ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook
สรุปการลงทุน
ในเมกะเทรนด์ ประเด็นสำคัญจากรายงาน Cross Asset เดือนธันวาคม | Part 2
การลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังเป็นธีมเมกะเทรนด์สำคัญในปี 2026 โดยทิศทางการใช้งานกำลังก้าวจากการทดลองในกลุ่มผู้บริโภคสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับองค์กร ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา องค์กรต่าง ๆ เริ่มขยับจากการลองใช้ไปสู่ การนำมาใช้จริงเพื่อเพิ่มผลิตภาพ ลดความซับซ้อนของกระบวนการ และเสริมความสามารถในการแข่งขัน AI จึงกลายเป็นกลไกสร้างมูลค่าทางธุรกิจมากกว่าจะเป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่สำหรับผู้บริโภค
แรงผลักดันสำคัญคือปัญหาผลิตภาพแรงงานที่ชะลอตัวหลังโควิด 19 ขณะที่ภาระสวัสดิการและสังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ทำให้ AI ถูกนำมาใช้เพื่ออุดช่องว่างด้านผลิตภาพ ปัจจุบันองค์กรทั่วโลกกว่า 88% ใช้ AI แล้วอย่างน้อยหนึ่งหน่วยงาน แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นทดลอง มีเพียงหนึ่งในสามที่เริ่มขยายการใช้งานจริง อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จากยูสเคสชี้ชัดว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างเห็นผล เช่น เพิ่มความแม่นยำด้านตรวจจับทุจริตกว่า 84% ลดเวลาการตอบลูกค้า 67% และลดเวลาในการดำเนินงานเฉลี่ย 43% จึงคาดว่าองค์กรจะเร่งเพิ่มงบลงทุน โดยกว่า 90% ขององค์กร มีแผนเพิ่มงบใน 3 ปีข้างหน้า โดยให้งบเฉลี่ยปีละ 6.5 ล้านดอลลาร์ การผสาน AI เข้ากับกระบวนการหลักจึงไม่ใช่เทรนด์ แต่เป็นปัจจัยสำคัญของการแข่งขันในอนาคต
เทคโนโลยีที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านนี้คือ Agentic AI ซึ่งสามารถตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำงานได้เอง ทำให้องค์กรสร้างผลลัพธ์เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนพนักงาน ส่งให้ AI เปลี่ยนสถานะจากเครื่องมือไปสู่ผู้ร่วมงานและวางรากฐานโครงสร้างผลิตภาพแบบใหม่ของโลก
การนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจยังสร้างการเติบโตเป็นลูกโซ่ตลอด Value Chain ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่
1️ Hardware & Infrastructure เช่น GPU เครือข่ายความเร็วสูง และศูนย์ข้อมูล ขับเคลื่อนบริษัทอย่าง Nvidia, AMD, Broadcom และผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่
2️ Data & Labeling ซึ่งเป็นหัวใจของคุณภาพโมเดล นำโดยแพลตฟอร์มข้อมูลและบริษัทด้าน Data Annotation
3️ Foundation Models เช่น GPT, Claude, Gemini ซึ่งองค์กรต้องการโมเดลที่แม่นยำและปรับแต่งได้
4️ Applications ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงสุด เช่น Copilot, Salesforce Einstein, UiPath และโซลูชันเฉพาะอุตสาหกรรม
เมื่อองค์กรทั่วโลกเร่งบูรณาการ AI เข้ากับงานหลัก วัฏจักรนี้จะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจยุคปัญญา (Intelligence Economy) และเป็นโอกาสการลงทุนสำคัญในช่วงหลายปีข้างหน้า
สรุปภาพตลาดวานนี้ หุ้นธนาคารดันดัชนีไว้ไม่ให้ลบ โดย KTB เป็นผู้นำหลัก ตามด้วย TTB BBL SCB KBANK นอกจากนี้ หุ้นใหญ่หลายบริษัทก็บวกต่อ เช่น AOT THAI ควงคู่มาอีกครั้ง BANPU CPALL BDMS เป็นต้น ส่วนกลุ่มกดดันตลาด SCC TOP GPSC OR DELTA ADVANC ฯลฯ
