สำนักข่าวหุ้นอินไซด์ (29 กันยายน 2568 )-----Key highlights
• SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยโต 1.8% ปีนี้ และชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 2569 โดยช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจโตเฉลี่ยไม่ถึง 1% และยังเสี่ยง Technical recession
• แรงส่งหลักของเศรษฐกิจจะแผ่วลง ความท้าทายภายนอกและภายในจะมาพร้อมข้อจำกัดการคลังที่มากขึ้น
• เศรษฐกิจไทยจะพึ่งพาโลกได้ยากขึ้น
o สงครามการค้า : ภาษีสหรัฐฯ 19% เริ่มกดดัน ส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ชะลอลง สินค้าหลายกลุ่มเริ่มหดตัวและมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
o บาทแข็งนำสกุลอื่น : แข็งสุดตั้งแต่เกิดวิกฤติปี 2540 ไม่สอดคล้องปัจจัยพื้นฐาน ยิ่งกดดันส่งออกและท่องเที่ยว
o นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปีก่อน มีสัญญาณพ้นจุดต่ำสุด : นักท่องเที่ยวใช้จ่ายระวังขึ้น ไทยอาจเสียเปรียบคู่แข่งจากบาทแข็ง
• ภายในประเทศจะเปราะบางขึ้น
o ธุรกิจ SMEs เปราะบาง : รายได้เฉลี่ยยังต่ำกว่าก่อนโควิด กำไรต่ำ บริษัท “ผีดิบ” เพิ่มขึ้น
o ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ : ว่างงานบางกลุ่มสูงขึ้น ชั่วโมงทำงานลด รายได้ลดลง
o ข้อจำกัดการคลัง : เสี่ยงเบิกจ่ายช้า หนี้สาธารณะใกล้แตะเพดาน เสี่ยงถูกลดอันดับเครดิตประเทศ
• SCB EIC มอง กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% และอีก 1 ครั้งต้นปีหน้าเหลือ 1% เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงิน ช่วยลดภาระหนี้และความเสี่ยงเครดิต
• รัฐบาลใหม่ควรเน้นนโยบายเศรษฐกิจ 3 ด้าน (3S) ได้แก่ 1) Stabilize เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น เน้นเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและการผลักดันที่มีประสิทธิภาพ 2) Stimulate
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ควบคู่กับการผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกค้ำประกันสินเชื่อ และการดูแลค่าเงินบาท และ 3) Structural reform ยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค การจัดหาตลาดใหม่ และการผลักดัน Green investment ตลอดจนการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ผ่านวางกรอบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคต การพัฒนาทักษะของแรงงาน และการปฏิรูปการคลัง
• มองเศรษฐกิจโลกโตชะลอลงเหลือ 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ในปี 2569 จากผลนโยบาย Trump กดดันการค้าการลงทุนโลก แต่ในระยะต่อไปจะมีแรงขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล AI และพลังงานสะอาด เร่งเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ และกระแส Friendshoring, Reshoring และ Nearshoring
• ไทยต้องเร่งโอกาสดึงดูด FDI อย่างมีกลยุทธ์ท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว
o FDI ไทยยังมีโอกาสขยายตัว โดยเฉพาะกลุ่ม Data center และ Future food ขณะที่อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ยังเติบโตได้ แต่เผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าโลกและการไหลกลับของเงินลงทุนไป USMCA, ญี่ปุ่น และ EU ที่ได้เปรียบข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งนี้ความท้าทายด้านการแข่งขันและเงื่อนไขการลงทุนของไทยยังมีมากขึ้น
o ผู้ประกอบการไทยต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต–ทักษะแรงงาน–เชื่อม Supply chain โลก
o ภาครัฐต้องเร่งปรับกฎระเบียบ–ลดอุปสรรคขั้นตอน–สร้าง Ecosystem เอื้อการลงทุน
เศรษฐกิจไทยจะโตต่ำในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า จากปัจจัยท้าทายภายนอกซ้ำเติมความเปราะบางภายใน
SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยจะเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ภายนอกท้าทายมากขึ้นจากสงครามการค้าและตลาดการเงินโลกผันผวน ภายในท้าทายมากขึ้นจากความเปราะบางในภาคธุรกิจ, ครัวเรือน และข้อจำกัดการคลัง เศรษฐกิจไทยจึงมีแนวโน้มขยายตัวต่ำต่อเนื่อง โดยปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.8% และชะลอลงเหลือ 1.5% ในปี 2569 ความท้าทายภายนอก : โลกผันผวน อุปสงค์โลกชะลอตัว ไทยจะพึ่งพาโลกได้ยากขึ้น
• ส่งออกชะลอ : ส่งออกไทยขยายตัวดีช่วง 8 เดือนแรกของปีจากการเร่ง Front-loading ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นและการส่งออกทองคำที่เร่งสูงตั้งแต่ต้นปี สัญญาณส่งออกชะลอลงชัดเจนขึ้นในเดือนสิงหาคม ที่ภาษีสหรัฐฯ 19% เริ่มใช้ช่วงต้นเดือน กลุ่มสินค้าหลักที่ขยายตัวสูงในตลาดสหรัฐฯ เหลือแค่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สหรัฐฯ ยังยกเว้นการขึ้นภาษี ขณะที่หลายกลุ่มสินค้าพลิกกลับมาหดตัว SCB EIC มองส่งออกไทยจะหดตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้และหดตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพราะ Front-loading ไปมากแล้ว และยังต้องเจอกำแพงภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐฯ หลายรูปแบบที่มีความซับซ้อนและไม่แน่นอนสูง ในภาวะอุปสงค์โลกที่จะชะลอตัวลงด้วย
