หุ้นโรงกลั่นในไทย อาจเป็นพระเอกของ SET วันนี้

HORIZON MARKET VIEW
• ช่วง 2 วันที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาแรงเกิน 7% ทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตร LUKOIL และ ROSNEFT บริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่ ของรัสเซีย (เกือบ 50% ของการส่งออกน้ำมัน) หวังกดดันรัสเซียให้ยุติสงครามใน ยูเครน ทำให้เกิดกังวลต่ออุปทานโลกชะลอตัว คาดเป็นแรงหนุนเก็งกำไรในหุ้นกลุ่ม พลังงาน-โรงกลั่น อาทิ PTT PTTEP BCP SPRC BSRC TOP

• ในแง่มุมของตลาดหุ้นโลก ดูมีความหวังจากสัญญาณการคลี่คลายความตึงเครียด ระหว่างสหรัฐฯ–จีน หลังมีกำหนดการนัดหมายเจรจาของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ

• คืนนี้จับตาตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ก.ย. 68 โดย CONSENSUS คาด +3.1%YOY ขยายตัวสูงกว่าเดือนก่อนที่ +2.9%YOY อย่างไรก็ตาม ตลาดมองว่า FED จะเน้นดูข้อมูลตลาดแรงงานมากกว่าข้อมูลเงินเฟ้อในการตัดสินใจ

 

REGION RADAR
• ยอดขาย RETAIL SALES ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาพบว่ายอดขาย เครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโต 3% YOY แม้ปีก่อนเป็นฐานที่สูงจาก TRADEIN PROGRAM บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นได้ในเดือน ก.ย. ได้แก่ MIDEA และ XIAOMI

• ราคาขายเครี่องปรับอากาศในเดือนช่วงกลางเดือน ต.ค. ผ่าน ช่องทางซื้อขายออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงราคาขายที่สามารถปรับ เพิ่มขึ้นได้สะท้อนถึงการแข่งขันด้านราคาที่ลดลง แนะนำเก็งกำไร MIDEA (300 HK) และ HAIER (DR:HAIER19)

 

THAI FOCUS
• ประเด็นสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงิน มี 3 ปัจจัยหลักที่ กนง. นำมาพิจารณากับทิศทางดอกเบี้ย ได้แก่ เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และ เสถียรภาพระบบการเงิน

• ธปท. มองการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ สามารถรองรับ ความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งและอยู่ระหว่างส่งผ่านไปยังเศรษฐกิจ- เงินเฟ้อ (คาดใช้ระยะวลาราว 4-6 ไตรมาส) ขณะที่ปัจจุบันดอกเบี้ย 1.50% อยู่ ในระดับผ่อนคลาย ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในภาพรวม จึง คาดหมายว่าการลดดอกเบี้ยในการประชุม ธ.ค.68 น้อยลง

 

SYNAPSE STRATEGY
• ปัจจัยภายนอกประเทศที่ผ่อนคลายลง + ปัจจัยในประเทศอย่าง นโยบายการคลังช่วยหนุนอยู่ น่าจะสร้าง MOMENTUM เชิงบวกต่อ SET INDEX โดยเริ่มเห็น FLOW ต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทย WTD กว่า 169 ล้านเหรียญฯ(มากสุดในภูมิภาค)

• ส่วน TOPPICK 3 บริษัท เลือก BLA(BOND YIELD 10 ปีไทยอยู่ ระดับสูง), CPALL(บริษัทซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง + นโยบายภาครัฐฯ) และ TOP(ได้ SENTIMENT ราคาน้ำมันดิบโลกดีดตัวแรง)

 

HORIZON MARKET VIEW

สหรัฐฯ เดินเกมส์คว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซีย พร้อมจับตาคุยดีลการค้ากับจีน
ช่วง 2 วันที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมาแรงเกิน 7% ทำจุดสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังสหรัฐฯ ประกาศคว่ำ บาตร LUKOIL และ ROSNEFT บริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซีย (เกือบ 50% ของการส่งออกน้ำมัน) หวัง กดดันรัสเซียให้ยุติสงครามในยูเครน ทำให้เกิดกังวลต่ออุปทานโลกชะลอตัว

 

กระแสราคาน้ำมันดีดตัว ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ไม่แน่นอน คาดเป็นแรงหนุนเก็งกำไรในหุ้นกลุ่ม พลังงาน-โรงกลั่น อาทิ PTT PTTEP BCP SPRC BSRC TOP ซึ่งอาจเป็นกลุ่มอุตสาหรรมที่พยุง SET ในวันนี้ เนื่องจากมีสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 3 ของน้ำหนักทั้งหมดเป็นตัว

 

ในแง่มุมของตลาดหุ้นโลก ดูมีความหวังจากสัญญาณการคลี่คลายความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ–จีน หลังมี กำหนดการนัดหมายเจรจาของผู้นำทั้ง 2 ประเทศ

 

• วันที่ 24 – 27 ต.ค. 68 เหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีของจีน จะเข้าร่วมการเจรจาการค้ารอบใหม่กับ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายที่จะคลี่คลายความตึงเครียดด้านการค้าระหว่าง สองประเทศ

• วันที่ 30 ต.ค. 68 ปธนซ ทรัมป์และสี จิ้นผิงจะพบกัน ในการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ การพบกันครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้า และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความสัมพันธ์ ระหว่างสองมหาอำนาจ

 

อีกประเด็นที่น่าจับตาในคืนนี้คือ การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ก.ย. 68 โดย CONSENSUS คาด +3.1%YOY ขยายตัวสูงกว่าเดือนก่อนที่ +2.9%YOY อย่างไรก็ตาม ตลาดมองว่า FED จะเน้นดูข้อมูล ตลาดแรงงานมากกว่าข้อมูลเงินเฟ้อในการตัดสินใจ

 

REGION RADAR

ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าจีนในเดือน ก.ย. ยังโตได้แม้ฐานสูงจากปีก่อน
ยอดขาย RETAIL SALES ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาพบว่ายอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโต 3% YOY แม้ปีก่อนเป็น ฐานที่สูงจาก TRADE-IN PROGRAM (นโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมให้ประชาชนนำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้า ใหม่) โดยหากมาดูยอดขายรายบริษัทพบว่า บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นได้ในเดือน ก.ย. ได้แก่ MIDEA และ XIAOMI

 

อีกทั้งราคาขายเครี่องปรับอากาศในเดือนช่วงกลางเดือน ต.ค. ผ่านช่องทางซื้อขายออนไลน์อย่าง JD.COM แสดงให้เห็นถึงราคาขายของ MIDEA และ HISENSE ที่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับราคาในเดือน ส.ค. ที่ ผ่านมา สะท้อนถึงการแข่งขันด้านราคาที่ลดลง

 

โดยหุ้นในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้ามี VALUATION ที่ค่อนข้างน่าสนใจ FORWARD P/E 2025 เฉลี่ยอยู่ที่ราว 10 เท่า ยกเว้นหุ้น XIAOMI เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทคือโทรศัพท์และรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ หุ้นเครื่องใช้ไฟฟ้ามี การจ่ายปันผลในระดับที่สูงราว 5%-6% แนะนำเก็งกำไร MIDEA (300 HK) และ HAIER (DR:HAIER19) จากภาพ การแข่งขันด้านสงครามราคาในอุตสาหกรรมนี้ที่ลดลง

 

THAI FOCUS

ธปท. มองดอกเบี้ยนโยบายของไทย “ยังเป็นใจ” ต่อเศรษฐกิจขยายตัว
ประเด็นสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงิน มี 3 ปัจจัยหลักที่ กนง. นำมาพิจารณา ได้แก่ เศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และ เสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งในการประชุม MONETARY POLICY FORUM 3/2568ธปท. มีมุมมองดังนี้

 

“เศรษฐกิจไทย” มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้โดยจะขยายตัวที่ +2.2% ในปี 2568 และ +1.6% ในปี 2569 สำหรับ GDP GROWTH ไทย ในช่วง 1H68 ขยายตัว +3% จากการเร่งผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐฯ ขณะที่ ช่วง 2H68 มีแนวโน้มชะลอลงจากภาคการผลิตส่วนหนึ่งจากปัจจัยชั่วคราวและการส่งออกเริ่มได้รับผลกระทบ จากมาตรการภาษีสหรัฐฯ ส่วนภาคการท่องเที่ยวจะทยอยฟื้นตัว ทั้งนี้ คาดว่า 3Q68 จะขยายตัวได้ +1.5% และ 4Q68 จะขยายตัวได้ +1.3% (มีมาตรการภาครัฐเข้ามาช่วยเพิ่มเติม) อย่างไรก็ดี ในปี2569 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ ตามการส่งออกจากผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ รวมถึงภาคท่องเที่ยวและภาคผลิตที่ยังเผชิญปัญหาการแข่งขัน

 

“เงินเฟ้อไทย” อยู่ในระดับ แต่ยังไม่เข้าข่ายภาวะเงินฝืด โดย ธปท. ประเมินว่า CPI ปีนี้จะอยู่ที่ 0.0% คาดว่าจะ กลับเป็บวกใน 2Q69 และกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2570 ซึ่งยังไม่ได้สะท้อนถึงภาวะเงินฝืด เป็นเพราะราคา สินค้าและบริการอื่นไม่ได้ปรับลดลงต่อเนื่องและเป็นวงกว้าง อีกทั้งเครื่องชี้แรงกดดันด้านราคาที่สะท้อนแนวโน้ม เงินเฟ้อ (UNDERLYING INFLATION INDICATORS) ยังทรงตัวใกล้เคียงอดีต รวมถึงเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะ ปานกลางยังยึดเหนี่ยวได้ดี

 

“เสถียรภาพระบบการเงิน” สินเชื่อหดตัวจาก (1) ความต้องการสินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปรับลดลงตาม ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ (2) ความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง โดยเฉพาะ SMES และครัวเรือนรายได้ต่ำ (3) การชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ขณะที่เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนและแข็ง ค่าเทียบไตรมาสก่อนจากปัจจัยภายนอก

 

สรุป ธปท. มองการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปีนี้ สามารถรองรับความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งและอยู่ระหว่าง ส่งผ่านไปยังเศรษฐกิจ- เงินเฟ้อ (คาดใช้เระยะวลาราว 4-6 ไตรมาส) ขณะที่ปัจจุบันดอกเบี้ย 1.5% อยู่ในระดับ ผ่อนคลาย ซึ่งไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในภาพรวม

 

SYNAPSE STRATEGY

กลยุทธ์การลงทุนควรไปทางไหน ในยามที่ FUND FLOW ต่างชาติเริ่มสนใจหุ้นไทย
สัปดาห์นี้ มีหลายสินทรัพย์ถูกกดดันให้ผันผวน อาทิ ทองคำ ทำให้นักลงทุนอยู่ในภาวะระมัดระวังมากขึ้น แต่ ภาพรวมๆ เม็ดเงินยังโน้มเอียงเข้าตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงไทย ที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิราว 169 ล้านเหรียญฯ มากสุดในภูมิภาค(WTD) ตามสถิติที่เวลา SPREAD ของดอกเบี้ยสหรัฐฯ-ไทย น้อยลง มักหนุนให้ค่าเงินบาทแข็ง ค่า และเป็นหนึ่งปัจจัยให้ FLOW ต่างชาติทยอยไหลเข้า ดังนั้นจึงเห็นมูลค่าการซื้อขายของ SET วันอังคารที่ผ่าน มา อยู่ที่ระดับ 5.1 หมื่นล้านบาท(เกือบแตะระดับ +1SD.ของข้อมูลเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี)

 

ในมุมเปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้นแต่ละประเทศ จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ต้นปี(YTD)ตลาดหุ้นไทย -7.0% ]งมา เยอะกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ แต่เริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ต้นสัปดาห์(WTD) +2.2% ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดว่าปัจจัย ภายนอกประเทศที่ผ่อนคลายลง + ปัจจัยในประเทศอย่างนโยบายการคลังช่วยหนุนอยู่ น่าจะสร้าง MOMENTUM เชิงบวกต่อ SET INDEX ได้ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมหุ้นที่น่าลงทุน หากมองผ่านการเปรียบเทียบ VOLATILITY 60 วัน และ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นสัปดาห์(WTD) พบว่า กลุ่มที่มีความผันผวนต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ และ ได้รับความสนใจจากนักลงทุน คือ 1. BANK 2. INSUR 3. ICT 4. ENERG เป็นต้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน ฝ่าย วิจัยฯ แนะนำสะสมหุ้นใน 4 อุตสาหกรรมดังกล่าว ชื่นชอบ KTB KBANK BLA TLI ADVANC PTT PTTEP TOP ส่วน TOPPICK เลือก BLA(BOND YIELD 10 ปีไทยอยู่ระดับสูง), CPALL(บริษัทซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง + นโยบาย ภาครัฐฯ) และTOP(ได้ SENTIMENT น้ำมันดิบโลกดีดตัวแรง)

Research Division
จัดทำโดย
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ภวัต ภัทราพงศ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 117985
สิริลักษณ์ พันธ์วงค์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์