Pi Daily หุ้นสหรัฐฯ ปรับลงหลายๆสื่อระบุ Yield ปรับขึ้น แต่มองเป็นเพียงระยะสั้นเหตุจาก CME ยังประเมินว่า ธ.ค. ลดดอกเบี้ยด้วยโอกาส 88% ในประเทศธนาคารแห่งประเทศไทยระบุผลกระทบน้ำท่วมมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยเพียง 0.2% ยังเน้นเลือกเป็นรายตัวในหุ้นที่มีปัจจัยหนุน

 

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 427 จุด (-0.9%) ถูกกดดันจากการปรับขึ้นของ Bond Yield ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.27% หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันมีมติระงับการปรับเพิ่มกำลังการผลิต

 

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (ISM PMI) ภาคผลิตพบว่าอยู่ที่ 48.2 แย่กว่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 49 และองค์ประกอบภายในก็ค่อนข้างแย่หลายๆ องค์ประกอบเข้าสู่ภาวะหดตัวสวนทางกับระดับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น เชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ US Bond Yield ขยับขึ้น นักลงทุนกลับมากังวลกับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามอาจเป็นเพียงระยะสั้นเพราะถ้ามาดู CME FED Watch ยังให้น้ำหนักค่อนข้างสูงราว 88% ที่ FED จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. และตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ปรับลงก็อาจเป็นเพียงระยะสั้นเช่นกันในขณะเดียวกันก็มองเป็นโอกาสเข้าสะสมบางส่วนด้วยพื้นฐานยังแข็งแกร่งของกลุ่ม Technology สำหรับปัจจัยในประเทศวานนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาประเมินผลกระทบน้ำท่วมในภาคใต้เชื่อว่าจะกระทบกับการเติบโตเศรษฐกิจไทยราว 0.1% แต่ไม่เกินไปกว่า 0.2% ของ GDP โดยสัดส่วนพื้นที่สงขลาคิดเป็นเพียง 2.6% ของโครงสร้าง GDP หลังจากนี้หน่วยงานรัฐต่างๆก็เตรียมจะเร่งออกนโยบายช่วยเหลือคนที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นครัวเรือนละ 9 พันบาท รวมไปถึงอื่นๆ สำหรับ SET INDEX วานนี้ปรับขึ้นมา +1.6% และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1.2 พันล้านบาท นับเป็นสัญญาณเชิงบวกส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเงินบาทที่แข็งค่าเป็นปัจจัยหนุนให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามา วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1265 – 1285 แม้หุ้นสหรัฐฯจะปรับลงแต่เชื่อว่าผลกระทบต่อไทยอาจจำกัดและเช้านี้พบว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นกลับแกว่งแดนบวก (+0.5%) เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยมีกระแสเงินทุนต่างชาติผสานกับปัจจัยฤดูกาลเป็นอีกปัจจัยหนุน ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวในตัวที่น่าสนใจ อาทิ ธนาคารพาณิชย์ (SCB) ศูนย์การค้า (CPN) ท่องเที่ยว (MINT CENTEL) ค้าปลีก (CPALL HMPRO) Theme ลดดอกเบี้ย (MTC SAWAD TIDLOR) คืนนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญต้องติดตาม

 

CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)

ปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 3Q25 ที่กำไรปกติรายไตรมาสทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง หลังจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มฟื้นตัว ขณะที่ธุรกิจค่าเช่าได้รับผลดีจากการเปิดศูนย์เซ็นทรัล พาร์ค ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นได้แม้เป็นฤดูฝน สำหรับแนวโน้มช่วง 4Q24 คาดรายได้เห็นการเติบโตได้ต่อหลังจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีโครงการเตรียมโอนกว่า 2,000 ล้านบาท

 

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 68.00 บาท)

รายงานกำไรสุทธิ 3Q25 ที่ 6.6 พันล้านบาท (+18%YoY) และมีกำไรปกติ 6.5 พันล้านบาท (+4%YoY, -8%QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราและBB consensus คาด กำไรโต YoY หนุนจากการขยายสาขาและอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 10 bps YoY แม้ว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ 7-11 จะลดลง 0.5% YoY