ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ อัปเดต Sentiment การลงทุนในภูมิภาคจาก Fund Flow
กระแสเงินลงทุนไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง
Key Findings: นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นภูมิภาค แต่แรงขายกระจุกตัวในตลาดหุ้นไต้หวันและเกาหลีใต้
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติยังคงไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยแรงขายสัปดาห์ล่าสุดอยู่ที่ 1,407 ล้านดอลลาร์ ซึ่งชะลอลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่มีแรงขาย 2,342 ล้านดอลลาร์ โดยแรงขายส่วนใหญ่กระจุกตัวเอเชียเหนือ ได้แก่ ตลาดหุ้นไต้หวัน (-1,295 ล้านดอลลาร์) และเกาหลีใต้ (-593 ล้านดอลลาร์) ส่วนตลาด TIP นั้น เม็ดเงินพลิกกลับมาไหลเข้าที่ระดับ 481 ล้านดอลลาร์ โดยไหลเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซีย 255 ล้านดอลลาร์ และไทย 237 ล้านดอลลาร์ ส่วนฟิลิปปินส์มีแรงขายเล็กน้อยที่ 11 ล้านดอลลาร์
Sector เด่นของภูมิภาคในสัปดาห์ที่ผ่านมา: กลุ่มธนาคาร
ในเชิงหมวดอุตสาหกรรม สัญญาณจากดัชนี Volume Index ของแต่ละตลาดสะท้อนแรงซื้อที่โดดเด่นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเกิดสัญญาณในตลาดหุ้นไทยและอินโดนีเซีย
Implications:
สัญญาณแรงขายที่แผ่วลงในสัปดาห์ล่าสุด ชี้ว่าตลาดเพียงแค่พักฐานระยะสั้นและลดความเสี่ยง (De-risking) จากประเด็นความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น
ในสัปดาห์นี้ มีโอกาสสูงที่ Fund Flow จะพลิกกลับมาเป็นบวก โดยมีปัจจัยหนุนจาก 1) ความคืบหน้าการเจรจาการค้า และ 2) ความคาดหวังที่เฟดจะลดดอกเบี้ย
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย การรีบาวด์ในระยะสั้นยังคงมีอัพไซด์จำกัด เนื่องจากดัชนี Volume Index ยังอยู่ในทิศทางปรับตัวลงจากเขต Overbought และ Volume Index ของกลุ่มอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เรามองกลุ่ม ICT มีแนวโน้มที่จะ Outperform ตลาด เนื่องจากคาดว่า Volume Index ของกลุ่มจะเริ่มฟื้นตัวจากบริเวณ Mid-point
อัปเดต Market-Timing Indicator ของตลาดหุ้นไทย:
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 3.3% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนจากผลประกอบการไตรมาส 3/25 ของ DELTA และหุ้นกลุ่มธนาคารที่ดีกว่าที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตามเราประเมินว่าอัพไซด์ของตลาดหุ้นไทยจะยังคงจำกัด โดยแม้ว่าดัชนี Composite Short-term จะฟื้นตัว แต่เมื่อพิจารณาองค์ประกอบย่อยกลับพบความขัดแย้ง โดยดัชนี Short-term Bull-to-Bear ที่รีบาวด์นั้น สวนทางกับ Short-term Momentum Strength ที่อ่อนแอลง สะท้อนว่าการฟื้นตัวในรอบนี้อาจไม่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ดัชนี Composite Medium-term ยังมีแนวโน้มอ่อนแอลง กดดันจากการปรับตัวลงของทั้ง Medium-Term Bull-to-Bear และ Volume Flow ประกอบกับ Medium-term Market Breath ที่อ่อนแอลงเช่นกัน สะท้อนถึงแรงกดดันที่กระจายตัวในหุ้นหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ตอกย้ำมุมมองของเราว่า SET Index มีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวผันผวนและมีอัพไซด์จำกัด โดยประเมินกรอบการแกว่งตัวในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าไว้ที่บริเวณ 1,270–1,350 จุด
สรุปภาพตลาดวานนี้
DELTA รับจบ ดัน SET ไปกว่า 20 จุด (จากบวก 10 จุด) เท่ากับที่เหลือลบไป 10 จุด ซึ่งเป็นแรงขายในกลุ่มธนาคาร คอมเมิร์ช จนส่งฯ เป็นหลัก
แนวโน้มตลาดวันนี้
มีลุ้น งบออกมาดีกว่าคาด
หลังจากเมื่อวานหุ้น DELTA ราคาหุ้นพุ่งขึ้น เนื่องจากรายงานกำไรที่ดีเกินคาด หนุนบรรยากาศลงทุนหุ้นไทย และพาราคาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ บวกตาม
จากแรงซื้อเก็งกำไรที่เพิ่มขึ้นและหนุนราคาหุ้นที่รายงานกำไรดีเกินคาด ตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เราเชื่อว่าทิศทางราคาหุ้นที่จะประกาศงบในสัปดาห์นี้ จะเคลื่อนไหวสอดคล้องกับงบการเงินที่ประกาศ โดยหุ้นที่เราคาดว่าจะรายงานกำไรดี ในสัปดาห์นี้ได้แก่ SCGP SCC ITC เป็นต้น ส่วนที่เหลือหากงบออกมาไม่แย่เกินคาด เรามองว่าตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวเชิงบวกรับงบฯ
แม้ระยะสั้นอาจจะมีแรงขายกำไรหุ้นที่ขึ้นแรงรับงบฯไปแล้วบ้าง เช่น ราคาหุ้น ธนาคาร, DELTA ซึ่งนอกจากงบ DELTA ดีเกินคาด ตัวเลขส่งออกไทย เดือน ก.ย.ก็ปรับตัวดีขึ้นเกินคาดเช่นกัน คาดหนุนการเก็งกำไรหุ้นกลุ่ม ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ให้ยังคงรีบาวด์ได้ต่อเนื่อง (และเป็นกลุ่มเด่น แนะนำในระยะสัปดาห์)
คงคาดแนวโน้มสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวเชิงบวก โดยยกฐานแนวรับสูงขึ้น เป็น 1290 จุด และแนวต้าน 1320 จุด (ต้านใหม่ 1350 จุด) อิงตามพัฒนาการ เชิงบวก ของกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยที่มีลุ้นกำไรดีเกินคาด ช่วยเพิ่มแรงซื้อ เก็งกำไรงบ เช่นเดียวกับที่เกิดกับ ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร และ DELTA
กอปรกับ ความชัดเจน 2 เรื่องจากปัจจัยมหภาค ที่คาดว่าจะมีข้อสรุปเชิงบวก ได้แก่ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ตลาดคาดลดดอกเบี้ย 0.25% เป็น 3.75-4% พร้อมส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือน ธค. (อาจมีแถมเรื่อง กรอบระยะเวลาที่จะยุติโครงการ QT) โดยประเด็น “เฟด” เรามองเป็นกลางถึงบวก ไม่มีประเด็นสร้างความประหลาดใจเชิงลบ และไม่น่าจะมีแรงขาย Sell on fact ตามมา
คาดหุ้นกลุ่มเด่นระยะสัปดาห์: โรงไฟฟ้า พลังงาน สื่อสารฯ ค้าปลีก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
คาดหุ้นกลุ่มด้อย: ธนาคาร (คาดมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น Sell on fact งบออก) สินเชื่อ
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-รอสะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค
DELTA (+9.7%) impact ดัน SET index +19.5 จุด ถ้าไม่มีพระเอกช่วยดัชนีจะปิดในแดนลบ -10 จุด! ทรงกราฟดัชนีเปิดสูงแล้วโดยสอยร่วงปิดต่ำ “Shooting star” บ่งชี้ความเสี่ยงโอกาสปรับฐานในวันนี้ อย่างไรก็ตามดัชนีขึ้นถึงเป้าหมายที่ให้ไว้ 1,330 จุด สำเร็จ โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 1,345 จุด พยายามทะลุโซนต้านสำคัญ Fibo 61.8% อาจทำให้แนวโน้มระยะสั้นมีโอกาสย่อสั้นๆจับตาโซนรับ 1,300 (EMA 10 วัน) สู้ไหว แต่!โฉมหน้าหุ้นผู้นำกลุ่มจะสลับเปลี่ยนหมุนเวียน Sector rotation (เปลี่ยนจากแบงค์ หรือ DELTA อาจถูกล๊อคกำไร) หมุนมายังกลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์และปิโตรเคมี แทนที่!
ไฮไลท์หุ้นเด่น: แผนแก้มือหุ้นปิโตรฯ PTTGC & IVL / “แบงค์ยิ่งสูง…..ยิ่งหนาว” ยิ่งต้องระวัง!/ GULF ลุ้นทะลุ EMA 200 วัน/ ITC ขาขึ้น ยังไม่จบง่ายๆ/ SCB ถึงเวลาปรับฐาน...
What to watch
คาดวันประกาศงบสัปดาห์นี้ อังคาร 28 SCGP GLOBAL HMPRO พุธ 29 SCC พฤหัส 30 ITC PTTEP
เบสเซนต์รับ สหรัฐฯ-จีนบรรลุกรอบข้อตกลงการค้า ก่อนพบปะ "ทรัมป์-สี"เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุกรอบข้อตกลงที่ประสบความสำเร็จอย่างมากสำหรับการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ที่เกาหลีใต้ เบสเซนต์กล่าวหลังประชุมกับคณะผู้แทนจีนว่า ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือประเด็นสำคัญ ทั้งการค้า แร่หายาก สารเฟนทานิล ติ๊กต๊อก (TikTok) สินค้าเกษตร และความสัมพันธ์ทวิภาคี นอกจากนี้ เบสเซนต์ยังระบุว่า การเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และครอบคลุมทุกมิติ และเสริมว่า การขยายระยะเวลาพักรบทางการค้าน่าจะเดินหน้าต่อไปได้ แต่สุดท้ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทรัมป์
สงครามการค้า จีน สหรัฐฯ ที่ได้ข้อยุติลงชั่วคราวเมื่อเดือน พ.ค. (โดยระงับการเก็บภาษีตอบโต้กันในอัตราเลขสามหลัก) กำลังจะถึงเส้นตายใหม่ วันที่ 10 พ.ย. ซึ่งต้องเร่งหา ข้อยุติชั่วคราวครั้งใหม่ให้ทัน...
กสทช.จ่อเสนอดีอีชง"เน็ตคนละครึ่ง"160 บาทเล่น 40GB เข้าครม.สัปดาห์หน้า โครงการ "อินเทอร์เน็ตคนละครึ่ง" ช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและยกระดับทักษะดิจิทัล โดยผลของการหารือร่วมกับค่ายมือถือ ผู้ร่วมโครงการจะได้บริการอินเทอร์เน็ตราคา 160 บาท ( รวม VAT) ความเร็วที่ 40 GB ระยะเวลา 30 วัน หลังจากสิ้นสุดกำหนดเวลา ให้ใช้ได้ความเร็ว 512 MB ทั้งนี้บริการนี้ไม่รวม บริการเสียง non voice
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนต.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.
หุ้นแนะนำวันนี้
COM7 คาดกำไรไตรมาส 3/25 ที่ 878 ล้านบาท +22% y-y, -12% q-q หุ้นแนะนำตามมุมมองพื้นฐานต่อทิศทางกำไรที่เติบโตสูง
แนวรับ 25.5 ต้าน 27 Stop loss 25
รายงานพื้นฐานวันนี้
Econ
ส่งออกไทยเดือนกันยายน 2025 โต 19% YoY มากกว่าตลาดคาด
มูลค่าส่งออกสินค้าไทยเดือนกันยายน 2025 ขยายตัวสูงถึง 19% YoY (+11.6% MoM) มากกว่าตลาดคาดที่ 7.2% YoY และแม้หักหมวดอัญมณีและเครื่องประดับออกแล้ว ยังขยายตัวได้ 13.1% YoY หนุนให้การส่งออกไตรมาส 3 ปี 2025 โต 2.3% YoY และตลอด 9 เดือนแรกของปี 2025 โต 13.9% YoY
แรงขับเคลื่อนหลักมาจากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์ด้าน AI และการได้รับยกเว้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) จากสหรัฐฯ เช่น คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (+57.9% YoY) โทรศัพท์และอุปกรณ์ (+129% YoY) และ ICs (+8.1% YoY) เป็นต้น
สินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรหลายกลุ่มยังขยายตัวได้ดี แม้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็กและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น แต่สินค้าเกษตรหลักกลับหดตัว โดยเฉพาะข้าว ผลไม้สด และยางพารา จากอุปสงค์และราคาที่อ่อนแรง
การส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ขยายตัวสูงถึง 35.3% YoY (+19.7% MoM) สะท้อนการปรับตัวของผู้ประกอบการท่ามกลางภาษีที่เพิ่มขึ้น ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปอินเดีย (+27.4% YoY) อาเซียน (+7.7% YoY) และ EU (+7.3% YoY) ที่เพิ่มขึ้นก็สะท้อนถึงการกระจายตลาดส่งออก ลดการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ
Implications:
ช่วงที่เหลือของปี 2025 การส่งออกไทยยังเผชิญความเสี่ยงขาลงจากแรงกดดันภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้บางหมวดสินค้าชะลอตัวหรือหดตัว ขณะที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามอุปสงค์โลกที่แข็งแกร่ง
แนวโน้มทั้งปี 2025 การส่งออกมีโอกาสเติบโตได้มากกว่า 7% YoY (USD Term) จากเดิมคาด 5% YoY ซึ่งจะช่วยหนุนให้ GDP ไทยปี 2025 ขยายตัวได้ราว 2.0% YoY จากเดิมคาด 1.8% YoY (กรณีฐาน)
หากผู้ประกอบการส่งออกไทยสามารถปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมด้วยการรุกตลาดใหม่ ก็น่าจะช่วยลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และกระจายความเสี่ยงทางการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน การต่อยอดในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งอยู่ในวัฏจักรขาขึ้นและเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยีโลก (AI-driven supply chain) จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคส่งออกไทยในระยะต่อไป
Commodities Tracker
น้ำมันดิบพุ่งแรงสุด ขณะที่สเปรดเคมีอ่อนตัวลง
ภาพรวม: สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบ ปรับขึ้นแรงสุด ตามด้วยอัตราค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ ส่วน สเปรดเคมีภัณฑ์ และ ค่าการกลั่น เป็นหมวดที่อ่อนตัวลงมากที่สุด WoW ทั้งนี้ ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เนื่องจากอาจส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์
น้ำมันดิบ: ราคาดูไบเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.02 ดอลลาร์ WoW สู่ระดับ 65.47 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลต่อความเสี่ยงด้านอุปทาน หลังสหรัฐฯ กลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอีกครั้ง
ค่าการกลั่น: ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ลดลงจากดีมานด์ในอาเซียนที่ชะลอและอุปทานในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือที่เพิ่มขึ้น
เคมีภัณฑ์: ราคาสินค้าเคมีทรงตัวแต่สเปรดส่วนใหญ่หดตัวตามต้นทุนแนฟทาที่เพิ่มขึ้น
ถ่านหิน: ดัชนี Newcastle (NEX) ขยับขึ้นเล็กน้อย แม้ดีมานด์ในเอเชียยังอ่อนตัว
ค่าระวางเรือ: Baltic Dry Index (BDI) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย +5 จุด (2,061 จุด) จากแรงหนุนของเรือ Panamax (+4% WoW) ขณะที่ Capesize และ Supramax ลดลงราว 1% ส่วน World Container Index ขยับขึ้น +59 จุด (+4% WoW) สู่ระดับ 1,746 จุด
Fundamental view: เรายังชอบ TOP จากค่าการกลั่นที่แข็งแกร่งและ Valuation ถูก, IVL จากแนวโน้มกำไร 2H25 ที่โต HoH และ PTTGC จากการฟื้นตัวของสเปรดเคมีในปลาย 4Q25
ขณะเดียวกัน กลุ่มเดินเรือ (PSL, TTA, RCL) อาจมีโอกาสเก็งกำไรระยะสั้นจากฤดูกาลขนส่งธัญพืชในอเมริกาใต้และกิจกรรมการค้าภายนอกที่เพิ่มขึ้นจากความตึงเครียดทางการค้า
BGRIM
บี.กริม เพาเวอร์
Nakwol เริ่มเดินเครื่อง ขณะที่ Data Center จะเข้ามาเป็นแรงขับใหม่
คาดกำไรหลัก 3Q25 อยู่ที่ 405 ล้านบาท ลดลง 50% YoY และ 15% QoQ จากยอดขายไฟให้ EGAT ที่ลดลงตามรอบซ่อมบำรุงใหญ่ และรายได้จากโครงการต่างประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ดี GM ของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ปรับตัวดีขึ้น เพราะต้นทุนก๊าซลดลง (10% YoY) มากกว่าราคาขายไฟ IU (ลดลง 7% YoY) หักรายการพิเศษ คาดกำไรสุทธิ 3Q25 คาดอยู่ที่ 375 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ
แนวโน้ม 4Q25 คาดกำไรหลักจะท เพิ่มขึ้น 9% YoY แต่ลดลง 12% QoQ (ตามฤดูกาล) โดยการเติบโต YoY มาจากกำไรเริ่มต้นของโครงการ Nakwol ที่ทยอยเดินเครื่องบางส่วน (ติดตั้งแล้ว 3–4 จาก 64 กังหันลม) และต้นทุนก๊าซเฉลี่ยที่ลดลง ทำให้มาร์จิ้นของ SPP ดีขึ้น ทั้งนี้คาดว่า Nakwol จะ COD ครบ 64 กังหันภายในกลางปี 2026
นอกจากนี้ เรามอง BGRIM อยู่ในตำแหน่งที่ดีในการรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มจาก data center โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งคาดว่าจะเพิ่ม peak demand ราว 500–1,000 MW ภายในปี 2025 และแตะ 2–3 GW ภายในปี 2028 หากเกิดความกังวลเรื่องไฟฟ้าขาดแคลน การพัฒนาโรงไฟฟ้าแก๊สขนาดเล็ก (captive plants) จะเป็นทางออกที่เป็นรูปธรรมในตอนนี้ และ BGRIM ที่มีฐานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะ จะได้อานิสงส์โดยตรง
Fundamental view: คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 22 บาท
Quantitative Strategy
ความผันผวนของดัชนี SET เพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ชี้ถึงสัญญาณของความไม่แน่นอน
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 3.3% ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนจากผลประกอบการไตรมาส 3/25 ของ DELTA และหุ้นกลุ่มธนาคารที่ดีกว่าที่ตลาดคาด ในระยะอันใกล้เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวน ดัชนี Composite Short-term ปรับตัวขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนจากการรีบาวด์ของดัชนี Short-term Bull-to-Bear สวนทางกับดัชนี Short-term Momentum Strength ที่อ่อนแอลง จากการที่สองดัชนีเคลื่อนไหวในทิศทางที่สวนทางกัน จึงคาดว่าการฟื้นตัวของดัชนี Composite Short-term ในครั้งนี้ไม่น่าจะยั่งยืน ขณะที่ดัชนี Composite Medium-term อ่อนแอลงในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา กดดันจากองค์ประกอบย่อยบางตัวที่ปรับลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Medium-Term Bull-to-Bear และ Volume Flow ซึ่งยืนยันมุมมองของเราว่าอัพไซด์ของ SET Index จะยังคงมีจำกัด เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวในช่วง 1270-1350 จุด ในช่วงวันที่ 28 ต.ค.-9 พ.ย.
สรุปประเด็นจาก Quick take
DELTA
เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)
มุมมองต่อการประชุมนักวิเคราะห์
โมเมนตัมรายได้ 4Q25 น่าจะ +20% QoQ (ดีกว่าที่เราคาดที่มองทรงตัว) และ GM ที่ 27-28% (In line กับที่เรามอง)
View from fundamental: เราประเมินกำไรใน 4Q25 มีโอกาสแตะ 7-7.5 พันล้านบาท โตแรง YoY และอาจโตเล็กน้อยหรือทรงตัว QoQ อย่างไรก็ตามในระยะสั้น Trailing PER ยังสูงอัพไซด์น่าจะจำกัดแถวระดับ 215 บาท (ถ้าทะลุ เสี่ยงต่อการขยายระยะเวลา Trading Alert หรือขยับ Level) ระยะสั้น เรายังแนะนำ Take profit
OSP
โอสถสภา
เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศและมาร์จิ้น หนุน 3Q25
เราคาดกำไร 3Q25 อยู่ที่ 700 ลบ. เพิ่ม 4% YoY และ ลด 31% QoQ ตามที่เราเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า เครื่องดื่มชูกำลังในประเทศรายได้เติบโต 5%YoY ใน 3Q25 ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลังต่างประเทศรายได้ลดลง 15% YoY จากประเทศพม่า อินโดนีเซีย และกัมพูชา จากสภาพเศรษฐกิจ การปิดด่าน และความไม่มั่นคงทางการเมือง
View from fundamental: เราคงประมาณการปี 2025 ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 3.39 พันลบ. เติบโต 12% YoY โดยมองว่ากำไรใน 4Q25 จะสูงขึ้นเล็กน้อย YoY และ QoQ จากธุรกิจในประเทศ คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 19 บาท
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน