Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

77

 

 

ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ สรุปผลการประชุมนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ (FOMC)
ผลการประชุม FOMC รอบล่าสุดออกมาตามคาดทั้งในมุมมองของเราและตลาด โดยเฟดมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps สู่ระดับ 3.50–3.75% ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 แม้ภาพภายนอกจะดูเหมือนคณะกรรมการขาดเอกภาพ แต่เมื่อเจาะลึกรายละเอียดจะพบว่าเสียงแตก ครั้งนี้เกิดจากมุมมองที่ต่างกันในเรื่องจังหวะ (Pace) มากกว่าความกังวลเชิงโครงสร้าง โดยกรรมการอย่าง Miran สนับสนุนให้ลดแรงถึง 50 bps ในขณะที่ Goolsbee และ Schmid กลับเห็นควรให้คงดอกเบี้ย ซึ่งสะท้อนว่าประเด็นถกเถียงหลักอยู่ที่ความเร็วในการผ่อนคลาย ไม่ใช่ทิศทาง


หากพิจารณาถ้อยแถลงอย่างละเอียด จะสัมผัสได้ถึงโทนที่ Dovish กว่าที่คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 สื่อออกมา โดยเฉพาะการตัดประโยคที่ว่า "อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ" ออกไป และเลือกกล่าวถึงตัวเลขว่างงานที่ขยับขึ้นต่อเนื่องจนถึงเดือนกันยายนแทน การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ตลาดแรงงานไม่ได้แข็งแกร่งจนเฟดต้องดำเนินนโยบายตึงตัวเข้มข้น ซึ่งช่วยปิดประตูความเสี่ยงที่เฟดจะกลับมาใช้โทน Hawkish ในระยะสั้น

เบื้องหลังความเห็นที่แตกต่าง คือความไม่แน่นอนของตัวเลขเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านประมาณการ (SEP) ซึ่งยังคงผันผวนสูงนับตั้งแต่ยุคหลังโควิด เฟดย้ำว่าเส้นทางดอกเบี้ยที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับข้อมูลรายไตรมาสและแรงกระแทกทางเศรษฐกิจ (Shock) ที่ไม่อาจคาดเดา แม้ค่ากลางของ Dot Plot จะชี้ว่าปี 2026 และ 2027 อาจลดดอกเบี้ยปีละ 1 ครั้ง แต่ช่วงกว้างของ Fan Chart สะท้อนว่าความเป็นไปได้ยังเปิดกว้าง ซึ่ง BLS Wealth มองว่าเป็นเรื่องปกติของช่วงเปลี่ยนผ่านหลังยุคดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 18 ปี ทั้งนี้ เราเชื่อว่าระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสมยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ เฟดประกาศกลับมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (Treasury bills) มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ และจะคงระดับการซื้อในช่วงสองสามเดือนข้างหน้า ก่อนจะทยอยลดลง นี่คือสัญญาณการบริหารจัดการสภาพคล่องเพื่อลดแรงกดดันในตลาดเงิน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองที่เราเคยนำเสนอในรายงาน Cross Asset ฉบับเดือนตุลาคม ว่าความเปราะบางของระบบ Funding เป็นโจทย์ด้านเสถียรภาพที่เริ่มกลับมามีความสำคัญ

สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ เฟดหยิบยืมถ้อยคำจากการประชุมเมื่อเดือนธันวาคม 2024 กลับมาใช้อีกครั้ง โดยระบุว่าการปรับดอกเบี้ยครั้งถัดไปจะขึ้นอยู่กับข้อมูลและสมดุลความเสี่ยง ย้อนกลับไปในครั้งนั้น หลังจากประโยคนี้ถูกใช้ เฟดได้หยุดลดดอกเบี้ยยาวไปจนถึงเดือนกันยายน 2025 ประวัติศาสตร์บทนี้จึงสนับสนุนสมมติฐานของ BLS Wealth ที่ว่า หลังการลดในไตรมาส 1/2026 เฟดจะเข้าสู่โหมดรอดูข้อมูล (Wait-and-see) ก่อนจะกลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2026

BLS Wealth ยังคงมุมมองหลักว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยรวม 3 ครั้งในปี 2026 เพื่อนำดอกเบี้ยสู่ระดับ Neutral Rate ที่ 3.0% อย่างไรก็ดี เราขอปรับไทม์ไลน์ระยะสั้น โดยเลื่อนคาดการณ์การลดดอกเบี้ยรอบถัดไปจากเดือนมกราคมออกไปก่อน เนื่องจากเหตุการณ์ Government Shutdown อาจทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจล่าช้าจนเฟดไม่กล้าตัดสินใจ
กระนั้น เรายังประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ถึงไตรมาส 1 ปีหน้า จะชะลอตัวกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งยังเปิดช่องให้เฟดลดดอกเบี้ยได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 โดยมีการประชุมเดือนมีนาคม เป็นจุดตัดสินสำคัญ เว้นแต่ว่าข้อมูลที่ล่าช้าจะถูกประกาศออกมาเร็วกว่ากำหนด ซึ่งอาจทำให้การลดดอกเบี้ยในเดือนมกราคมเกิดขึ้นได้เช่นกัน

สรุปภาพตลาดวานนี้ SET ยังประคองตัวได้ ก่อนวันหยุดที่ผ่านมา โดย AOT ยังคงยืนแกร่ง มีแรงซื้อ สู้แรงทำกำไร และได้ DELTA บวกมาช่วยอีกแรง พร้อมกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF BGRIM โรงพยาบาล BH BDMS สู้กับแรงขายคอมเมิร์ช ธนาคาร และท่องเที่ยว


แนวโน้มตลาดวันนี้ ไทยแค่ประคองตัว ไม่เด่นเท่าตลาดโลก
หุ้นไทยช่วงนี้ ยังคงเล่นแกว่งประคองตัวในกรอบ 1250-1280 ตามเดิม โดยประเด็นหลักเมื่อคืน เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ลงมาเป็น 3.5-3.75% ตามที่ตลาดคาด โดยเหตุผลสนับสนุนหลักจากแรงกดดันตลาดแรงงาน นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงเรื่อง Technical QE ในตลาดมากขึ้น หลังจากเฟดจะเริ่มซื้อ T.Bill ตั้งแต่ 12 ธ.ค. นี้ มีผลต่อสภาพคล่องในตลาดที่มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายถึงทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่จะลงแรง เนื่องจาก 1) มติ 9 ต่อ 3 ถูกหยิบมาเป็นประเด็นตีความถึงเสียงที่แตก และ 2) ภาพแนวโน้มที่ชี้ว่าโอกาสข้างหน้ายากขึ้น โดย Dot plot ปี 2026 ลดอีก 1 ครั้ง และ 2027 ลด 1 ครั้ง ซึ่งเกิดจากการระมัดระวังภาพเงินเฟ้อที่ลงช้าอยู่ โดยรวมก็เหมือนส่วสัญญาณว่าจะแก้ปัญหา 2 ด้าน ด้วยเครื่องมือที่แตกต่างกัน
ในส่วนของหุ้นไทยคาดว่าดัชนีเน้นประคองตัว (ไม่หวือหวาเหมือนตลาดต่างประเทศ) โดยประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา จะถูกจับตาเป็นโฟกัสช่วง 1-2 วันนี้ หลังทรัมป์ ประกาศจะโทรคุยกับผู้นำ 2 ประเทศเอง เพื่อหาข้อยุติ ซึ่งในมุมมองของตลาดหุ้นจับตาการต่อรองว่าทรัมป์จะใช้เครื่องมือทางภาษีในการเจรจาหรือวิธีการอื่นใดทางการค้า โดยเบื้องต้น หากไม่ได้ขยับภาษีไปมากกว่า 19% และยกเลิกกลุ่มที่ได้รับยกเว้น-ลดภาษี (สถานะตามเดิม) เพียงแต่ขู่พักการเจรจาที่ยังค้างอยู่ (ไม่ว่าจะเป็นการขอลดเพิ่ม การกำหนดเงื่อนไข Local Content) ก็จะไม่ได้มีผลกับตลาดที่รับรู้ไปที่ 19% แล้ว
ด้านปัจจัยในประเทศ เราเชื่อว่าแม้ ครม. จะเลื่อนพิจารณา TISA ออกไปอีกสัปดาห์ ก็ไม่ได้ทำให้หุ้นปันผลหมดเสน่ห์ เพียงแต่ว่าระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นของกลุ่มดักปันผลที่เล่นนำมาก่อนอย่างธนาคาร โดย Switching มากลุ่มปันผลสูงที่ยัง Laggards กว่าอย่าง PTT ที่แนะนำไปก่อนในช่วงนี้ และยังคงกลยุทธ์เน้นการ ซื้อแล้วถือ และคอยเฝ้าพฤติกรรมราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งติดตามประเด็นที่มีผลบวกหรือลบ ต่อราคาหุ้นที่เราแนะนำ เพื่อตัดสินใจที่จะถือต่อ หรือ ขายตัดขาดทุน


กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

 



วิเคราะห์ทางเทคนิค SET ลงสลับขึ้นเกาะเส้น EMA 200 วัน เหนียวแน่นและยังคงรักษาโมเมนตัมขาขึ้นเอาไว้ได้ ลุ้นโอกาสจบคลื่นขาลง “Corrective wave C” เพื่อเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่ หรือมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะสร้างฐานใหม่ sideway ออกข้าง อยู่ในกรอบบริเวณ 1260 – 1280 จุด (EMA 25 & 200) เพื่อรอทะลุต้านกลับตัวขาขึ้นรอบใหม่นั่นเอง สำหรับมุมของโมเมนตัม (RSI) ยังรอจังหวะทะลุ level 50 เพื่อยืนยันภาวะความแข็งแกร่ง นอกจากนี้วอลุ่มควรต้องเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ย (สูงกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท/วัน) เพื่อสนับสนุนภาวะกระทิงรอบใหม่
สรุป: องค์ประกอบหลายส่วน ยังพอลุ้นให้ SET ไม่น่าหลุด low ต่ำกว่า 1,250 จุด ส่วนเป้าหมายสิ้นปี 1,300 จุด อาจต้องฝ่าด่านย่อย 1,280 จุด ไปให้ได้เสียก่อน
ไฮไลท์หุ้น: MTC มองหาโอกาสที่ก้นเหว/ PTTGC "ซื้อสะสม" หรือแค่ "เฝ้าดู"/ CENTEL สู้! ยืนหยัดที่โซนรับ/ BDMS สร้างฐานแน่นๆ! รอปลดปล่อยพลัง/ DOHOME ทรงสามเหลี่ยมชี้ชะตา! เมื่อหุ้นเลือกทางลง…

 

What to watch
เฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ลงมาเป็น 3.5-3.75% ตามที่ตลาดคาด โดยเหตุผลสนับสนุนหลักจากแรงกดดันตลาดแรงงาน แต่มติ 9 ต่อ 3 ถูกหยิบมาเป็นประเด็นตีความถึงเสียงที่แตก รวมทั้งการให้ภาพแนวโน้มที่ชี้ว่าโอกาสข้างหน้ายากขึ้น โดย Dot plot ปี 2026 ลดอีก 1 ครั้ง และ 2027 ลด 1 ครั้ง จบที่ราว 3% ระยะยาว
ข้อต่อรองที่ทรัมป์จะใช้สงบศึกไทย-กัมพูชา หากไม่มีการขยับอัตราภาษีฯ กระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นน้อย
ครม. เลื่อนพิจารณามาตรการ TISA ไปสัปดาห์หน้า
การประชุม กนง. วันที่ 17 ธ.ค. ตลาดส่วนใหญ่มองลดดอกเบี้ย (แต่สัญญาณเริ่มจะ 50:50)
FTSE rebalance: เพิ่มหุ้น THAI เข้า FTSE Large Cap ถอด AWC
นายกฯ นำ ปปง.แถลงยึดทรัพย์ 1.02 หมื่นลบ.เครือข่ายสแกมเมอร์ "ยิม เลียก-เบน สมิธ" ออกหมายจับรวด 42 คน
ปลดล็อกแล้ว!! ขายเหล้า-เบียร์ช่วงบ่ายได้ เริ่มวันนี้ทดลอง 180 วัน-นั่งดื่มต่อได้ถึงตี 1 (คาดเป็นบวกต่อหุ้นที่มีการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ เช่น CPALL CPAXT BJC และหุ้นที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย CBG)