• บาทแข็งกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม : ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นเร็วในปีนี้กว่า 8% แข็งสุดในรอบ 4 ปี และแข็งนำคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินบาทเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งสำคัญแข็งค่ามากที่สุดตั้งแต่วิกฤติ 2540 โดยมีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐและจากปัจจัยภายในของไทย ทั้งจากการส่งออกทองคำที่พุ่งสูงขึ้นมากตามราคาทองคำที่สูงขึ้นเร็ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และเงินทุนที่ไหลเข้าตลาดพันธบัตร การแข็งค่าของเงินบาทมากเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ เงินบาทจึงอาจกลายเป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม (Shock amplifier) กระทบความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกซ้ำเติมผลกระทบภาษีทรัมป์ รวมถึงกดดันการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงจากบาทแข็ง ได้แก่ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกสูงและใช้ปัจจัยการผลิตจากในประเทศเป็นหลัก เช่น สินค้าเกษตร รวมถึงธุรกิจบริการที่พึ่งพารายได้ต่างชาติสูง เช่น ภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการแปลงรายได้ดอลลาร์สหรัฐเป็นรูปเงินบาทเพื่อจ่ายค่าวัตถุดิบและค่าจ้าง ในช่วงบาทแข็งอาจขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
• นักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำกว่าปีก่อนมาก แต่เริ่มมีสัญญาณพ้นจุดต่ำสุด : นักท่องเที่ยวจีนยังต่ำกว่าปีที่แล้ว แต่เริ่มหดตัวน้อยลง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีแนวโน้มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการแข่งขันดึงดูดนักท่องเที่ยวในเอเชีย ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักของไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับหลายประเทศ นอกจากนี้เงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องเสี่ยงจะทำให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขัน ทั้งกับประเทศปลายทางอื่น โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่ค่าเงินอ่อนค่ากว่าประเทศอื่นในปีนี้ และการดึงดูดนักท่องเที่ยวอินเดีย, สหรัฐฯ และจีนที่สกุลเงินอ่อนค่ากว่าเงินบาท ทำให้การฟื้นตัวนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะข้างหน้ายังมีความท้าทายความท้าทายภายใน : ธุรกิจเปราะบาง ตลาดแรงงานอ่อนแอ การคลังเจอข้อจำกัด
• ธุรกิจรายได้ไม่ฟื้น กำไรต่ำ : ภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs ยังเปราะบาง รายได้ธุรกิจฟื้นตัวแบบ K-shape กว้างขึ้น โดยรายได้ SMEs เฉลี่ยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ขณะที่สัดส่วนรายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ Top 1% ขยายตัวต่อเนื่องและมีสัดส่วนรายได้กว่า 76% ของรายได้รวมของภาคธุรกิจ สะท้อนการแข่งขันของ SMEs ที่ยากขึ้น ขณะที่สัดส่วนบริษัทผีดิบ (ธุรกิจที่กำไรไม่เพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ย ติดต่อ 3 ปี) กลับมาเร่งตัวในปี 2567 โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้รายได้ฟื้นตัวดีหลังโควิด แต่ความสามารถทำกำไรลดลงต่อเนื่องและฟื้นไม่เท่ากันในรายสาขา ธุรกิจอุตสาหกรรมยังเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนและความสามารถทำกำไรที่ยังไม่กลับสู่ระดับเดิม ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวเล็กน้อยในปีนี้และปีหน้า จากการนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุนที่มีต่อเนื่องในระยะข้างหน้าส่วนใหญ่จากการลงทุนของธุรกิจต่างชาติในอุตสาหกรรม Electronics EV และ Data center แม้อาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นไม่มากนัก เนื่องจาก Import content สูง แต่จะวางรากฐานของอุตสาหกรรม New S Curve ให้กับประเทศ
• ตลาดแรงงานเริ่มอ่อนแอ รายได้ลดลง : ตลาดแรงงานไทยเปราะบางมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีนี้ เห็นได้จากอัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมและอัตราการว่างงานของแรงงานจบใหม่ที่เร่งตัวขึ้น ชั่วโมงการทำงานลดลงทุกสาขา รวมถึงสัดส่วนผู้ทำงานต่ำระดับสูงขึ้น กดดันการฟื้นตัวของรายได้ในระยะข้างหน้าท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม แนวโน้มการจ้างงานในกลุ่มธุรกิจเสี่ยงมาก-ปานกลางเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ต้นปี สอดคล้องกับข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่า รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ลดลง
• ภาคการคลังมีข้อจำกัด : ในระยะสั้นเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจจะพยุงการบริโภคได้บ้าง แต่ผลต่อเศรษฐกิจไม่มากเพราะวงเงินไม่สูง หากเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกระทบกระบวนการจัดทำ พ.ร.บ. งบฯ ปี 2570 ส่งผลให้การเบิกจ่ายล่าช้า นอกจากนี้ หนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน 70% ในไม่ช้า เนื่องจากรัฐบาลลดการขาดดุลได้ยาก ภาระดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและรายจ่ายสวัสดิการสูงวัยปรับลดยาก รวมถึงแนวโน้มรายได้รัฐบาลต่ำมานาน เสถียรภาพการคลังในระยะปานกลางที่อาจแย่ลงเช่นนี้เป็นความเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางกรอบ ออกมาตรการ และสื่อสารแผนปฏิรูปการคลังที่ชัดเจนเพื่อลดความเสี่ยงนี้ลง
ดอกเบี้ยจะลดลงอีก ผ่อนคลายภาวะการเงินตึงตัว
SCB EIC ประเมิน กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้เหลือ 1.25% และอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า เหลือ 1%
เพื่อช่วยให้ภาวะการเงินผ่อนคลายมากขึ้น สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตชะลอลงในปีหน้า อัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน และคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ภาวะการเงินในช่วงที่ผ่านมายังตึงตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงที่ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต สินเชื่อที่หดตัวต่อเนื่อง และดัชนีค่าเงินบาทแข็งค่านำ โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยประคองเศรษฐกิจ ลดภาระหนี้ และเอื้อต่อกระบวนการ Deleveraging ลดหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนได้ แต่อาจไม่ช่วยให้สินเชื่อใหม่ฟื้นตัวได้มากนัก จากความระมัดระวังของทั้งสถาบันการเงินและผู้กู้โจทย์ท้าทายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่มี 3 ด้าน (3S) ได้แก่ 1) Stabilize เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้ฟื้นคืนมาหลังเศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ โดยต้องเน้นการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทำได้จริง ควบคู่กับการสื่อสารเชิงรุกและกระบวนการผลักดันที่มีประสิทธิภาพ 2) Stimulate เพื่อกระตุ้นอุปสงค์เศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง โดยเน้นมาตรการการคลังที่ตรงจุด รวดเร็วและชั่วคราว ตลอดจนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับเศรษฐกิจ ควบคู่กับผ่อนคลายภาวะการเงินที่ตึงตัว ผ่านการลดดอกเบี้ยนโยบาย การใช้กลไกการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อของ SME และการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าจนกระทบต่อภาคส่งออก และ 3) Structural reform ด้วยการยกระดับนโยบายภาครัฐเพื่อช่วยสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ ผ่านการแก้กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การจัดหาตลาดส่งออกใหม่ และการผลักดันการลงทุนด้าน Green transformation ตลอดจนการวางรากฐานของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ผ่านการวางกรอบนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตของประเทศ การพัฒนาทักษะของแรงงาน และการปฏิรูปการคลัง
เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวถึงปีหน้า ผลความไม่แน่นอนสงครามการค้า
SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 2569 จะได้รับผลกระทบจากนโยบาย Trump 2.0 มากขึ้น เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัว 2.5% ในปี 2568 และ 2.4% ปี 2569 ชะลอลงจาก 2.8% ในปีก่อน ผลจากสงครามการค้า แม้เศรษฐกิจโลกปรับดีขึ้นบ้างจากมุมมองช่วงกลางปี ตามการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่คืบหน้าและการเร่งผลิตส่งออกก่อนภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ประกาศใช้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง แม้สหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราศุลกากรตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal tariff) แล้ว แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะใช้ศุลกากรเฉพาะสินค้า (Sectoral tariff) และศุลกากรสินค้าสวมสิทธิ (Tariff on transshipped goods) เป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ต่อเนื่อง ซึ่งยังมีรายละเอียดไม่ชัดเจน
ทั้งนี้กำแพงภาษีสหรัฐฯ ยิ่งเร่งให้เศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว (Decoupling) และมีแนวโน้มกดดันการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการค้าระหว่างขั้ว มองไปข้างหน้ากิจกรรมเศรษฐกิจโลกจะถูกขับเคลื่อนจากกระแสการลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น ดิจิทัล เทคโนโลยี AI และพลังงานสะอาด ทิศทางการกระจายความเสี่ยงออกจากจีน (China +1) การย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศที่มีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ต่ำกว่า ประเทศใกล้เคียง หรือประเทศพันธมิตร (Nearshoring and Friendshoring) รวมถึงการเพิ่มการลงทุนและย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ (Reshoring) ส่วนหนึ่งเป็นผลจากข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ
นโยบายการคลังและนโยบายการเงินจะมีบทบาทพยุงเศรษฐกิจโลกมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจหลัก เช่น จีนขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นมาก ยุโรปคลายข้อจำกัดทางการคลังเพื่อเพิ่มงบประมาณแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การขาดดุลการคลังอาจเพิ่มความเสี่ยงทางการคลังที่มีอยู่ก่อนแล้วในหลายประเทศ สำหรับนโยบายการเงิน นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยแล้ว 25 bps และมีแนวโน้มลดเพิ่มอีก 100 bps ในช่วงที่เหลือของปี 2568 – ปี 2569 เพื่อพยุงตลาดแรงงานที่แย่ลงเร็ว แม้ยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้อจากกำแพงภาษีนำเข้า ด้านธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ยแล้ว 10 bps และมีแนวโน้มลดอีก 30 bps ควบคู่กับมาตรการการเงินเจาะจงภาคบริการและการผลิตขั้นสูง ด้านธนาคารกลางยุโรปจะลดดอกเบี้ยอีก 25 bps หลังจากปรับลดต่อเนื่องรวม 100 bps และจะสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงรอบนี้ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นดอกเบี้ย 25 bps ในช่วงต้นปี และมีแนวโน้มปรับขึ้นรวม 50 bps ในปี 2570 หลังผลกระทบภาษีทรัมป์, ปัจจัยการเมือง และผลการเจรจาค่าจ้างชัดเจนขึ้น
ไทยต้องเร่งโอกาสดึงดูด FDI อย่างมีกลยุทธ์ท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว
แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยยังมีโอกาสเติบโตบนความท้าทายสูงขึ้น แม้เจอนโยบายกำแพงภาษีของทรัมป์ อุตสาหกรรมที่ FDI ยังมีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มที่เติบโตรับเทรนด์อนาคต เช่น Data center และ Food for the future ขณะที่อุตสาหกรรมเป้าหมายเดิม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ มีแนวโน้มขยายตัวได้เพื่อรองรับตลาดโลก แต่อาจชะลอตัวจากบางปัจจัย เช่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐฯ และเงินลงทุนบางส่วนไหลเข้ากลุ่มประเทศ USMCA มากขึ้น ผลจากข้อได้เปรียบภาษีในตลาดสหรัฐฯ ที่สูงกว่า
นอกจากนี้ FDI ไทยในระยะข้างหน้ายังมีความท้าทายจากการแข่งขันดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติของคู่แข่งอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ที่กำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายและสิทธิประโยชน์ใกล้เคียงกับไทย อย่างไรก็ดี BOI ได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขส่งเสริมการลงทุนมีผลเดือน ก.ค. 2568 ในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ เช่น ปรับเงื่อนไขโครงการเดิมในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ งดส่งเสริมโครงการใหม่ที่ Oversupply หรือเสี่ยงจากการกีดกันการค้า เช่น Solar cell, เหล็ก รวมถึงส่งเสริมให้อุตสาหกรรมที่อาจมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น โลหะ, เคมีภัณฑ์ และพลาสติก ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น
ผู้ประกอบการของไทยจึงควรเร่งปรับตัวคว้าเงินลงทุนต่างชาติจากกระแส Friendshoring และ Nearshoring ทั้งการยกระดับศักยภาพและมาตรฐานการผลิตให้ตอบโจทย์โลก รวมถึงการสร้างพันธมิตร/รวมกลุ่ม Cluster การผลิต เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกับ Supply chain ต่างชาติที่เข้ามาลงทุน และเตรียมพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทักษะแรงงานและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องเตรียมความพร้อมรองรับการลงทุน
ภาครัฐสามารถมีบทบาทสนับสนุน ลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกธุรกิจเพื่อดึงดูดเงินลงทุน ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค การลดขั้นตอนที่ล้าช้า สร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุน ตลอดจนการเร่งเจรจาการค้าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อทิศทางนโยบายของรัฐบาลไทยเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกที่กำลังเปลี่ยนไป
โดย : ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC)
SCB EIC Online : www.scbeic.com
Line : @scbeic