Today’s NEWS FEED

News Feed

บล.บัวหลวง : รอบด้านตลาดหุ้น

75


ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook

แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกลับมาสดใส โดยตลาดหุ้นทั่วโลกทั้ง 10 ดัชนีหลักที่เราติดตามต่างปิดในแดนบวก ส่งผลให้ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้น 0.6% สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ฟื้นตัว 2.6%


ด้านตลาดหุ้นไทย SET Index ปรับตัวขึ้น 1.4% สามารถกลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 10 วัน และ 200 วันได้อีกครั้ง โดยมีแรงซื้อนำในกลุ่มขนส่ง (+12%) ธนาคาร (+3.3%) และท่องเที่ยว (+2.3%) ในทางตรงกันข้าม สินทรัพย์ปลอดภัยกลับเผชิญแรงเทขาย โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 7-10 ปี และทองคำปรับตัวลง 1.1% และ 1% ตามลำดับ

ประเด็นสำคัญในต่างประเทศที่น่าสนใจ
ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ส่งสัญญาณกลับเข้าสู่วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกครั้ง ด้วยมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps สู่ระดับ 5.25% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตอย่างร้อนแรงถึง 8.2% ในไตรมาสล่าสุด แต่ RBI เลือกที่จะให้น้ำหนักกับตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมที่ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 0.25% YoY ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 4% อย่างมีนัยสำคัญ

ภาพดังกล่าวสะท้อนท่าทีของ RBI ที่มองว่าการเติบโตที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่อุปสรรคของการลดดอกเบี้ย หากไร้แรงกดดันด้านราคา คล้ายคลึงกับช่วงปี 2015-2017 การปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้จึงเป็นการดำเนินนโยบายเชิงรุก เพื่อลดต้นทุนทางการเงินล่วงหน้าก่อนที่เศรษฐกิจจะส่งสัญญาณชะลอตัว

นอกจากนี้ ในจังหวะที่ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงทดสอบระดับจิตวิทยาที่ 90 รูปีต่อดอลลาร์ นโยบายดอกเบี้ยต่ำจะกลายเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยประคองภาคการส่งออก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

ในภาพรวม การขยับตัวของ RBI สะท้อนจุดยืนในการเข้าสู่วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อสร้างกันชนรับมือความผันผวนจากปัจจัยภายนอก และประคับประคองโมเมนตัมการเติบโตภายในประเทศ การที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ได้เปิดทางให้มีพื้นที่เชิงนโยบายในการดำเนินมาตรการเชิงรุก (Preemptive Policy) ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงก่อน

สำหรับนักลงทุน มาตรการผ่อนคลายนี้จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเอื้อต่อธีมการลงทุนที่อิงกับการเติบโตของสินเชื่อในประเทศ (Domestic Plays) แม้จะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับนักลงทุนต่างชาติก็ตาม

แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยดัชนี S&P500 เข้าใกล้ทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ทำไว้ในเดือนตุลาคม เราประเมินว่าโมเมนตัมขาขึ้นจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะสั้นจากแรงซื้อคืน (Buyback/Short Covering) สอดรับกับดัชนีชี้วัดอารมณ์ตลาดอย่าง CNN Fear & Greed Index ที่ฟื้นตัวจากระดับ Extreme Fear เข้าสู่โซน Fear ซึ่งสถิติในอดีตมักสอดคล้องกับความผันผวนของตลาดที่ค่อยๆ ลดลง และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อให้เกิดภาพ Year-end Rally ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

สัญญาณจากถ้อยแถลงของสมาชิก Fed ในช่วงที่ผ่านมา สอดคล้องกับฉันทามติของตลาดผ่านเครื่องมือ FedWatch Tool ที่ให้น้ำหนักสูงถึง 86% ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ในการประชุมวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นแรงส่งต่อตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทน (Bond Yield) กลับเข้าสู่ทิศทางขาลงอีกครั้ง