หุ้นแนะนำวันนี้
PTT ปตท.มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซของโรงแยกก๊าซ GSP ที่ลดลง
แนวรับ 31 ต้าน 32.5 Stop loss 30

 

 

รายงานพื้นฐานวันนี้

Media Sector

ภาพสื่อปี 2026 ยังท้าทาย แต่นิ่งขึ้นจากปี 2025
เราประเมิน อุตสาหกรรมสื่อไทยยังเผชิญปีที่ท้าทายต่อเนื่อง แต่เริ่มเห็น “จุดทรงตัว” ของเม็ดเงินโฆษณาหลังความผันผวนในปีนี้
เม็ดเงินโฆษณา 10M25 หดตัว 0.8% YoY โดยการชะลอลงส่วนใหญ่มาจากสื่อดั้งเดิมอย่าง TV แรงกดดันอยู่ในกลุ่ม FMCG รายใหญ่
แม้ภาพรวม 10M จะอ่อนตัว แต่ MAAT คาดการฟื้นตัวปลายปี จากงบล่าช้าของ 11 เดือนถูกนำมาใช้ในเดือนธันวาคม ประกอบกับมาตรการกระตุ้นระยะสั้น โดยสอดคล้องกับ ผลสำรวจ Primary Research EP.4 พบว่ามาตรการกระตุ้นหนุนให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นจากเดือน ส.ค. ที่ 21% ขึ้นเป็น 46%
โดยคาดเม็ดเงินโฆษณาทั้งปี 2025 จะ ทรงตัว YoY หนุนโดย Transit (+15%), Cinema (+8%), Outdoor (+7%), Internet (+5%) ขณะที่ TV ยังคงลดลงเป็นปีที่สามต่อเนื่องที่ –5%
รายงานชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง GDP และ Ad Spend เคลื่อนไหวสอดคล้องกันมาตลอด แต่ปี 2025 แม้ GDP คาดโต 1.8–2.0% แต่เม็ดเงินโฆษณายังทรงตัว สะท้อนพฤติกรรมของแบรนด์ที่รัดเข็มขัดมากขึ้น เนื่องจากบริบทโลกและไทยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่น trade war, geopolitical tensions, ภาวะการเมือง และภัยพิบัติในประเทศ
ปี 2026 ถูกประเมินว่าจะเป็นอีกปีที่เม็ดเงินโฆษณาทรงตัว แบรนด์น่าจะยังระมัดระวังแต่เริ่มมองเห็นทิศทางนโยบาย การกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาวะผู้บริโภคที่คาดเดาได้มากขึ้น โดยสอดคล้องกับ ผลสำรวจ Primary Research EP.4 พบว่า ภาวะเศรษฐกิจในสายตาผู้บริโภค “ดีขึ้นแต่ยังไม่ฟื้น” ความกังวลลดลงจาก 55% เหลือ 36% โดยส่วนใหญ่ไม่ได้มองภาพเศรษฐกิจ 6 เดือนข้างหน้าแย่ลง แต่มองทรงตัว
อีกทั้งยังมีเรื่องการเลือกตั้งโดย 3 ครั้งก่อนหน้า (2023, 2019, 2014) พบว่าใน 9 เดือนก่อนเลือกตั้ง เม็ดเงินโฆษณาของสื่อที่เด่นคือ Outdoor และ Transit โตถึง 8 จาก 9 เดือน (เฉลี่ย +11% YoY) โครงสร้างสื่อนอกบ้านยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย penetration ขยับขึ้นจากระดับ 58–59% เป็นเกิน 61% ในปี 2025หนุนด้วยเครือข่ายสื่อแบบ Network Reach ที่วัดผลและครบลูปมากขึ้น
ด้านเทคโนโลยี รายงานชี้ว่า AI กลายเป็นเครื่องยนต์หลักของ Precision, Personalization และ Automationโดยเกือบ 40% ของผู้ขายออนไลน์ในไทยใช้ AI แล้ว อยู่ระดับสูงสุดในภูมิภาค ขณะที่ Creator ให้ความสำคัญกับ AI ในการสร้างเนื้อหาและตรวจจับ Insight ผู้ชม แบรนด์ใช้งาน AI เช่น Creative Automation, Audience Precision, Multi-screen Measurement และ Conversion Optimization สอดคล้องกับ Primary Research EP.3 ของเราที่ 40% ของบริษัทสื่อใช้ AI แล้ว
แม้ adoption สูง แต่ผลสำรวจยังพบว่า 60% ของธุรกิจสื่อยังไม่เห็นผลกำไรจาก AI
ภาพการลงทุนตอนนี้ยังคาดว่า PLANB น่าจะกลับมาโตเด่นในปีหน้าจากการับรู้ดีล VGI และ Hello เต็มปี หากภาพปัจจัยภายนอกกลับมาเอื้อน่าจะ leverage ได้ดีมากขึ้น MONO หลัง JAS ปิดดีล EPL กับเวียดนาม MONO จะได้รับกระแสเงินสดจากการเป็นที่ปรึกษาเข้ามาน่าจะคลายความกังวลด้านสถานะการเงิน และสำหรับ MAJOR จากกระแสเงินสดที่ค่อนข้างนิ่งการเติบโตของ EPS จะมาจากการทำ Treasury Stock

