Today’s NEWS FEED

News Feed

PTTGC ไตรมาส3/68 ขาดทุนสุทธิลดลงมาที่ 2,915 ล้านบาท กวาดรายได้รวม 126,836 ล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น

86

 

 

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (10 พฤศจิกายน 2568 )--- บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC รายงานงบการเงินรวม ไตรมาสที่ 3/2568 ขาดทุนสุทธิ 2,915 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุนสุทธิ 19,312 ล้านบาท


บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 126,836 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาส 2/2568 โดย หลักจากราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลง ด้านอุปสงค์ยังอ่อนตัวจากความกดดันจากสภาวะ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ประกอบกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยรายได้จากการขายในไตรมาส 3/2568 ลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบที่ส่งผลให้ราคาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มปิโตรเลียมสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวลดลง

 

สำหรับไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 5,147 ล้านบาทปรับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ร้อยละ 15 สาเหตุหลักมาจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ ที่ปรับตัวลดลงตามปัจจัยตลาดที่ยังคงอ่อนตัวอยู่ ใน ไตรมาสนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และโพลิเมอร์มีผลประกอบการปรับลดลง ซึ่งได้รับผลกระทบจาก ราคาเม็ดพลาสติกโพลิเอ ทิลีนเฉลี่ยลดลงจากภาวะอุปทานส่วนเกินและอุปสงค์ที่ยังอ่อนตัว ในขณะที่ราคาวัตถุดิบแนฟทาปรับตัวสูงขึ้นตามทิศทาง ราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางมีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะจากผลิตภัณฑ์โมโนเอ ทิลีนไกลคอล ซึ่งมีปริมาณการขายเพิ้มขึ้นจากการที่โรงงานกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตหลังช่วงปิดซ่อมบำรุงในไตร มาสก่อนหน้า รวมถึงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอลที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับกลุ่ม ผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ผลประกอบการปรับลดลงเล็กน้อยจากปริมาณการขายที่ลดลงตามฤดูกาลของบริษัท allnex แต่มีปัจจัยบวกจากกลุ่มบริษัท Vencorex ที่มีค่าใช้จ่ายคงที่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะเดียวกัน กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก ชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนมีผลประกอบการปรับตัวดีขึ้น โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากส่วนต่างราคาวัตถุดิบแฟตตี้ แอลกอฮอล์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายและมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบจากสภาวะตลาดภายนอก


บริษัทฯ รับรู้รายการพิเศษจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการเปลี่ยนแปลงราคาตามสภาวะตลาด ได้แก่ ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock loss) และการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (NRV) สุทธิเป็นขาดทุน 109 ล้านบาท กำไรจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 192 ล้านบาท กำไรสุทธิจากอัตรา แลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ทางการเงินรวม 9 ล้านบาท ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุน 273 ล้านบาท ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ รายงานผลขาดทุนสุทธิรวม 2,915 ล้านบาท (-0.73 บาท/หุ้น)

 


ความคืบหน้าโครงการที่สำคัญ

บริษัทฯ มีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการเพิ่มความมั่นคงของวัตถุดิบสำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ (Olefins Feedstock Security Enhancement - OFS) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจัดหาวัตถุดิบอีเทนจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อนำมาใช้เพิ่มความ มั่นคงของวัตถุดิบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันสำหรับธุรกิจโอเลฟินส์ โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ ของบริษัท และคาดว่าเริ่มนำเข้าอีเทนและเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572

 

แนวโน้มตลาดและธุรกิจในปี 2569
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2569 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตร้อยละ 3.1 ชะลอลงจากร้อยละ 3.2 ในปี 2568 (IMF ตุลาคม 2568) สะท้อนการฟื้นตัวที่ค่อยเป็นค่อยไปท่ามกลางความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและความตึงเครียดทาง ภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งยังเป็นปัจจัยกดดันหลัก อย่างไรก็ตามแม้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่เริ่มใช้เมษายน 2568 จะกระทบ ต่อการค้าโลก แต่การเจรจาและข้อตกลงทางการค้าของหลายประเทศช่วยลดผลกระทบลงได้ นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก จะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว


กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น
บริษัทฯ คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2569 อยู่ที่เฉลี่ย 65-69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยด้าน อุปสงค์ปรับลดจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามการใช้ น้ำมันยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ด้าน อุปทานน้ำมันดิบกลุ่มโอเปกพลัส ช่วยรักษาสมดุลของตลาด ในขณะที่กำลังการผลิตน้ำมันดิบที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากประเทศนอก กลุ่มโอเปก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล และกายอานา จะช่วยลดความตึงตัวของอุปทานในตลาดลง

 

สำหรับสถานการณ์ราคาและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในปี 2569 ด้านอุปสงค์คาดการณ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น เล็กน้อยจากปี 2568 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากทิศทางนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้น้ำมันโดยรวมยังถูกกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สำหรับด้านอุปทานผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการเดินเครื่องการผลิตโรงกลั่นใหม่ในภูมิภาคเอเชีย อย่างไรก็ ตามความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ อาจกระทบต่อเสถียรภาพของอุปทานในบางภูมิภาค บริษัทฯ คาดการณ์ว่าส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซล (10 ppm) กับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 15-18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่าง ราคาน้ำมันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ 6-9 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนต่าง ราคาน้ำมันแก๊สโซลีนกับน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 8 -11 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการบริหาร จัดการรูปแบบการผลิต และสัญญาขายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่าง ใกล้ชิดเพื่อบริหารจัดการการจัดหาน้ำมันดิบในการผลิตและส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ให้มีความเหมาะสม บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในปี 2569 อยู่ที่ร้อยละ 105

 

ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงอะโรเมติกส์ บริษัทฯ คาดการณ์การฟื้นตัวของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์พาราไซลีน และผลิตภัณฑ์เบนซีนเป็นไปอย่างจำกัด อย่างไรก็ตามผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มี แนวโน้มลดลงหลังจากมีการเจรจากับประเทศคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายการควบคุม กำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ปี 2569 ด้านอุปทานยังคงมีเข้ามาต่อเนื่อง


ในปี 2569 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทาในปี 2569 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 240-270 เหรียญ สหรัฐฯ ต่อตัน และสำหรับส่วนต่างของราคาเบนซีนและแนฟทาจะอยู่ที่ประมาณ 155-185 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงอะโรเมติกส์ในปี 2569 อยู่ที่ร้อยละ 88

 

ในส่วนของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโรงโอเลฟินส์ บริษัทฯ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนในปี 2569 จะอยู่ที่830-850 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ราคาผลิตภัณฑ์โพรพิลีนจะอยู่ที่ 770-790 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ใน ภาพรวม มีปัจจัยกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ผลิตหลายรายที่มีต้นทุนการผลิตสูงจะมีการ เดินเครื่องที่ลดลง เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันในตลาดได้ ขณะที่อุปสงค์ปลายทางมีทิศทางที่ค่อย ฟื้นตัว ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงโอเลฟินส์ในปี 2569 อยู่ที่ร้อยละ 92

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลาง
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลในปี 2569 บริษัทฯ คาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 185-195 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดการณ์การฟื้นตัวของอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ฟีนอล อะซีโทน และบิสฟีนอล เอ เป็นไปอย่าง จำกัด จากผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ด้านอุปทาน กำลังการผลิตใหม่จากประเทศผู้ผลิตต้นทุนต่ำในเอเชียเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมีผู้ผลิตที่ต้นทุนสูงหยุดดำเนินการผลิตหักกลบกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นใหม่บางส่วน

สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 490-520 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน คาดการณ์การฟื้นตัวของอุปสงค์ยังเป็นไปอย่างจำกัด โดยจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ค่อย ฟื้นตัว รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ ในขณะที่ด้าน อุปทาน ยังคงมีอุปทานส่วนเกิน และกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในปี 2569

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์และเคมีภัณฑ์
แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2569 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะ เฉลี่ยอยู่ที่ 900 – 930 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยปรับตัวลดลงจากปี 2568 อุปสงค์จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ตามทิศทาง เศรษฐกิจโลกที่แสดงสัญญาณฟื้นตัวที่เป็นไปอย่างช้า อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน โดยเฉพาะ จากผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้อุปทานทั่วโลกจะยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยประเมินว่าจะมีกำลังการ ผลิตใหม่เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 4 ทั้งนี้จากสภาวะกำลังการผลิตล้นตลาด จะทำให้ผู้ผลิตที่มีต้นทุนการผลิตสูงพิจารณาลดกำลัง การผลิตหรือหยุดเดินเครื่องการผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อพยุงราคา ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรง โพลิเอทิลีนในปี 2569 อยู่ที่ร้อยละ 106

 


กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
คาดการณ์ว่าความต้องการของผลิตภัณฑ์กลุ่มสารเคลือบผิวอุตสาหกรรมและสารเติมแต่งในทุกภูมิภาคทั่วโลกมี แนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปี 2568 โดยได้รับการแรงสนับสนุนจากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาคในหลายภูมิภาค เช่น อินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการขยายตัวของภาคการผลิตและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงสัญญาณบวกของการฟื้น ตัวในอุตสาหกรรมปลายทาง เช่น กลุ่มบรรจุภัณฑ์ กลุ่มการตกแต่งในงานก่อสร้าง

 

 

 

 

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

บทความล่าสุด

SMO เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

SMO เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก

กังวล By : แม่มดน้อย

แม่มดน้อย ขี่ไม้กวาดวิเศษ เห็นนักลงทุน ยังคงมีเรื่องราวความกังวล รบกวนจิตใจการลงทุน สะท้อนได้จาก ปริมาณการซื้อขาย....

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้