดจากการกำหนดสมมติฐานในลักษณะระบบปิด (The Fallacy of Closed-Loop Assumption)
แม้ธุรกรรมการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในศูนย์ซื้อขายที่ได้รับใบอนุญาตภายในประเทศจะมีการชำระราคาเป็นสกุลเงินบาท ซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนไม่มีการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยตรง แต่ในความเป็นจริง Stablecoin อาจทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมสภาพคล่อง (Liquidity Bridge) สำหรับธุรกรรมนอกระบบ เมื่อกลุ่มทุนสีเทาต้องการ Cash Out หรือแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลกลับมาเป็นอำนาจซื้อจริง พวกเขาจะอาศัยช่องทางตลาดรอง (OTC/P2P) ที่เชื่อมโยงกับตลาดโลก ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตรานอกระบบต้องดึงสภาพคล่องของเงินบาทจากระบบเศรษฐกิจจริงไปสำรองไว้เพื่อรองรับแรงเทขาย Stablecoin ส่งผลให้เกิดอุปสงค์เทียม (Artificial Demand) ต่อค่าเงินบาทที่ถูกส่งผ่านมาจากการเก็งกำไรข้ามพรมแดน แม้ว่าหน้าฉากจะดูเหมือนการซื้อขายในประเทศตามปกติก็ตาม
ประการที่สอง: ภาพลวงตาของปริมาณธุรกรรมที่มองเห็น (The Statistical Invisibility)
การใช้ข้อมูลจากศูนย์ซื้อขายที่ได้รับใบอนุญาต (Regulated Exchanges) เพียงไม่กี่แหล่ง มาเป็นตัวชี้วัดกิจกรรมในตลาดทั้งหมด เปรียบเสมือนการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้หน้าประตูบ้าน แล้วอนุมานว่าโจรจะไม่เข้าทางหน้าต่าง ซึ่งในความเป็นจริง กระแสเงินทุนผิดกฎหมายมักไหลเวียนผ่านช่องทางหลังบ้านที่ไร้การตรวจสอบ มากกว่าจะเดินผ่านประตูหน้าที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา เพราะเม็ดเงินจากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจโดยธรรมชาติแล้วย่อมหลีกเลี่ยงระบบที่มีการยืนยันตัวตน (KYC) อย่างเข้มงวด และหันไปใช้ช่องทาง Non-custodial Wallets หรือเครือข่ายบล็อกเชนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำและตรวจสอบยาก ซึ่งข้อมูลจากหน่วยงานระหว่างประเทศบ่งชี้ว่ามีเม็ดเงินหมุนเวียนในระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น ตัวเลขธุรกรรมที่ปรากฏในระบบทางการจึงเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง (Tip of the Iceberg) ส่วนที่โผล่พ้นน้ำ ขณะที่มวลน้ำใต้ผิวน้ำกำลังเคลื่อนตัวและส่งแรงกระเพื่อมต่อระบบการเงินโดยที่มาตรวัดปกติไม่สามารถตรวจจับได้
ประการที่สาม: การรั่วไหลผ่านการนำเข้าทองคำ (The Import Leakage via Gold Integration)
จุดเชื่อมโยงสุดท้ายที่เปลี่ยนตัวเลขดิจิทัลให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ คือการแปลงสภาพ Stablecoin เป็นทองคำ ซึ่งกระบวนการนี้สร้างผลกระทบลูกโซ่ที่บิดเบือนดุลการค้าของประเทศ เนื่องจากเมื่อมีแรงซื้อทองคำจำนวนมากจากเม็ดเงินนอกระบบ ผู้ค้าทองคำจำเป็นต้องสั่งนำเข้าทองคำ เพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยสต็อกสินค้า ในขณะที่เงินที่ใช้ซื้อนั้นกลับมีที่มาไม่ชัดเจน (Unexplained Flows) ปรากฏการณ์นี้จึงอาจนำมาอธิบายได้ว่า เหตุใดค่าเงินบาทจึงอาจเคลื่อนไหวสวนทางกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพราะมีตัวแปรแฝงในรูปแบบของ Stablecoin ที่แฝงตัวเข้ามาในคราบของธุรกรรมการค้า และสุดท้ายไปปรากฏยอดอยู่ในรายการเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิที่ไม่อาจจัดรายการได้ (Net Errors and Omissions) ในบัญชีดุลการชำระเงินของประเทศ
แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างโดดเด่นในช่วงท้ายสัปดาห์จากแรงซื้อคืนที่หนาแน่น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI Value Chain ซึ่งสอดรับกับการฟื้นตัวของเครื่องชี้วัดอารมณ์ตลาด ดังจะเห็นได้จากจำนวนหุ้นที่ทำจุดสูงสุดใหม่สุทธิ หรือ Net New 52-Week Highs/Lows ในตลาด NYSE ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงสัญญาณบวกจาก McClellan Volume Summation Index ที่ขยับตัวขึ้น ในขณะที่ดัชนีความผันผวน VIX Index ยังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำและปรับลดลงจาก 15.7 จุด มาอยู่ที่ 14.9 จุด เราจึงยังคงมุมมองว่าการย่อตัวของดัชนีเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการทยอยสะสมหุ้น โดยเน้นไปที่กลุ่มเทคโนโลยีเป็นหลัก
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 4.10-4.19% สวนทางกับปัจจัยบวกจากการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดและตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ สภาวะดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงต้องการส่วนชดเชยความเสี่ยงหรือ Term Premium ในระดับสูง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางนโยบายที่อาจเกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีทรัมป์
ราคาทองคำได้เคลื่อนไหวสะสมกำลังในรูปแบบ Bullish Ascending Triangle ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบ่งชี้ถึงโอกาสที่ราคาจะทะลุผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณจุดสูงสุดเดิมที่ 4,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อมุ่งหน้าทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ระดับ 4,600 ดอลลาร์ ในขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาด้านสถานะการถือครอง พบว่าสถานะซื้อสุทธิ หรือ Net Long ในตลาดฟิวเจอร์สปัจจุบันอยู่ที่ 124,637 สัญญา ซึ่งแม้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวนับตั้งแต่ปี 2006 ที่ระดับ 119,934 สัญญา แต่ยังถือว่าต่ำกว่าระดับความตึงตัวในอดีตที่มักสูงเกินกว่า 160,000 สัญญาอยู่มาก ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า Sentiment ของตลาดยังคงเป็นบวก โดยที่แรงเก็งกำไรยังไม่หนาแน่นจนเข้าขั้นอันตราย
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้มีทิศทางฟื้นตัว แม้ดัชนีอาจแกว่งตัวผันผวนบ้างจากการพักฐานของ DELTA แต่เราประเมินว่าแรงกดดันดังกล่าวจำกัดอยู่เพียงเฉพาะหลักทรัพย์ มากกว่าที่จะสะท้อนความอ่อนแอของตลาดในภาพกว้าง สถานการณ์นี้จึงเอื้อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินลงทุนหรือ Sector Rotation ไปยังหุ้นกลุ่มอื่น เราจึงยังคงแนะนำกลยุทธ์การเลือกสะสมหุ้นรายตัว หรือ Selective Buy โดยเน้นบริษัทที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวสนับสนุน
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
-Bank: SCB
-Commerce: CPALL, MOSHI