แม้ราคาทองคำ (Gold Spot) จะมีการย่อตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่แรงขายยังถือว่าเบาบางเมื่อเทียบกับช่วงเดือนตุลาคม ในระยะสั้นเราประเมินว่าราคามีแนวโน้มฟื้นตัวจากโซนแนวรับสำคัญที่ 4,125-4,180 ดอลลาร์ ซึ่งระดับของเส้นค่าเฉลี่ย EMA 10 และ 25 วัน
สำหรับภาพระยะกลาง-ยาว เรายังคงมุมมองเชิงบวก โดยคงเป้าหมายราคาปี 2026 ไว้ที่ 5,000 ดอลลาร์ ปัจจัยขับเคลื่อนหลักยังคงแข็งแกร่ง ทั้งจากการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก และกระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ Gold ETF เพื่อรับวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของ Fed ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสและเพิ่มเสน่ห์ให้กับทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่มีดอกเบี้ย (Non-yielding Asset)
ตลาดหุ้นไทยเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว สะท้อนผ่านเครื่องมือชี้วัดจังหวะตลาดอย่าง Bull-to-Bear และ Market Breadth ที่ดีดตัวขึ้นจากโซนล่าง บ่งชี้ว่าแรงกดดันฝั่งขายเริ่มชะลอตัวลง

อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าอัพไซด์ของดัชนีในระยะสั้นอาจยังจำกัด เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นส่วนใหญ่ถูกลดทอนด้วยผลกระทบจากการปรับฐานของ DELTA ซึ่งมีน้ำหนักต่อตลาดสูงที่สุด แต่หากพิจารณาในไส้ใน จะพบว่าบรรยากาศการลงทุนโดยรวมมีความแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนเริ่มกระจายตัวไปยังหุ้นรายตัวที่หลากหลาย ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงหุ้นขนาดใหญ่บางกลุ่มเหมือนช่วงก่อนหน้า
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
-Bank: KTB, SCB
-Commerce: MOSHI
-Commercial Real Estate: CPN
-Energy: PTT
-Food: ITC, ICHI
-Utility: WHAUP



สรุปภาพตลาดวานนี้ หุ้นไทยยังเล่นสลับตัว โดย AOT ที่มีข่าวดี หุ้นบวกขึ้นมาแรง อีกทั้งหุ้นแนะนำ PTT ก็มาเป็น Vol trade อันดับสอง นอกจากนี้ เห็นหุ้นรีบาวด์อย่าง GULF CPF และกลุ่มธนาคารยังบวกแกร่งเหือบยกกลุ่ม ขณะที่หุ้นถูกขาย BH PTTEP DELTA CPALL ADVANC SCC CRC CPN

 


แนวโน้มตลาดวันนี้ ขึ้นสลับย่อ
สัปดาห์ที่แล้วหุ้นไทย ขึ้นสลับย่อ แต่ลักษณะการเล่นหุ้นพบเน้นไปที่ราคารายตัวที่เลือก ขึ้น หรือ ลงแรง ผันผวนสูงกว่าดัชนีฯที่ Sideways เช่น ราคาหุ้น AOT BGRIM WHAUP SCC BH และกลุ่มเด่นกว่าตลาด ยังคงเป็นหุ้นกลุ่มธนาคาร
จากรูปแบบการเล่นหุ้นที่ โฟกัสเป็นตัวๆไป และตลาดเลือกเล่นแบบ
1) ถูกทางไล่ราคาต่อ (เข้าตอนทุนต่ำ ราคาหุ้นขึ้น แนวโน้มเทคนิคเด่น อาจมีข่าวบวก-สดใหม่) เช่น แบงก์ AOT WHAUP
2) ผิดทางต่อให้ไม่มีข่าวลบ ราคาหุ้นก็พร้อมลงสวนตลาด SCC BH เป็นต้น
3) หุ้นที่เล่นตามกรอบ ยังไม่มีทิศทางอะไรโดดเด่น เช่น PTTEP CENTEL CPF กลุ่มสื่อสาร
และกลยุทธ์เห็นว่าปัจจัยมหภาคมีอิทธิพลต่อราคาหุ้นน้อยลง (สังเกตหุ้นเชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก เล่นโดยไม่ได้สนใจตัวเลขเศรษฐกิจ หุ้นธนาคารเล่นโดยไม่ได้สนใจทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง)
กลยุทธ์เน้นการ ซื้อถือ และคอยเฝ้าพฤติกรรมราคาหุ้นอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งติดตามประเด็นที่มีผลบวกหรือลบ ต่อราคาหุ้นที่เราแนะนำ เพื่อตัดสินใจที่จะถือต่อ หรือ ขายตัดขาดทุน
ปัจจัยต่างประเทศที่ติดตาม: เฟดเตรียมลดดอกเบี้ยต่อในการประชุม 10 ธค. และยุติโครงการ QT แล้วรอดูตัวเลขงบดุลเฟดว่ามีการอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มแค่ไหน
ด้านปัจจัยในประเทศ: กนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในการประชุม 17 ธค. การประกาศใช้โครงการ TISA ออมหุ้นไทยลดหย่อนภาษีตรง
เราคงคาดว่าหุ้นไทยยังคงอยู่ในแนวโน้ม ขึ้นสลับย่อ โดยยังไม่หลุดกรอบล่าง 1250 จุด แต่ต้องระวังหากหลุดแนวรับสำคัญนี้ อาจทำให้แนวโน้มเปลี่ยนไป และแนวต้านระยะสั้น 1280 จุด

กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร

วิเคราะห์ทางเทคนิค สัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index เคลื่อนที่ออกข้างอยู่ในกรอบระหว่าง EMA 25 & 200 วัน ลักษณะสร้างฐานใหม่หรือจบคลื่นขาลง “Wave C” เพื่อเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่อีกครั้ง อาจทำให้ดัชนีจะใช้เวลาสะสมพลัง รอวอลุ่ม เพื่อกลับสู่เส้นทางขาขึ้น จับตา week นี้มีให้ลุ้นจากตำแหน่ง RSI ชน level 50 หากทะลุได้จะบ่งชี้ภาวะความแข็งแกร่งด้านราคา ส่วนจุดที่ต้องเฝ้าสังเกตการณ์ หากดัชนียืนรักษาโซนไม่หลุดโซนแนวรับที่ 1,250 จุด จะเพิ่มโอกาสหักล้างสัญญาณลบ “Bearish Megaphome” ส่วนเงื่อนไขกลับตัวเปลี่ยนเป็นขึ้นจะต้องทะลุโซนต้าน 1280 จุดขึ้นไปให้ได้
กลยุทธ์ทางเทคนิค: สแกนหาหุ้นโซน “bargain hunting”
ไฮไลท์หุ้น: แผนเล่นรอบ….เมื่อ “AOT” พุ่งทะลุรันเวย์/ พี่ใหญ่ PTT ทรงกราฟไม่ทำให้ผิดหวัง/ RCL: Ascending triangle….สามเหลี่ยมขาขึ้น/ CBG: Signal recovery….แนะแผนเก็งต่อเนื่อง/ PTTGC วางแผนย่อซื้อเพิ่ม

 

What to watch
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษ "คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight" ว่า กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับมาตรการในการสนับสนุนการออมรายบุคคล (Individual Saving Account) ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ และยังเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ใหญ่ขึ้นด้วย ส่วนรายละเอียด อยู่ระหว่างการเร่งพิจารณา
เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ธ.ค. โดยเครื่องมือ CME Fed Watch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 87.2% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นเร็วมาก หลังจากที่ให้น้ำหนักไม่ถึง 40% ในช่วงก่อนหน้านี้
นายกฯ นำ ปปง.แถลงยึดทรัพย์ 1.02 หมื่นลบ.เครือข่ายสแกมเมอร์ "ยิม เลียก-เบน สมิธ" ออกหมายจับรวด 42 คน
ปลดล็อกแล้ว!! ขายเหล้า-เบียร์ช่วงบ่ายได้ เริ่มวันนี้ทดลอง 180 วัน-นั่งดื่มต่อได้ถึงตี 1 (คาดเป็นบวกต่อหุ้นที่มีการจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ เช่น CPALL CPAXT BJC และหุ้นที่เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย CBG)

หุ้นแนะนำวันนี้
PTT ปตท.มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซของโรงแยกกณาซ GSP ที่ลดลง
แนวรับ 31 ต้าน 32.5 Stop loss 30

 

 

 


รายงานพื้นฐานวันนี้

Econ

จับตาเศรษฐกิจไทย 2026: ฟื้นช้า–เสี่ยงสูง... ส่งออกกลุ่ม AI-related, FDI และท่องเที่ยว จะพอพยุงโมเมนตัมหรือไม่
เศรษฐกิจไทยปี 2026 มีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.6% YoY (กรณีฐาน) ชะลอลงจาก 2.0% YoY ในปี 2025 จากผลกระทบมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ทั้งปี แม้ภาคส่งออกจะถูกกดดัน แต่กลุ่มสินค้า AI-related electronics ซึ่งยังมีอุปสงค์ในตลาดโลกแข็งแกร่งและส่วนใหญ่ยังได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จะช่วยประคองภาพรวม ทำให้การส่งออกไทยน่าจะหดตัวเพียงเล็กน้อยใน 1H26 (-2% ถึง -3%) ก่อนฟื้นเป็นบวกใน 2H26 ตามวัฏจักร re-stocking ของสหรัฐฯ
การฟื้นตัวของ GDP ปี 2026 จะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละไตรมาส โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาคเอกชน (คาดโต 3.7% YoY) ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก FDI ในอุตสาหกรรมดิจิทัล (เช่น Data Center) และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่ไปกับการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว ท่ามกลางแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่อาจล่าช้าหลังจากการเลือกตั้ง และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงซึ่งถ่วงกำลังซื้อภายในประเทศ
ในระยะยาว ไทยจำเป็นต้องเร่งกระจายตลาดส่งออกผ่าน FTA โดยเฉพาะกับอินเดีย EU และอาเซียน เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ แม้ปัจจุบันสัดส่วนส่งออกของกลุ่มประเทศดังกล่าวยังต่ำกว่า แต่มีศักยภาพการเติบโตสูง โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่เติบโตได้ค่อนข้างโดดเด่น โดยขยายตัวสูงถึง 39.4% YoY (9M25) และหากไทยสามารถปิดดีล FTA กับ EU ได้เพิ่ม จำนวนคู่ค้า FTA ของไทยจะเพิ่มเป็น 50 ประเทศ ครอบคลุมมากกว่า 65% ของมูลค่าการค้าไทย

 