 

TCAP
(Visit Note)
ทุนธนชาต หุ้นปันผล...รอจังหวะกลับมาโต
TCAP รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 เท่ากับ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY และ 1% QoQ มีปัจจัยสนับสนุนจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกของ THANI และธุรกิจธนชาตประกันภัยฟื้นตัวดีขึ้น ในเบื้องต้น เราคาดกำไรสุทธิ 4Q25 จะเพิ่มขึ้น YoY (ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกของ THANI และ ธนชาตประกันภัยฟื้นตัว) แต่ลดลง QoQ (แนวโน้มส่วนแบ่งกำไรจาก TTB ลดลง กดดันจาก NIM อ่อนตัวลงและค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล)

TCAP ยังคงกลยุทธ์ระมัดระวังมากกว่าการเติบโตในปี 2026 เพราะประเมินว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า โดยบริษัทประเมินว่าคุณภาพสินทรัพย์ของ TTB และ THANI จะบริหารจัดการได้ และหากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น ก็พร้อมที่จะกลับมาเติบโตสินเชื่ออีกครั้ง ขณะที่ธุรกิจในกลุ่มท่องเที่ยวของ MBK จะยังดีในปีหน้า จากการปรับเพิ่มค่าเช่าและและค่าที่พักสูงขึ้น

ทั้งนี้ TCAP ได้รับเงินจากการขาย บล. ธนชาต มาราว 3 พันล้านบาท เมื่ิอวันที่ 1 ก.ค. 25 โดยได้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนในบริษัทย่อยเพิ่มเติม, ลงทุนหุ้นปันผลสูงและชำระหนี้

เราเห็นตลาดกลับมาปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ TCAP ขึ้นต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ประเมิน downside risks ของกำไรปีนี้จำกัด สำหรับปี 2026 ตลาดคาดกำไรสุทธิของ TCAP อยู่ที่ 7.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% YoY ขณะที่ dividend yield น่าจะจ่ายได้ที่ระดับ 6%

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ลงยาก By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง เมื่อเดือนธันวาคม เปิดมาต้นเดือน จนถึง 9 ธันวาคม ต่างชาติซื้อหุ้นไทย 5,566.63 ล้านบาท ส่วน....

HotNews: PTG ลุยธุรกิจ “ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย”

PTG ส่ง "กาแฟพันธุ์ไทย" จัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ "ก๋วยเตี๋ยวเรือพันธุ์ไทย" รุกตลาด Street Food แสนล้าน...

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้