-Commercial Real Estate: CPN
-Food: CPF
-Healthcare: BDMS
-Tourism: CENTEL
-Transportation: AOT
-Utility: WHAUP
สรุปภาพตลาดวานนี้ บวกเบาๆ ท้ายสัปดาห์ โดย DELTA บวกเล็กๆ น้อยๆ ตามเทคฯ สหรัฐฯ หุ้นอื่นๆ เป็นการรีบาวด์ของ CPN CPALL CPF THAI เป็นต้น ส่วนหุ้นกดดันตลาดมีแรงขายในกลุ่มธนาคารออกมา (เสียที)
แนวโน้มตลาดวันนี้ ไม่คาดหวัง...ยังจะผิดหวัง
ตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ ซึมลง-ลุ้นไม่ขึ้น ตลอดทั้งสัปดาห์ แม้จะได้แรงซื้อหุ้นแบงก์ใหญ่ช่วยหนุนดัชนีฯ แต่หุ้นถ่วงตลาดยังคงเป็นชุดเดิมที่ เล่นกับแนวโน้มขาลง (เล่นใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน) MTC IVL PTTGC CPF CPALL และหุ้นที่เล่นตรงข้ามบาทแข็ง-หุ้นเทคฯเมืองนอกปรับฐาน DELTA KCE…
สัปดาห์นี้คาดว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มแกว่งออกข้าง กรอบ 1245-1270 จุด เมื่อขาดปัจจัย มหภาค บวก/ลบ ใหม่ เหลือเพียงแต่รอดูพัฒนาการสถานการณ์ต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนต้นปีหน้า เช่น เหตุปะทะแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มผ่านจุดตึงเครียดที่สุดได้ใน ช่วงส่งท้ายปี, แนวทางจัดการปัญหาบาทแข็ง-ฉุดภาพรวมของการส่งออกไทย
ด้านปัจจัยในต่างประเทศ ติดตามชื่อประธานเฟดคนใหม่ อาจสร้างความประหลาดใจเชิงบวกต่อตลาดหุ้น (วอลเลอร์ คกก.ปัจจุบัน ที่มีมุมมองนโยบายผ่อนคลาย มีลุ้นเข้าเส้นชัย), พัฒนาการ เวเนซุเอลา-สหรัฐฯ เมื่อรัสเซีย จีน เริ่มแสดงบทบาทอีกครั้ง
ส่วนกลยุทธ์ลงทุน เราคงต้องมองสวนคาดการณ์ของตลาดเมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวย้อนแย้งกับ สิ่งที่ นลท.ในตลาดส่วนใหญ่คิด ดังเช่นตัวอย่างที่ผ่านมาตลอด 2-3 สัปดาห์ ยกตัวอย่าง น้ำมัน ”ลง” หุ้นพลังงานขึ้น แต่ รฟฟ. ปิโตรฯ กลับเล่นไม่ออกขาดความต่อเนื่องสุดท้ายปรับฐาน, ดอกเบี้ยในประเทศ “ลง” แต่หุ้นไฟแนนซ์ลงหนักกว่า สวนทางกลุ่มธนาคารบวกแรง, บาทแข็ง แต่หุ้นเล่นรับบาทแข็ง “รฟฟ.” กลับเล่นไม่ออก และกลายเป็นหุ้นส่งออกรีบาวด์ เมื่อแบงก์ชาติออกโรงเตือนหาทางสกัดบาทแข็ง แต่เราไม่แนะนำให้รีบเก็ง ดักทิศทางบาทกลับมาอ่อนค่า
กลยุทธ์รอบนี้ เราจึงเน้นไปที่การ ซื้อแล้วถือ และคอยเฝ้าพฤติกรรมราคาหุ้นที่เราแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งติดตามประเด็นที่มีผลบวกหรือลบ ต่อราคาหุ้นที่เราแนะนำ เพื่อตัดสินใจที่จะถือต่อ หรือ ขายตัดขาดทุน โดยจะรอดูจังหวะหาหุ้นเพิ่มเข้าพอร์ตเมื่อมั่นใจว่า ตลาดหุ้นไทยตั้งรับกับสถานการณ์ได้แล้ว และ เห็นโมเมนตั้มทำงาน ผลักดันราคาขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค SET Index แกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,250-1,280 จุด sideway ออกข้างนานกว่า 5 สัปดาห์ (โหมดสร้างฐานใหม่) ดูคล้ายรูปแบบ W-shape จุดสังเกต RSI divergence เล็กๆ เตือนปลายทางขาลง (ใกล้จบ) ขณะที่ Fibonacci retracement บ่งชี้ตำแหน่งจุดรับ-ต้าน ตามตัวเลข 23.6% และ 38.2% ที่ 1,230 และ 1,280 จุดตามลำดับ
สรุป: เส้นทางเดินดัชนี..โดยเฉพาะโซนรับ 1,250 ลง test หลายครั้ง ไม่หลุด (Strong support) ขณะที่โซนต้าน 1,280 ทะลุได้จะทำให้ภาพเปลี่ยน....เกิดสัญญาณกลับตัวขาขึ้นรอบใหม่ ขอลุ้นอีกเฮือก!
