Equality for All
SCC : บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย
คาด 3Q25 พลิกขาดทุน 761 ลบ. จากส่วนต่างราคาลดลง และค่าใช้จ่ายพิเศษจากเริ่มผลิตที่ LSP : เราคาดการดำเนินงาน 3Q25 ในกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้
ปูนซีเมนต์ ในไทยยังได้ผลบวกจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นตามการเบิกจ่ายของภาครัฐและราคาขายเพิ่มขึ้น ส่วนที่ต่างประเทศ เวียดนาม และกัมพูชา หดตัวตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่อินโดนีเซียเป็นฤดูขาย
วัสดุก่อสร้าง คาดยอดขายหดตัว q-q ตามปัจจัยฤดูกาล โดยเฉพาะในเวียดนาม แต่จากการเน้นลดต้นทุนการผลิตทำให้แนวโน้ม EBITDA ยังดีต่อเนื่อง
บรรจุภัณฑ์ คาด EBITDA ดีขึ้นจากการลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการลดดอกเบี้ยจ่ายลง
ปิโตรเคมี คาดการดำเนินงานหดตัว q-q จากส่วนต่างราคา HDPE -31 เหรียญ/ ตัน และ PP -55 เหรียญ/ ตัน อีกทั้งไตรมาสนี้เริ่มผลิตโรงงาน LSP ราว 2 เดือนทำให้มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกิดขึ้นประกอบด้วย 1) ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นผลิต (startup cost) ราว 10 ล้านเหรียญ และ 2) มีการปรับมูลค่าสินค้าคงคลัง (NRV) เกิดขึ้นจากราคาขายที่ต่ำกว่าราคาตลาดราว -255 ลบ. ขณะที่การดำเนินงานในไทย คาดผลกระทบจำกัดเนื่องจากมีการขายสินค้ากลุ่ม HVA ซึ่งมีราคาขายเพิ่มจากสินค้า commodity ราว 100 เหรียญมาชดเชยได้
อีกทั้งไตรมาสนี้ คาดการรับรู้เงินปันผลรับจากบริษัทร่วมจะลดลง q-q อีกด้วย ทำให้คาดหมายการดำเนินงานจะพลิกมาขาดทุน 761 ลบ.
คาดการดำเนินงาน LSP จะยังขาดทุนต่อ : แนวโน้มการดำเนินงานของ LSP ยังถูกกดดันจาก
สินค้าที่ผลิต : สินค้าที่ผลิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม commodity ทำให้ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์มากกว่าในไทยซึ่งมีสัดส่วนการผลิต HVA มากกว่า
ราคาขาย ราคาขายในตลาดเวียดนามจะมีส่วนลดจากราคาตลาดราว 50 เหรียญต่อตันทำให้เป็นอีกปัจจัยกดดันการดำเนินงาน
จากส่วนต่างราคาล่าสุดที่ราว 320 เหรียญ/ ตัน ทำให้แนวโน้มการดำเนินงานอาจยังถูกกดดันจากประเด็นดังกล่าว คงต้องรอดู ผบห. จะตัดสินใจผลิตต่อหรือหยุดผลิตชั่วคราวอีกครั้ง ซึ่งหากมีการหยุดผลิตอาจมีค่าใช้จ่ายพิเศษอีกจำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าหลังการปรับใช้อีเทนมาเป็นวัตถุดิบจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ปลายปี 2027 เป็นต้นไป
ระยะสั้นกดดันจากงบ
“ จากแนวโน้มการดำเนินงาน 3Q25 ที่คาดจะพลิกมาขาดทุนอีกครั้ง ขณะที่ช่วงที่เหลือของปีคาดกลุ่มอื่น ๆ กลับมาฟื้นตัว q-q ได้ คงรอเพียงกลุ่มปิโตรฯ ว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์จะฟื้นตัวได้หรือไม่ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะผลิตหรือไม่ผลิตต่อที่ LSP ซึ่งเพิ่งเริ่มกลับมาผลิตช่วง ส.ค. ที่ผ่านมา
ระยะสั้นคาดราคาหุ้นถูกกดดันจากแนวโน้มการดำเนินงานที่จะพลิกมาขาดทุนอีกครั้ง คงต้องรอดูว่าหลังจากนี้ ส่วนต่างราคาจะกลับมาฟื้นตัวได้หรือไม่ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปี
นักลงทุนที่ยังไม่มีอาจรอก่อนได้ ส่วนนักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำๆ ยังถือได้จากผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตปิโตรของประเทศต่างๆ รออยู่ข้างหน้า ”
นารี อภิเศวตกานต์
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน #17971
naree.a@liberator.co.thจาก