แนวโน้มตลาดวันนี้ ผันผวน
เราคงคาดว่าหุ้นไทยยังคงอยู่ในแนวโน้ม ขึ้นสลับย่อ (ผันผวน) โดยตรึงแนวรับกรอบล่าง 1250 จุด และ แนวต้านถัดไป 1285 จุด
ด้านปัจจัยต่างประเทศ คาดควรส่งผลดีต่อหุ้นไทย
1) รัสเซียยังเดินหน้ายึดพื้นที่เมืองหน้าด่านยูเครนได้อีก 2 แห่ง ได้แก่ โปครอฟสก์ และ โวฟชานสก์ พร้อมยังประกาศเดินหน้ายึดภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ แม้จะมีการเดินหน้าหาทางสงบศึกเมื่อรัสเซียรับข้อเสนอสงบศึกจากทางยูเครน-สหรัฐฯ แล้วก็ตาม คาดข่าวนี้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อการเก็งกำไร ราคาหุ้นพลังงานต้นน้ำไทยที่เชื่อมโยง แถมล่าสุดยังมีข่าวความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และเวเนซุเอลา
2) เฟดเตรียมลดดอกเบี้ยต่อในเดือน ธ.ค. และยุติโครงการ QT
ด้านปัจจัยในประเทศ ก็ไม่น่าจะมีประเด็นลบใหม่ 1) กนง.มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในการประชุม 17 ธ.ค. 2) การประกาศใช้โครงการ TISA ซึ่งกระทรวงการคลังเตรียมเสนอที่ประชุม ครม.อนุมัติในสัปดาห์หน้า
กลยุทธ์ลงทุนเรายังคงแนะนำ ทยอยเลือกหุ้นเข้าพอร์ต และกันเงินสดส่วนหนึ่งไว้รอซื้อ เมื่อเห็นสัญญาณราคาหุ้นบวกชัด ยอมซื้อแพง ขายแพง ดีกว่ารับล่างแล้วลงต่อ
กลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ “รอ” สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลง ไม่ไล่ราคา เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค SET Index ปิดบวกสำเร็จ! ภายหลังเทรดอยู่ในแดนลบเกือบทั้งวัน หุ้นหนุนนำได้แก่ กลุ่มแบงค์ KTB, BBL, TTB, SCB และ KBANK…มาครบแก๊งค์ (ถึงแม้ DELTA จะปรับลงก็ตาม) ภาพรวมดัชนีสู้ที่เส้น EMA 200 (เส้นล่าง) และพยายามทะลุ EMA 25 (เส้นบน) จับตาโมเมนตัม RSI เครื่องมือวัดพลัง..ล่าสุดชน level 50 ทะลุได้จะบ่งชี้ภาวะความแข็งแกร่งด้านราคา
สรุป: แนวโน้มตลาดกำลังเคลื่อนที่ออกข้างสร้างฐานใหม่ โอกาสจบคลื่นขาลง “Corrective wave C” และ มีแนวโน้มหักล้างสัญญาณลบ “Bearish Megaphome” โดยมีเงื่อนไขไม่หลุด low ต่ำกว่า 1,250 ส่วนเป้าหมายรายเดือนอยู่ที่ 1,300 จุด เหมือนเดิมครับ
กลยุทธ์ทางเทคนิค “Selective เลือกหุ้นเป็นรายตัว “ + แผนป้องกันความเสี่ยง
ไฮไลท์หุ้น: แผนเทรดหุ้นฮ็อต BANPU/ หุ้น “ไฟแนนซ์” น่าลุยหรือยัง/ MTC ลุ้นเด้งขึ้น....โซนรับ(5yr)/ RCL: Ascending triangle….สามเหลี่ยมขาขึ้น/ AAV: double bottom + volume support
What to watch
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษ "คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight" ว่า กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า เกี่ยวกับมาตรการในการสนับสนุนการออมรายบุคคล (Individual Saving Account) ซึ่งเป็นเครื่องมือการออมที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ และยังเป็นการสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ใหญ่ขึ้นด้วย ส่วนรายละเอียด อยู่ระหว่างการเร่งพิจารณา
ตลาดคาดหุ้นเพิ่มเข้าคำนวณดัชนี SET50 ม.ค.-มิ.ย.69: GLOBAL, ITC, SAWAD หุ้นออกได้แก่ BCP, KKP, VGI โดยคาดประกาศกลางเดือน ธ.ค.69 / ดัชนี SET100 คาดหุ้นเข้า BPP, CKP, SAPPE ส่วนหุ้นถูกถอด คาดได้แก่ JTS, MBK, WHAUP
เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ธ.ค. โดยเครื่องมือ CME Fed Watch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 85% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นเร็วมาก หลังจากที่ให้น้ำหนักไม่ถึง 40% ในช่วงก่อนหน้านี้
ปธน.เวเนซุเอลา เตือนว่า ภัยคุกคามทางทหารที่เกิดจากกองทัพสหรัฐอเมริกาในทะเลแคริบเบียน อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพตลาดพลังงานโลก โดยระบุว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งกำลังทหาร 15,000 นาย พร้อมด้วยเรือรบอีก 14 ลำมาประจำการในทะเลแคริเบียน ซึ่งสร้างความตึงเครียดที่อาจบ่อนทำลายเสถียรภาพในภูมิภาค และกระทบต่อการจัดหาพลังงาน
ธปท.คงติดตามค่าบาทใกล้ชิด-พร้อมเข้าดูแลความผันผวนของค่าเงินเพื่อลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจ หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา แข็งค่า1%
ข้อเสนอสงบศึกจาก สหรัฐฯและยูเครน ส่งถึงรัสเซียแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่รัสเซียยังเดินหน้ายึดพื้นที่เมืองหน้าด่านยูเครนได้อีก 2 แห่ง ได้แก่ โปครอฟสก์ และ โวฟชานสก์ พร้อมยังเดินหน้ายึดภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยแคว้นโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์
หุ้นแนะนำวันนี้
PTT ปตท.มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากต้นทุนก๊าซของโรงแยกกณาซ GSP ที่ลดลง
แนวรับ 30.75 ต้าน 31.5/32 Stop loss 30
รายงานพื้นฐานวันนี้
Utilities Sector (Idea)
แนวโน้ม 2026: กลุ่มเน้นลูกค้า Data Center จะโดดเด่นกว่า
ภาพรวม: เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” แต่ปรับมุมมองความชอบจากกลุ่ม SPPs (ที่เคยวิเคราะห์ประเด็นกดดันไปก่อนหน้า) ไปสู่กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการทยอย COD ลูกค้า Data Center ในปีหน้า ดังนั้น จึงชอบ WHAUP และ GUNKUL มากที่สุดในกลุ่ม
กลุ่ม SPPs: แรงกดดันจากการปรับโครงสร้าง Pool Gas ใหม่ และแนวโน้มค่า Ft ที่ต่ำกว่าคาดเดิม ลบต่อ BGRIM และ GPSC แต่ภาพระยะยาวที่มีกลุ่มได้ประโยชน์จาก Data Center ยังมองบวกไม่เปลี่ยน ทำให้ระหว่างคู่นี้ เรายังแนะนำซื้อ BGRIM แต่ปรับลดคำแนะนำ GPSC ลงเป็นถือแทน
กลุ่ม Renewable, DC-related: ล่าสุดโครงการโซลาร์ชุมชน 1.5GW ที่เตรียมออกมา บวกกับ GULF ที่มีโอกาสลงทุนมากสุด และหนุนงาน EPC ของ GUNKUL ด้วย ขณะที่ประเด็น IPS (โรงไฟฟ้าขายไฟตรงได้) ที่ชัดเจนขึ้น บวกต่อ BGRIM และ WHAUP ที่มีฐานลูกค้า DC ในนิคม AMATA และ WHA โดยการที่ กฟผ. จ่ายไฟฟ้าตรงให้ DC ขนาดมากกว่า 200MW ได้ จะเป็นอีกตัวเร่งให้ Hyperscaler ก่อสร้าง และหนุนต่องาน EPC ของ GUNKUL
นอกจากนี้ หาก PDP ใหม่ออกภายในปี 2026 คาดจะมีการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าโซลาร์ (และนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ SMR ในระยะยาว) พร้อมกับการยังมีโรงไฟฟ้าก๊าซ เพื่อความมั่นคงระบบด้วย
Bank Sector
แนวโน้ม 2026: NIM และกำไรเงินลงทุนลด กดดันผลประกอบการ
เราประเมินว่ากำไรปี 2026 ของกลุ่มธนาคารจะปรับลดลง 11% YoY โดยมีปัจจัยกดดันอยู่ 2 เรื่อง ได้แก่