แผนเทรด: Selective Buy คัดหุ้นหัวกะทิง เป็นผู้นำกลุ่ม + ปันผลสูง (หุ้นแนะนำอยู่หน้าถัดไปครับ)
ไฮไลท์: หุ้นที่รักอาจมีไม่กี่ตัว แต่หุ้นที่โอนเงินปันผลชัวร์ๆ ต้องมี PTT /โค้งสุดท้ายของปีนี้ BDMS น่าจับตามองที่สุด/ ฤดูเที่ยวมาถึงแล้ว ฤดูทำกำไรของ CENTEL กำลังจะมา/เทศกาลแห่งความสุขเริ่มต้นที่ CPN / OSP กราฟเริ่มมีพลังเหมือนดื่ม M-150 / DR01 “ประตูสู่ตลาดต่างประเทศ” (CATL01) (PINGAN01) (XIAOMI01)
What to watch
ประธาน กกต.ยืนยัน ไม่มีเลื่อนวันเลือกตั้ง วางแผนจัดเลือกตั้งในสถานการณ์พิเศษไว้แล้ว แม้จะมีเหตุปะทะตามแนวชายแดน ไทย กัมพูชา
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ลงมาเป็น 3.5-3.75% ตามที่ตลาดคาด โดยเหตุผลสนับสนุนหลักจากแรงกดดันตลาดแรงงาน แต่มติ 9 ต่อ 3 ถูกหยิบมาเป็นประเด็นตีความถึงเสียงที่แตก รวมทั้งการให้ภาพแนวโน้มที่ชี้ว่าโอกาสข้างหน้ายากขึ้น โดย Dot plot ปี 2026 ลดอีก 1 ครั้ง และ 2027 ลด 1 ครั้ง จบที่ราว 3% ระยะยาว
SET50 ตลาดแจ้งหุ้นเข้าคำนวณรอบใหม่ ได้แก่ CENTEL SAWAD
FTSE rebalance: เพิ่มหุ้น THAI เข้า FTSE Large Cap ถอด AWC มีผล 22 ธ.ค.นี้ (ราคาปิด 19 ธ.ค.)
การประชุมดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง: ไทย (วันที่ 17 ธ.ค.) กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% เหลือ 1.25% ตามคาด
หุ้นแนะนำวันนี้
CPN Traffic คนเดินห้างปรับตัวขึ้นดีสวนภาวะเศรษฐกิจ ทั้งจากการเปิด Mix used กระบี่, ดุสิต และปิดโอนโครงการอสังหาฯหนุน งบ 4Q
แนวรับ 53.75 ต้าน 56.5 Stop loss 53
รายงานพื้นฐานวันนี้
Data Center & Utilities Sector
ธีม Data Center ในไทยกำลังเปลี่ยนจากกระแส สู่ของจริง?
แรงหนุนหลักมาจากความต้องการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ราคาพลังงานในสหรัฐฯ และต้นทุนกังหันก๊าซปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นบวกต่อผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม บริบทของไทยแตกต่าง โดยราคาค่าไฟมีแนวโน้มปรับลดได้จาก reserve margin ที่ยังสูง ทำให้ไทยยังคงเป็นฐาน Data Center ที่แข่งขันด้านต้นทุนได้ดี
นับจากรายงาน Data Center & Utilities ฉบับก่อน เราปรับเพิ่มประมาณการ IT load ปี 2028 ขึ้นอีก 10% เป็น 2.2GW โดยคาดว่าราว 1GW จะเริ่มเดินเครื่องแล้วภายในสิ้นปี 2026 ซึ่งสะท้อนว่าการลงทุนกำลังเข้าสู่เฟสก่อสร้างและเชื่อมระบบจริง ไม่ใช่แค่การจองที่ดินหรือขอ BOI
ในเชิงโอกาสการลงทุน เม็ดเงินเริ่มไหลไปที่โรงไฟฟ้า มากกว่านิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและการเชื่อมต่อ ทั้งการลงทุนระบบส่งของ กฟผ. และ กฟภ. รวมถึงงาน EPC สถานีไฟฟ้าและระบบรองรับ Data Center ขณะเดียวกัน การทยอย COD ของ Data Center จะเปิดโอกาสงานด้าน connectivity มูลค่ารวมกว่า 1.4 หมื่นล้านบาทในปี 2026 ซึ่งเป็น upside ต่อรายได้ฝั่ง enterprise ของกลุ่มสื่อสาร
ด้านการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจไทย ผลสำรวจ EP.3 ของเราพบว่าเกือบครึ่งของบริษัทจดทะเบียนมีโครงการ AI หรือ LLM ใช้งานจริงแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังเป็น pilot ขนาดเล็กและยังไม่สร้างรายได้เชิงพาณิชย์ในวงกว้าง สะท้อนว่าดีมานด์ Data Center จะขยายต่อเนื่องในระยะกลาง มากกว่าการเร่งตัวแบบก้าวกระโดดในทันที
Fundamental view: เรายังคงมุมมอง “มากกว่าตลาด” ต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า และ “น้อยกว่าตลาด” กลุ่ม นิคมอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ารอบนี้ผู้ได้ประโยชน์หลักคือผู้เล่นที่อยู่ในห่วงโซ่โครงสร้างพื้นฐาน ไม่ใช่การขายที่ดินโดยตรง หุ้นเด่นของเราคือ GUNKUL และ WHAUP
Technology Sector
ธุรกิจเทคโนโลยีไทย จะได้อะไรจากกระแส AI-Data Center
จากกระแสการลงทุนของ Data center เรามองว่าผลกระทบต่อภาพอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไทยโดยรวมยังค่อนข้างจำกัดทั้งในด้านของมูลค่าและกรอบของผลบวกค่อนข้างจำกัดเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะการลงทุนจาก Data center ที่มาจากจีน โดยการย้ายจากจีนผู้ประกอบการอาจจะได้รายได้เพิ่มขึ้นจาก US$40–50/kW เป็น US$105–115 แต่สำหรับผลที่จะเกิดกับไทยบางส่วนเกิดขึ้นเฉพาะภาคการก่อสร้างช่วงแรก การสร้าง Supply chain ต้นทางโดยเฉพาะ Equipment สำคัญยังไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา
สำหรับ Beyond data center เอง การใช้ AI ของประเทศไทยอยู่ในระดับสูง จากผลสำรวจ Primary Research EP.3 ของเรา และดัชนี Digital access ของประเทศก็สูงสุดใน ASEAN เช่นเดียวกัน แต่ผลกระทบในเชิงตัวเลขยังค่อนข้างจำกัด ทั้งจากปัญหาด้านคน ข้อมูล และ Use cases ภาพรวมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในปี 2026 คาดจะยังเงียบใน 1Q26 แต่น่าจะดีขึ้นใน 2Q26 หลังจากการเลือกตั้งและงานภาครัฐเริ่มชัดเจนขึ้น โดย Backlog ของกลุ่มคาดจะยังนิ่งๆ ไม่ได้ขยับมาก จากสภาวะที่ไม่แน่นอนยังหนุนให้งานถูกปรับลงเป็นงานระยะสั้น และการแข่งขันที่ยังรุนแรง อย่างไรก็ตามคาดหวังจะดีขึ้นในช่วง 2H26 จากทั้ง Virtual Bank, Open Banking และ AI ที่คาดจะเริ่มมี Use cases ชัดเจนขึ้น
ในช่วง 1H26 เรามองว่าจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ โดยเฉพาะบาง features เช่น CRM ผนวกกับการขึ้นราคาของเจ้าของ Platform จะยิ่งเป็นการกดดันกลุ่ม Distributors ในขณะที่กลุ่ม การบริหารจัดการข้อมูล การ Modernize ระบบขึ้น Cloud ยังน่าจะมีอุปสงค์ที่ยังยืนระดับได้
Fundamental view: จากผลสำรวจของเราภาพรวมในปี 2026 การปรับขึ้นงบด้าน IT เพิ่มขึ้นเป็น 67% จาก 62% ในปี 2025 เรายังคาดหวังการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยเป็นไปค่อยไปในกลุ่มผู้นำอย่าง BBIK, DITTO, NETBAY ใน 1H26 และน่าจะเร่งตัวขึ้นได้ใน 2H26
เราคาดหวังสิ่งที่จะเป็นตัวแปรชัดเจนคือการพัฒนา SLM หรือจับมือกับ Global platform ในการ embed AI เข้าไปเพื่อพัฒนา go-to-market solutions แต่เรายังไม่เห็นความชัดเจนตรงนี้
Retails Sector
ฟื้นช้า เลือกตัว ไม่ยกกลุ่ม
ปี 2026 การฟื้นตัวยังมาแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่รีบาวด์แรงเชิงวัฏจักร เราคาด SSS กลับมาโตเพียงราว 2% ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว โดย 1Q26 ยังอืด ก่อนเห็นสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่ 2Q26 เป็นต้นไป ภายใต้แรงกดดันจากกำลังซื้อเปราะบาง หนี้ครัวเรือนสูง และนโยบายรัฐที่ยังไม่ชัด ทำให้กำไรยังต้องพึ่ง margin มากกว่ายอดขาย