Beverage Sector
CBG-OSP เด่นคนละด้าน
ภาพรวมกลุ่มอุตสาหกรรมเคื่องดื่มปี 2026 คาดเน้นรูปแบบขยายอัตรากำไร (Margin-led) มากกว่าขยายขนาด (Volume-led) โดยจะเกิดจากประสิทธิภาพการผลิตและต้นทุนที่ดีขึ้น ขณะที่การแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มชูกำลังยังสูง ทำให้ผู้เล่นต้องลงทุนด้านโปรโมชั่นต่อเนื่อง แต่ผู้เล่นรายใหญ่มี economies of scale และ channel power รองรับการขยายกำไร
ผลสำรวจผู้บริโภคจาก Primary Research Survey EP.4 (Inside Thai wallets) ของเรา สะท้อนว่า sentiment ดีขึ้น แต่การใช้จ่ายยัง “เลือกกลุ่ม” โดยหมวด เครื่องดื่ม และสินค้าใช้ในบ้าน/ส่วนตัว เป็นหมวดที่ผู้บริโภคพร้อมใช้จ่ายก่อนหมวดอื่น
CBG (ราคาเป้าหมาย 57 บาท): เรากลับมาชอบมากกว่า OSP จากจุดเด่นเรื่องการเติบโต โดย CBG เข้าสู่รอบฟื้นตัวของยอดขายและกำไรอย่างชัดเจนในปี 2026 จากทั้งการขยายตัว market share และ การฟื้นตัวของ OEM/ส่งออก ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้โต ~20% YoY ในปี 2026 โดยดันส่วนแบ่งตลาดขึ้นเป็น 32% จาก 28% อย่างไรก็ดี เรามองอนุรักษ์นิยมมากกว่า ประเมินรายได้โตเพียง 7% YoY (market share เพิ่มขึ้น ~2%) พร้อมสมมุติฐานว่ากัมพูชาฟื้นตัวแบบ bottom-out แต่ยังไม่เร่งตัว ดังนั้น หาก CBG ทำได้ตามแผน จะมี Upside มากกว่าประมาณการกำไรค่อนข้างมาก
OSP (ราคาเป้าหมาย 20 บาท): โดยบริษัทเข้าปี 2026 ในโหมด organic maintenance มากกว่า aggressive expansion โดยเน้นความเสถียรของกำไรและกระแสเงินสด ดังนั้น จึงถูกมองในมิติของ “defensive earnings + yield play” มากกว่าคู่เทียบในกลุ่มฯ ทั้งนี้ บริษัทคาดรายได้โต ~5% YoY และ GM เพิ่มขึ้น ~1ppt YoY ส่วนเราได้ประเมินกำไรเติบโตเพียง 4% YoY

 

 

Thai Market Strategy

เจาะทิศทางหุ้นไทยปี 2026 | เปิดลิสต์หุ้น “กำไรชัด-ปันผลสูง”
ในปี 2026 หุ้นไทยคาดทยอยฟื้นตัวได้ หลังเศรษฐกิจไทยคาดผ่านจุดต่ำสุดใน 3-4Q25 กดดันจากเศรษฐกิจโลกชะลอ ผลกระทบมาตรการภาษีทรัมป์ และยังคงกดดันต่อ 1Q25 แต่คาดเริ่มฟื้นตัวในช่วง 2Q26 ตามเศรษฐกิจโลก และฟื้นชัดขึ้นใน 2H26 ทั้งนี้ เราประเมินเป้าหมาย SET สิ้นปี 2026 ที่ 1440 อิงกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2026 ที่ 90 (+9.8%) โดยใช้ PER ที่ 16.0 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีราว 0.25SD
แรงหนุนตลาดหุ้นไทยในปี 2026 คาดมาจาก
1) วัฏจักรสะสมสินค้าคงคลังรอบใหม่ (restocking cycle) หนุนการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลกในปี 2026 แต่ก่อนอื่นจะเห็นการระบายสินค้ารอบใหญ่ในช่วง 1-2 ไตรมาสหลังมาตรการภาษีทรัมป์เริ่มใช้ กดดันการค้าโลกในช่วง 4Q25-1Q26 แต่จะตามมาด้วยวัฏจักรสะสมสินค้าคงคลังรอบใหม่ในช่วงไตรมาส 2 หลังตัวเลขสัดส่วนสินค้าคงคลังต่อคำสั่งซื้อใหม่สหรัฐฯ (US PMI Inventory-to-New Orders) อยู่ใกล้เคียงระดับต่ำสุดในรอบหลายปี (ไม่รวมช่วงวิกฤติ)
2) การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ตัวเลข BOI เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนโดยปกติจะทยอยเข้ามาหลังจากการอนุมัติรับการส่งเสริมการลงทุน BOI เฉลี่ยราว 1 ปี ดังนั้น คาดเม็ดเงินจะเข้ามาหนุนการลงทุนภาคเอกชนชัดเจนต่อเนื่องในปี 2026-2027
3) มาตรการกระตุ้นตลาดทุนโครงการบัญชีออมหุ้นระยะยาว (TISA) คาดหนุนเม็ดเงินไหลเข้า
4) นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง จะหนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติม คาด กนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมในปี 2026 เหลือ 1.00% จากคาด 1.25% ในปี 2025
5️) การทยอยฟื้นตัวของการท่องเที่ยว จะยังเป็นแรงส่งให้กับภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้น โดยการท่องเที่ยวทำจุดต่ำสุดแล้วใน 2Q25 และจะเริ่มฟื้น 4Q25 ต่อเนื่องไปถึงปี 2026 ปัจจุบันคาดนักท่องเที่ยวราว 33.2 ล้านคนในปี 2025 (ลดลงจาก 2024) แต่คาดจะฟื้นตัวขึ้นราว 34 ล้านคนในปี 2026
ความเสี่ยงสำคัญ: เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอกว่าคาด ทั้งจากสหรัฐฯ (ภาคแรงงาฯ) และจีน (ภาคอสังหาฯ), หนี้ครัวเรือนไทย-ระดับหนี้เสียอยู่ในระดับสูง, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ หากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า อาจกดดันการเบิกจ่ายงบลงทุน ซ้ำเติมงบลงทุนที่มีวงเงินน้อยกว่าปีก่อนอยู่แล้ว 7.3% YoY
กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับช่วงปี 2026 ยังเน้นหุ้นที่ “กำไรชัด/ปันผลสูง” โดยเน้นไปที่อุตสาหกรรมดังนี้
โอกาส #1 “กลุ่มผู้นำการเติบโตธีมดาต้าเซ็นเตอร์-Digital transformation” ได้แก่ WHAUP, GUNKUL, GULF
โอกาส #2 “กลุ่มที่กำไรคาดเติบโตต่อเนื่อง/ผ่านจุดต่ำสุด-ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯ” ได้แก่ CPN, CPALL, CENTEL, AOT, CBG
โอกาส #3 “กลุ่มปันผลสูง-กระแสเงินสดสม่ำเสมอ-ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุน TISA” ได้แก่ KTB, SCB, ADVANC
โอกาส #4 “กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก” ได้แก่ PTTGC, SCC, ITC ทั้งนี้ สำหรับ PTTGC และ SCC แนะนำทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัวใน 1Q25 เพื่อรอรับรอบฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี

 


สรุปประเด็นจาก Quick take

AOT
ท่าอากาศยานไทย
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
สัญญาเปลี่ยนแปลง KPD จะเริ่ม 1 ตค 2025 Bank guarantee จาก KPD มีมาวางเพิ่ม 3 เดือน รวมเป็นมีสถานะ 9 เดือน ซึ่ง KPD ยังมีการผ่อนชำระและชำระเงินตามงวดอยู่ ค่า PSC เพิ่ม 390 บาท คิดจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและการลงทุนใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายถึง ครอบคลุมการขาย East terminal Expansion, ท่าดอนเมือง และภูเก็ต (บางส่วน) และ AOT คาดหวังการพิจารณาค่า PSC ทุก 5 ปี
View from fundamental: เรายังคงชอบ AOT จากกำไรระยะสั้นถึงกลาง ที่ปรับเพิ่มอย่างแข็งแกร่ง และการเปลี่ยนจำนวนผู้โดยสารให้เป็นกำไรที่สูงขึ้น คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 56 บาท



วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

บทความล่าสุด

ซื้อหุ้นคืน By : เจ๊มดแดง

เจ๊มดแดง ไต่กิ่งมะม่วง วันนี้ นักลงทุน คงเฝ้ารอผลประชุมของ เฟด วันพรุ่งและวันมะรืน 10 ธันวาคม ทั้งตลาด คาดการณ์ เฟด ...

มัลติมีเดีย

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

หุ้นอินไซด์ทอลค์ : อัพเดทชีวิต WGE

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้