สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(6 ตุลาคม 2568)----ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเชื่อว่าอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือนก.ย.68 จะลดลงเล็กน้อยจากเดือนส.ค.68 เพราะ calendar effect และฐานที่สูง โดยเดือนก.ย. มีวันหยุดทั้งหมด 8 วันเทียบกับ 9 วันของปีก่อนหน้า ส่วนเดือนส.ค. 68 ได้ประโยชน์จากวันหยุด 12 วันเทียบกับเพียง 10 วันในเดือนส.ค.67 ทั้งนี้ ยอดขายช่วงวันหยุดจะสูงกว่าวันธรรมดาประมาณ 10-20% จึงทำให้ run rate (อัตราการสร้างรายได้) ในเดือนก.ย. ลดลง
นอกจากนี้ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนก.ย. ยังได้รับผลกระทบจากฐานที่สูง จากการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตในปีที่แล้ว ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารในร้าน hypermarket และร้าน lifestyle แต่หากตัดผลกระทบเหล่านี้ออกไป คาดว่า SSSG ช่วงเดือนก.ค.ถึงเดือนก.ย.จะค่อนข้างทรงตัว แสดงให้เห็นว่ายอดขายยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัวในไตรมาส 3/68
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่า กลุ่มค้าปลีกจะมี SSSG อ่อนตัวในไตรมาส 3/68 เนื่องจากผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่มียอดขายสาขาเดิมเติบโตติดลบ ยกเว้น MOSHI ที่บวก 5.3%, MegaHome บวก 0.8% และ Makro บวก 0.2% ขณะที่ Lotus’s น่าจะมี SSSG กลับมาเป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.2% เนื่องจากธุรกิจในมาเลเซียมีผลประกอบการ แข็งแกร่งภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้ว่าธุรกิจในไทยน่าจะยังมี SSSG ติดลบที่ 2.5% อย่างไรก็ตาม มองว่ากลุ่ม home improvement เป็นกลุ่มย่อยที่ได้รับผลกระทบหนักสุด เนื่องจากผู้ประกอบการทุกราย มี SSSG ติดลบ
ส่วน MegaHome ที่มียอดขายเติบโตเล็กน้อย เป็นเพราะสาขา hybrid ที่เปิดควบคู่กับ HMPRO (สาขาที่มีร้าน HomePro เปิดอยู่กับร้าน MegaHome ซึ่งยอดขายจะนับรวมเข้ากับ SSSG ของ MegaHome) โดยเชื่อว่าตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าอุปสงค์ของสินค้าฟุ่มเฟือยและวัสดุก่อสร้างยังคงอ่อนตัว และมีเพียงรายการทางบัญชีที่ช่วยลดผลกระทบชั่วคราว
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4/68 ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI คาดว่าโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.68 จะทำให้ SSSG ของผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคผันผวนอย่างหนัก โดยในกรณีที่เครือข่ายร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ (chain retailer) ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเหมือนที่ผ่านมา จะทำให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าในร้านโชห่วยแทนร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) ซึ่งตามความเห็นของฝ่ายวิเคราะห์ฯ มองว่า CPALL น่าจะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากร้าน 7- Eleven พึ่งพาการซื้อสินค้าประจำวันที่มียอดซื้อต่อบิลต่ำ รองลงมาคือ supermarkets และ hypermarkets
ในทางกลับกัน CPAXT น่าจะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิเคราะห์ฯทำการศึกษาเพียงบริษัทเดียวที่จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้ เนื่องจากยอดขาย 22% ของ Makro ในครึ่งปีแรก 68 มาจากการขายสินค้าให้กับร้านโชห่วย ซึ่งน่าจะมากพอชดเชยผลกระทบจาก Lotus’s ขณะเดียวกัน แม้ว่า BigC จะได้แรงหนุนจากเครือข่ายร้านแฟรนไชส์ “โดนใจ” (2% ของยอดขายในครึ่งปีแรก 68) แต่ก็น่าจะน้อยเกินไปและไม่พอชดเชยผลประกอบการที่อ่อนตัวของ BigC Mini และ supermarket ดังนั้น เมื่อหักลบกันแล้ว เชื่อว่าสถานการณ์ไตรมาส 4/68 ของ CPAXT น่าจะดีสุด ส่วน CPALL น่าจะมี downside risk สูงสุด
ฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดว่า ผู้ค้าปลีกที่จำหน่ายสินค้าฟุ่มเฟือยจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากโครงการคนละครึ่ง เนื่องจากผู้ได้รับสิทธิอาจนำเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย ไปซื้อสินค้าที่ไม่มีจำหน่ายในร้านโชห่วยหรือซื้อสินค้าที่มีคุณภาพสูงกว่าในร้านค้าสมัยใหม่ ซึ่งมองว่า MOSHI เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะสินค้ามีราคาถูกและเป็นสินค้าประเภทที่สามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าโดยไม่ได้วางแผน ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เชื่อว่าผู้ค้าปลีกสินค้า home improvement จะไม่ได้ประโยชน์ เพราะพึ่งพาการขายสินค้าที่มียอดซื้อต่อบิลสูงและยังขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น ดังนั้นกลุ่ม home improvement จึงน่าจะยังมีผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 4/68 แม้ว่าฐานที่ต่ำในไตรมาส 4/67 จะช่วยลดผลกระทบต่อกำไร
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า แม้ว่า MOSHI และ CPAXT น่าจะมี upside risk เฉพาะของบริษัท แต่เชื่อว่ากลุ่มค้าปลีกยังขาดปัจจัยขับเคลื่อนในวงกว้าง สาเหตุน่าจะเป็นเพราะการบริโภคยังฟื้นตัวช้าและไม่ทั่วถึง, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยหนุนธุรกิจแค่ชั่วคราว และกลุ่มนี้ยังเผชิญกับปัจจัยลบเชิงโครงสร้าง นอกจากนี้ กลุ่มค้าปลีก ยังมีการประเมินมูลค่าสูงและกำไรมีความเสี่ยงชัดเจน จึงแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) กลุ่มค้าปลีก
โดยมองว่า upside risk น่าจะมาจากนโยบายของรัฐ เช่นการที่ chain retailer เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง และมีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเร็วกว่าคาด ส่วน downside risk จะมาจากการบริโภคที่ยังคงซบเซาและเงินบาทที่แข็งค่าฉุดการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว