สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(22 ธันวาคม 2568)---------SCB WEALTH จัดงานสัมมนา SCB Investment Forum For Wealth 2026 ในหัวข้อ Gold or Goldilocks ผนึกทีม Holistic และพันธมิตรระดับโลก BlackRock ร่วมถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจโลก และเทรนด์การลงทุนในปี 2569 ให้กับทีมที่ปรึกษาการเงินของธนาคาร นำทีมโดยคุณศรชัย สุเนต์ตา ( ที่ 6 ขวา) ,CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทีมผู้บริหาร SCB WEALTH และวิทยากร ประกอบด้วย ดร.ฐิติมา ชูเชิด (ที่ 2 ขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC นายวชิรวัฒน์ บานชื่น (ที่ 9 ขวา) นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB FM น.ส.เกษรี อายุตตะกะ (ที่ 1 ขวา) ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ (ที่ 10 ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO และ Mr. Mark Fuszard, Director, APAC Multi-Asset Strategies & Solutions at BlackRock (ที่ 7 ขวา) เมื่อเร็วๆนี้ ณ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่
โดยผู้เชี่ยวชาญมองว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความยืดหยุ่น แม้อัตราการเติบโตชะลอลง คาดขยายตัวได้ 2.5% ส่วนเศรษฐกิจเอเชียถูกกดดันจากผลกระทบภาษีทรัมป์ที่เริ่มชดเจน ด้านค่าเงินบาทคาดปี 2569 กลับมาอ่อนค่าปลายปีอาจแตะระดับ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเงินทุนไหลกลับสินทรัพย์สหรัฐฯ หนุนดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า ส่วนตลาดหุ้นทั่วโลกโตต่อเนื่องในปี 2569 ตลาดหุ้นอินเดีย มีโอกาสทำผลงานโดดเด่น หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ส่วนตลาดหุ้นไทย มีโอกาสปรับลดไม่มาก จากอัตราเงินปันผลยังน่าสนใจ ด้าน BlackRock มองความเสี่ยงภาษีนำเข้าลดลง Fed ลดดอกเบี้ย และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่ง หนุนมุมมองบวกต่อหุ้น แนะนำลงทุนหุ้นเติบโต และหุ้นขนาดใหญ่ รับกระแสการลงทุน AI และเทคโนโลยี พร้อมกระจายความเสี่ยงลงทุนทองคำและสินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง
ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.7% โดยมีความยืดหยุ่นมากกว่าที่เคยประเมินไว้ จากการที่หลายประเทศเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ และใช้นโยบายการเงินการคลังดูแลเศรษฐกิจเพื่อรับมือมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
สำหรับปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงมีความยืดหยุ่นอยู่แต่ในระดับที่ลดลง โดยอัตราการขยายตัวน่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5% ชะลอลงเล็กน้อยจากปีนี้ เนื่องจากหลายประเทศได้เร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งส่งออกไปแล้ว และจะเริ่มเห็นผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ชัดเจนมากขึ้นในปีหน้า หากพิจารณาในระดับประเทศ SCB EIC คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัว 1.8% ยุโรป 1.3% ญี่ปุ่น 0.9% จีน 4.3% และ อินเดีย 6.2% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเศรษฐกิจไทย คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1.5% ท่ามกลางความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ความเปราะบางภายในประเทศ และข้อจำกัดพื้นที่การคลังลดลง
ในด้านแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในโลก ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มทยอยลดอัตราดอกเบี้ยลงไปสู่ระดับใกล้ 3% อย่างไรก็ตาม ตลาดต้องจับตาจุดยืนของ Fed ภายใต้ประธานคนใหม่ ซึ่งอาจทำให้คะแนนเสียงสนับสนุนการลดดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ลดดอกเบี้ยลงมาถึงระดับต่ำสุดของรอบนี้แล้ว ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีแนวโน้มดำเนินนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ย สวนทางกับธนาคารกลางหลักอื่นในโลก
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets (SCB FM) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงปลายปี 2568 คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.70 – 32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีโอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อย จากปัจจัยด้านฤดูกาล โดยสถิติในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา พบว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มักอ่อนค่าลงประมาณ 1% ในเดือนธันวาคมเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มอ่อนค่าเฉลี่ยราว 0.8% เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน
สำหรับปี 2569 ในไตรมาสแรกเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้เล็กน้อย ก่อนจะเข้าสู่จุดเปลี่ยนในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป เมื่อ Fed สิ้นสุดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เงินทุนต่างชาติอาจเริ่มไหลกลับเข้าสินทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจกลับมาแข็งค่า กดดันให้เงินบาทอาจอ่อนค่าลงได้ โดยคาดว่าปลายปี 2569 เงินบาทจะเคลื่อนไหวในช่วงประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
น.ส.เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 2568 มี 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลอย่างมีนัยต่อผลตอบแทนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ได้แก่ 1) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลักทั่วโลก 2) การปรับขึ้นของหุ้นกลุ่ม AI ซึ่งยังมีกำไร (Earnings) รองรับและมีแนวโน้มเติบโตต่อ แต่ต้องจับตาความเสี่ยงด้านงบดุลของบางบริษัทที่ก่อหนี้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และ 3) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล - อิหร่าน และญี่ปุ่น - จีน
สินทรัพย์ทองคำให้ผลตอบแทนอันดับ 1 ในปี 2568 โดยราคาปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% จากสิ้นปี 2567 และนับเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ปัจจัยหนุนหลักมาจาก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง จากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้มีแรงซื้อทองคำผ่านกองทุนรวมดัชนี (Gold ETF) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังเพิ่มการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับตลาดหุ้น ที่เกี่ยวข้องกับธีม AI ได้รับประโยชน์จากการที่บริษัททั่วโลกเร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี AI โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มชิปในเกาหลีใต้ที่ปรับตัวขึ้นแรงกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับขึ้นถึง 63% ตามมาด้วยตลาดหุ้นเวียดนามปรับขึ้น 34% และตลาดหุ้นจีนปรับขึ้น 34% ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 30%
ส่วนกลุ่มสินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ไม่ดี ได้แก่ น้ำมันที่ปรับตัวลดลง 17% จากความกังวลสถานการณ์สงครามที่เริ่มมีสัญญาณผ่อนคลาย และหุ้นไทยที่ปรับลดลงประมาณ 3% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม SCB CIO มองว่า ความผันผวนในตลาดการเงินยังไม่จบง่ายๆ การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องเน้นการคัดเลือก (Selective) มากขึ้น และควรกระจายพอร์ตให้หลากหลาย ไม่ควรลงทุนกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์หรือตลาดใดตลาดหนึ่ง โดยนักลงทุนควรเน้นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Stay Invested) บนพอร์ตหลัก ซึ่งเป็นการลงทุนระยะยาว และหาโอกาสส่วนเพิ่มบนพอร์ตเสริม ระยะสั้น ขณะที่ การจัดพอร์ตแบบดั้งเดิมที่มีเพียงหุ้นและตราสารหนี้อาจไม่เพียงพอ นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนนอกตลาด (Private Market) เข้ามาเป็นอีกทางเลือกในการสร้างความยั่งยืนให้พอร์ต
น.ส.นิสารัตน์ ชมภูพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายให้คำปรึกษาด้านความมั่งคั่งและการลงทุน SCB CIO กล่าวว่า ตลาดหุ้นโลกยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปี 2569 จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาลง โดยคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในเดือนธันวาคม 2568 และมีโอกาสลดได้อีก 2 ครั้งในปี 2569 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปลายรอบ (Terminal Rate) อยู่ในช่วงประมาณ 3.00 – 3.25% การหยุดดึงสภาพคล่องออกจากระบบ
(Quantitative Tightening: QT) ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ช่วยให้เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงินโลก ขณะเดียวกัน แนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกในปี 2569 ยังมีทิศทางเติบโตระดับ 12–13% เทรนด์ AI ที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดหุ้นในปี 2568 ก็มีแนวโน้มจะส่งแรงหนุนต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่การพักรบชั่วคราว 1 ปีระหว่างสหรัฐฯกับจีน ช่วยลดแรงกดดันต่อจิตวิทยาการลงทุน และสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนให้ดีขึ้น
สำหรับตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets: DM) SCB CIO ให้น้ำหนักเชิงบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากกระแสลงทุนใน AI และกำไรบริษัทขนาดใหญ่ที่ยังเติบโตดี และตลาดหุ้นญี่ปุ่น จากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่และแผนพัฒนาตลาดทุนที่ต่อเนื่องของภาครัฐ ส่วนตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets: EM) ชู ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ จากมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ยังถูก โดย P/E เพียงราว 10 เท่า ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตราว 20–30% ประกอบกับนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ที่สนับสนุนตลาดทุนอย่างจริงจัง และ ตลาดหุ้นอินเดีย ที่คาดการปรับคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงปลายปี 2568 และมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 2569
ตลาดหุ้นไทย ประเมินว่ามีโอกาสปรับลดลงไม่มากจากระดับดัชนีประมาณ 1,270 จุด โดยแรงพยุงสำคัญคืออัตราเงินปันผลในระดับน่าสนใจที่ราว 4.2% ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงขาลงของตลาด แต่ด้านอัพไซด์ยังคงจำกัด เนื่องจากกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2569 คาดว่าจะเติบโตเพียง 5–7% ซึ่งต่ำเมื่อเทียบกับตลาดโลก ส่วนทองคำ SCB CIO มองว่ายังเป็นสินทรัพย์สำคัญในการปกป้องพอร์ตและสร้างผลตอบแทน โดยราคาทองคำในตลาดโลกมีโอกาสปรับขึ้นไปอยู่ในระดับ 4,500–5,000 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ จากแนวโน้มการลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการสะสมทองคำในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก
Mr. Mark Fuszard, Director, APAC Multi-Asset Strategies & Solutions at BlackRock กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลง แต่ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงจากการเปลี่ยนผ่านด้านนโยบาย อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินโลกยังคงมีความแข็งแกร่ง นักลงทุนที่พยายามจับจังหวะตลาดมากเกินไป อาจพลาดโอกาสสำคัญได้ สำหรับปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจและตลาดการเงินจะอยู่ในภาวะไม่ร้อนแรงเกินไป แต่ยืนได้อย่างมั่นคง โดยสหรัฐฯ มีแผนดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบประมาณขนาดใหญ่ภายใต้โครงการ One big beautiful bill ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1–2 ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงมาอยู่ในระดับราว 3% แต่จะเริ่มมีความท้าทายมากขึ้นที่จะลดลงต่ำกว่าระดับนี้
ในกรณีฐาน (Base Case) ที่ Fed ลดดอกเบี้ย และเศรษฐกิจไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนในทั้งสินทรัพย์เสี่ยงและตราสารหนี้จะได้รับประโยชน์ จากข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2533 ถึง 30 กันยายน 2568 พบว่าเมื่อ Fed อยู่ในวัฏจักรลดดอกเบี้ย และเศรษฐกิจไม่ได้ถดถอยภายใน 12 เดือนถัดมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 17% ขณะที่ ตราสารหนี้สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 7.2%
เมื่อพิจารณาสินทรัพย์ที่โดดเด่น ในปี 2568 ตลาดหุ้น EM ให้ผลตอบแทนแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว (DM) โดยปรับขึ้นประมาณ 30% และยังมีโอกาสลงทุนต่อเนื่องในปี 2569 ขณะที่ทองคำให้ผลตอบแทนมากกว่า 50% ทำให้นักลงทุนที่มีทองคำในพอร์ตสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2569 แนะนำว่า นักลงทุนควร Stay Invested ไม่ควรถือ เงินสดมากเกินไป ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เพราะอาจเสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทน การลงทุนใน หุ้นเติบโต (Growth Stocks) และ หุ้นขนาดใหญ่ (Large Caps) ยังน่าสนใจ โดยเฉพาะในธีม AI และการลงทุนด้านเทคโนโลยี และพอร์ตลงทุนไม่ควรมีเพียงหุ้นและตราสารหนี้ แต่ควรเพิ่ม ทองคำ และ สินทรัพย์ทางเลือกที่มีสภาพคล่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงอย่างสมเหตุสมผล