1) NIM จะปรับลดลงต่อเนื่อง 4Q25 และปี 2026 กดดันจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนส.ค. 2025 ซึ่งจะส่งผลกระทบใน 4Q25 เต็มไตรมาส นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ของเรายังคาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยลง 25bps ในช่วงกลางเดือนนี้ และอีก 25bps ลงมาที่ 1.0% ในช่วงต้นปีหน้า
2) กำไรจากการจาก mark-to-market เงินลงทุนจะปรับลดลงแรง QoQ ใน 4Q25 เนื่องจากเราเห็นทิศทาง bond yield อายุ 5 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 19bps นับตั้งแต่สิ้น 3Q25 (สวนทางกับทิศทาง bond yield ในช่วง 9M25 ที่เป็นทิศทางขาลงชัดเจน) นอกจากนี้ เรายังคาดว่าผลตอบแทนจากตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศจะอ่อนตัวลง QoQ ใน 4Q25
นอกจากนี้ ในช่วงนี้เราได้ศึกษาการลงทุนด้าน IT-AI ของอุตสาหกรรมต่างๆ สำหรับกลุ่มธนาคาร เป็นกลุ่มที่เห็นว่าเริ่มนำ AI มาเริ่มใช้เพื่อช่วยในการส่งเสริมการขายและทำการตลาดแล้ว และยังช่วยเรื่องการลดต้นทุน โดยที่ผ่านมาเห็นจาก cost/income ratio ที่อ่อนตัวลงช่วง 2019-24 ทั้งนี้ จากการรวบรวมพบธนาคารเน้นการลงทุน 2 เรื่อง คือ 1) ลงทุนในด้าน AI และ machine learning และ 2) ลงทุนในด้าน ERP และระบบหลัก (core system)
Fundamental view: จากแนวโน้มทิศทางกำไรเริ่มถูกกดดันจาก NIM และรายได้เงินลงทุนลดลงข้างต้น เรายังคงน้ำหนักการลงทุน “น้อยกว่าตลาด” โดยชอบ BBL มากสุด ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีสุด และ Valuation ต่ำสุด
Restaurant Sector
การฟื้นตัวไม่เท่ากัน
ภาพรวม: เรายังคงมุมมอง “เลือกเป็นรายตัว” สำหรับกลุ่มย่อย “ร้านอาหาร” โดยรายงานตรวจเช็คสุขภาพวันนี้ เราได้รวบรวมทั้งของหุ้นที่ศึกษา และที่ติดตาม (แต่ไม่ได้ประเมินกำไรและ Valuation) เข้ามา โดยได้ข้อสรุปสำคัญ ดังนี้
1) SSS ของกลุ่มเริ่มฟื้นจริงใน 3Q25 แต่ความเร็วต่างกันชัดเจน โดย MAGURO, M, CENTEL และ MINT เป็นฝั่งที่ฟื้นตัวได้ดีกว่า ขณะที่ AU และ OKJ ยังเป็นกลุ่มที่อ่อนแอสุด โดย AU มี SSS ติดลบราว -20% YoY ใน ต.ค. ส่วน OKJ ยังต้องพึ่งโปรโมชันหนักเพื่อพยุงยอด
2) การฟื้นตัวของ M มาจากกลยุทธ์บุฟเฟต์ดันทราฟฟิก แต่แลกกับ GM ที่ลดลงชัดและ SG&A ที่สูงขึ้น ทำให้ภาพกำไรยังเปราะบาง ขณะที่ CENTEL และ MINT ฟื้นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามทราฟฟิกและ QSR แต่ยังรักษาโครงสร้างมาร์จิ้นได้ดีกว่า
3) MAGURO ยังเป็นผู้โดดเด่นสุดของกลุ่ม จากการเติบโตเชิงโครงสร้าง ทั้งยอดขาย 9M25 โตแรงกว่า 40% YoY, SSS พลิกกลับมาเป็นบวก และการขยายสาขาเร่งตัวราว +50% YoY และ GM ที่เพิ่มจากสัดส่วนแบรนด์มาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หนุนคุณภาพกำไรในระยะถัดไป
4) กลุ่มพึ่งพาโปรโมชั่นเสี่ยงกว่ากลุ่มพอร์ตแข็งแรง และคุม GM ได้ โดยกลุ่มใช้โปรโมชั่นสูง เห็นความเสี่ยงและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว มากกว่ากลุ่มที่สเกลเรื่องแบรนด์และขนาดได้ ที่มาเน้นการบริหาร GM
สรุป: ในกลุ่มนี้ เรามองว่าหุ้นที่ลงทุนได้ ได้แก่ CENTEL MINT MAGURO ส่วน M AU OKJ แนะนำเลี่ยง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน