KKP : ผลประกอบการและประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ (3Q25)

KKP รายงานกำไรสุทธิใน 3Q25 ที่ 1.67 พันล้านบาท (+28% YoY / +18% QoQ) สูงกว่าที่เราคาดการณ์และ Bloomberg consensus ถึง 35% และ 32% ตามลำดับ จากกำไร FVTPL ที่ 663 ล้านบาท รายได้ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความมั่งคั่งยังคงแข็งแกร่ง แต่รายได้จากธุรกิจสินเชื่ออ่อนตัวลง

มุมมองของเราหลังการประชุม : เป็นกลาง ผลประกอบการอาจยังคงผันผวนตามลักษณะธุรกิจ ขณะที่อัตราผลตอบแทนเงินปันผลดูน่าสนใจ (6%) พร้อมกับการซื้อหุ้นคืน แต่ปัจจัยเหล่านี้น่าจะสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแล้ว เราจึงคงคำแนะนำ "ถือ" โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 50 บาท

ประเด็นจาก CEO
• CEO ของ KKP ระบุว่านี่เป็นไตรมาสแรกในรอบหลายปีที่กำไรสุทธิ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลักของผู้บริหาร สูงกว่า 2 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่ลดลงจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น (หนี้สูญที่ลดลงและการเข้าซื้อกิจการใหม่ที่ดี นอกเหนือจาก YFWH) และธุรกิจตลาดทุน ผลประกอบการที่ดีมาจากการบริหารความมั่งคั่ง กองทุนรวม และ Dime! ขณะที่ผลประกอบการของ IB และ SAM ยังคงอ่อนแอ
• เขายังย้ำว่า ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่เอื้ออำนวย ธนาคารจะยังคงบริหารจัดการเงินทุนอย่างต่อเนื่องและใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เงินปันผลที่สูง และหุ้นที่ซื้อคืน เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น

ธุรกิจสินเชื่อ
• ยอดขายรถยนต์ยึดคืนใน 3Q25 ทรงตัว QoQ แต่ลดลง 41% YoY จำนวนรถยนต์ที่ขายได้ลดลง 40% เช่นกัน ปัจจุบันมีรถยนต์คงเหลือต่ำกว่า 2,000 คัน ขาดทุนต่อคันลดลงเหลือ 1.5 แสนบาท (เทียบกับ 2 แสนบาทในปีก่อน)
• ธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ประการแรก ตลาดโดยรวมหดตัวลงเนื่องจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงขึ้น ประการที่สอง อัตราการผ่อนชำระยังคงสูงกว่าสินเชื่อเช่าซื้อใหม่ สำหรับสินเชื่อรายย่อย ธนาคารเคยปล่อยสินเชื่อใหม่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 5 พันล้านบาทต่อเดือน ทำให้ยอดผ่อนชำระยังคงสูงกว่าสินเชื่อใหม่ ส่วนสินเชื่อรายย่อยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 5.5-6 พันล้านบาท ประการสุดท้าย ธนาคารไม่พิจารณาแนวคิดที่จะเปลี่ยนสินเชื่อไปสู่สินเชื่อคุณภาพสูงที่ให้ผลตอบแทนต่ำ และเชื่อว่าการคืนมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านเงินปันผลหรือหุ้นซื้อคืนจะดีกว่าสำหรับผู้ถือหุ้น
• แม้ว่าธนาคารจะได้รับเงินทุนใหม่จากการแปลงสภาพหุ้น KKP-W6 ธนาคารก็ยังคงดำเนินกลยุทธ์ในการบริหารจัดการเงินทุนต่อไป (เช่น การซื้อหุ้นซื้อคืนหรือการจ่ายเงินปันผล)

ตลาดทุน/ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง
• สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YTD) โดยมีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ที่สูงขึ้นเช่นกัน (ปัจจุบันอยู่ที่ 24 bps)
• ยอดคงค้างสินเชื่อ Lombard ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลักทรัพย์ค้ำประกันส่วนใหญ่เป็นหุ้นไทย เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลดลง ธนาคารได้ขอหลักทรัพย์ค้ำประกันเพิ่ม แต่ลูกค้าไม่ต้องการเพิ่มมูลค่า จึงขายหรือปิดสถานะ ทำให้ยอดคงค้างลดลง
• มูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (FVTPL) ประกอบด้วยกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงและกำไรที่รับรู้จากกิจกรรมการซื้อขายในสินทรัพย์หลายประเภท กำไรจากการปรับมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท จากยอดรวม 663 ล้านบาท