SVI : มีความตั้งใจที่จะเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET)

SVI เสนอทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ราคา 7.5 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ
SVI มีแผนที่จะเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ ร่วมกับผู้มีการกระทำร่วม ซึ่งในปัจจุบันถือหุ้นรวมกันอยู่ที่ 78.17% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด โดยคำเสนอซื้อมีเป้าหมายเพื่อซื้อหุ้นที่เหลืออีก 21.83% ที่ราคา 7.5 บาทต่อหุ้น (P/BV 2.2 เท่า) การเพิกถอนหุ้นที่เสนอครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ลดต้นทุนด้านกฎระเบียบ และทำให้กระบวนการตัดสินใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถขายหุ้นออกได้ เพื่อสร้างสภาพคล่องให้แก่ผู้ถือหุ้นในช่วงที่ปริมาณการซื้อขายบางเบาและผลการดำเนินงานผันผวน ข้อเสนอนี้จะถูกเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 13 มกราคม 2026 และหากได้รับอนุมัติ (โดยมีเสียงคัดค้านไม่ถึง 10%) SVI จะดำเนินการเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทำคำเสนอซื้อและได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ข้อเสนอการเพิกถอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องของนายพงษ์ศักดิ์ ที่มุ่งเน้นการรวมความเป็นเจ้าของและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงสร้างเงินทุน
ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายน 2019 เขาได้ทำคำเสนอซื้อที่ราคา 4.85 บาทต่อหุ้น (P/BV 1.4 เท่า) เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจาก 45.71% เป็น 72.54% โดยการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมจำนวน 577.7 ล้านหุ้น (26.83%) มูลค่ารวมประมาณ 2.8 พันล้านบาท ซึ่งได้รับเงินทุนจากเงินกู้ของ KBANK ไม่นานหลังจากนั้น ในเดือนธันวาคม 2019 SVI ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลพิเศษจำนวนมาก 1.9282 บาทต่อหุ้น (หรือรวม 4.1 พันล้านบาท) ซึ่งเท่ากับ 792% ของกำไรสุทธิย้อนหลัง 12 เดือน โดยได้รับเงินทุนบางส่วนจากเงินกู้ระยะเวลา 4 ปีของ KBANK มูลค่า 2.8 พันล้านบาท ส่งผลให้อัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิ (Net D/E) เพิ่มขึ้นเป็น 0.5 เท่า (จากสถานะเงินสดสุทธิ 1.3 พันล้านบาทใน 3Q19)

เราแนะนำให้ขายหุ้นในราคาเสนอซื้อ
เราเชื่อว่าการเสนอซื้อหุ้นที่ 7.5 บาท/หุ้นนี้ถือเป็นทางออกที่สมเหตุสมผลสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า (P/E) ที่ 16.7 เท่าสำหรับปี 2026F (ดูรูปที่ 4) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 14.3 เท่า และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันที่ซื้อขายกันในระดับกลางๆ แม้ว่าการประเมินมูลค่าจะดูถูกเมื่อใช้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของรอบระยะเวลาที่ผ่านมาที่ 12.6 เท่า แต่เราไม่คาดว่า SVI จะสามารถทำกำไรได้เท่าเดิมในระยะสั้น เนื่องจากแนวโน้มความต้องการในปัจจุบันและการลงทุนด้าน PCB ใหม่ เราคาดว่ากำไรหลักใน 3Q25F จะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 162 ล้านบาท ลดลง 18% YoY จากยอดขายที่อ่อนแอ แต่เพิ่มขึ้น 105% QoQ เนื่องจากการปรับอัตรากำไรให้อยู่ในระดับปกติ ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินการลงทุนใน PCB ความสามารถในการแปลงความต้องการให้เป็นผลผลิตที่โรงงานในสหรัฐฯ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ SVI โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 6.80 บาท