ตามกลุ่ม เราคาดกลุ่มสินค้าจำเป็น (Grocery) ยังปลอดภัยสุดใน 1H26 สอดคล้อง BLS Primary Survey EP.4 ขณะที่ห้างและ department store เริ่มทรงตัวตามการฟื้นของเสื้อผ้าในกลุ่มรายได้กลาง–บน ส่วนซ่อมแซมบ้าน (HD&C) ยังอ่อนแอ จากการเลื่อนซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ คาดฟื้นจริงช่วง 2H26 จากฐานต่ำ
ด้านกลยุทธ์ เราเริ่มเห็นผู้ประกอบการลดความ aggressive ในการขยายสาขา หันมาเน้น small-format, ขยายต่างประเทศ, เพิ่มประสิทธิภาพ และ คุมต้นทุนเข้มข้นขึ้น ขณะที่ AI แม้ตามผลสำรวจ EP3 การใช้งานสูงกว่ากลุ่มอื่นใน SET แต่ยังไม่เห็นผลต่อกำไรชัด ทำหน้าที่แค่พยุง margin ไม่ใช่เร่งการเติบโต
Fundamental view: หุ้นค้าปลีกลงแรงกว่า 30% YTD ในภาพรวม ทำให้ dividend yield กลุ่มขยับเป็นราว 5% สูงกว่า SET เรามอง downside เริ่มจำกัด แต่ยังไม่ใช่จังหวะ “ลงทุนยกกลุ่ม”
กลยุทธ์ คือ เลือกหุ้นที่กำไรเห็นชัดและมี yield รองรับ หุ้นเด่นคือ CPN (ราคาเป้าหมาย 62 บาท) จากกำไรเร่งตามห้างใหม่ รายได้อสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุด ต้นทุนไฟฟ้าลด และปันผลราว 4% รองลงมา CPALL (ราคาเป้าหมาย 60 บาท) จากกำไร 7-Eleven ที่ยังโต YoY และปันผลสม่ำเสมอ ปัจจุบัน yield ราว 3.5%
Tourism Sector
ปี 2026 แม้มีการเติบโตบ้าง แต่ต้องเลือกลงทุนเป็นรายตัว
แม้เรายังคงประมาณการนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 2026 แบบค่อนข้างอนุรักษ์นิยมที่ 34.0 ล้านคน (+3.7% YoY) แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยวในเชิง “เลือกเป็นรายตัว” จากปัจจัยหนุนเฉพาะบริษัท มากกว่าการพึ่งพาการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวแบบกว้างทั้งระบบ
ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวมี upside จากจีน แต่เรายังไม่ใส่เป็น base case ขณะที่ข้อมูลฝั่งสนาบินดูดีกว่าตัวเลขนักท่องเที่ยว โดยจำนวนผู้โดยสาร (รวม inbound และ outbound) ช่วง ก.ย.–ธ.ค. 2025 ยังเติบโตเฉลี่ยราว 3% YoY แม้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะหดตัว YoY ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ต่อ AOT มากกว่าการดูขาเข้าเพียงอย่างเดียว
เราคาดกำไรกลุ่มท่องเที่ยวปี 2026 เติบโตราว 15% YoY แต่ความแตกต่างของกำไรในแต่ละบริษัทจะเป็นตัวกำหนดความน่าสนใจของหุ้น โดยหุ้นที่มี catalyst ชัดเจนเรียงตามความน่าสนใจ ได้แก่ CENTEL, AOT, MINT, AWC และ ERW สอดคล้องกับผลสำรวจ Primary Research EP.4 ที่ชี้ว่าการท่องเที่ยวเป็นหมวดใช้จ่ายอันดับ 2 ที่ผู้บริโภคตั้งใจเพิ่ม โดยขับเคลื่อนจากกลุ่มรายได้สูง ซึ่งหนุน ADR และ RevPAR ของโรงแรมระดับกลาง–บนได้ดีกว่า mass
Fundamental view: เรายังแนะนำลงทุนกลุ่มท่องเที่ยวแบบ selective และยึดตามปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก โดยให้น้ำหนักมากกับหุ้นที่มี catalyst ด้านกำไร และ balance sheet แข็งแรง นำโดย CENTEL (การฟื้นตัวของกำไรและ leverage ต่อดีมานด์), AOT (การเติบโตตามจำนวนผู้โดยสาร แต่ระวังว่า PSC ถูกสะท้อนในราคาหุ้นไปมากแล้ว) และ MINT (catalyst จากการขายสินทรัพย์ผ่าน REIT และการลดภาระดอกเบี้ยในช่วง 1Q26)
ส่วน AWC และ ERW เหมาะสำหรับการถือเชิง กลยุทธ์ ตามจังหวะมากกว่า ขณะที่ upside จากนักท่องเที่ยวจีน หากเกิดขึ้น จะเป็นปัจจัยเสริมมากกว่าหัวใจหลักของการลงทุนในรอบนี้
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน