ภาพตลาดและแนวโน้ม Market wrap & Outlook
แนวโน้มสินทรัพย์ต่างประเทศ
อัปเดตแนวโน้มตลาดหุ้นโลกและทองคำ
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกเริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร โดยดัชนี MSCI ทั้งฝั่งประเทศพัฒนาแล้ว (DM) และตลาดเกิดใหม่ (EM) ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ดัชนี MSCI ACWI ปิดลบ 0.5% สอดคล้องกับระดับ Momentum Tracker ที่เข้าสู่เขต overbought แล้ว ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้น 4.9% ขณะที่ราคาเงินและทองคำก็ปรับเพิ่มขึ้น 7.0% และ 2.0% ตามลำดับ สะท้อนแรงซื้อที่ไหลเข้าสู่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อันเป็นผลจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง
ในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ แม้แรงขายจะต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง แต่ขนาดของแรงกดดันยังจำกัด ส่งผลให้ดัชนีผลตอบแทนรวมของพันธบัตรรัฐบาลอายุ 7–10 ปี ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยที่ 0.4%
ส่วนตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวสอดคล้องไปกับทิศทางตลาดหุ้นโลก โดยปรับตัวลง 1.1% แรงขายค่อนข้างกระจายตัวออกไปใน 17 จาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มที่เผชิญกับแรงขายรุนแรงที่สุด ได้แก่ สื่อและสิ่งพิมพ์ -5.3% และรับเหมาก่อสร้าง -5.2%
ประเด็นสำคัญในต่างประเทศที่น่าสนใจ
ตามรายงานล่าสุดของ S&P Global Rating ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ของจีนกำลังเข้าสู่ภาวะญี่ปุ่น (Japanification) ซึ่งหมายถึงระยะที่เศรษฐกิจติดอยู่ในกับดักการเติบโตต่ำและกำไรที่ถดถอยอย่างยืดเยื้อ ลักษณะดังกล่าวเริ่มปรากฏชัดเจนในจีน หลังจากธนาคารต้องยอมลดส่วนต่างกำไรเพื่อพยุงเศรษฐกิจต่อเนื่องหลายปี ส่งผลให้ระบบธนาคารมีความสามารถทำกำไรลดลง และเสี่ยงต่อแรงกระแทกจากหนี้ด้อยคุณภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารจีนมีพื้นที่ในการปรับตัวจำกัดกว่าธนาคารในประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่ธนาคารตะวันตกสามารถพึ่งการกระจายรายได้และการลดต้นทุนเพื่อรักษาผลตอบแทน ธนาคารจีนกลับถูกให้ปฏิบัติตามมาตรการของรัฐ ทั้งการปล่อยกู้แก่ผู้กู้ที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ การลดค่าธรรมเนียมธุรกิจขนาดเล็ก และการบรรเทาภาระผู้บริโภคช่วงโควิด มาตรการเหล่านี้แม้จะช่วยรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่ได้บั่นทอนฐานกำไรโดยตรง
แรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นจากนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้พื้นฐานทั้ง 1 ปีและ 5 ปี ถูกปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) แคบลงอย่างต่อเนื่อง โดย S&P Global Ratings ประเมินว่า NIM ของจีนจะทรงตัวเพียง 1.27% ในปี 2027 ลดลงจาก 1.52% ในปี 2024
แม้กระนั้น ตั้งแต่ปี 2023 จนถึงเดือนมิถุนายน 2025 หุ้นธนาคารจีนยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางบวก สะท้อนแรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งผลักดันให้นักลงทุนจำนวนมาก รวมถึงบริษัทประกัน หันมามองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในหุ้นธนาคารซึ่งถูกมองว่ามีความมั่นคงและให้เงินปันผลสม่ำเสมอ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปี ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.64% ในเดือนมิถุนายน จากระดับ 2.64% เมื่อเดือนมิถุนายน 2023 ขณะเดียวกัน ธนาคารจีนยังสอดรับนโยบายรัฐที่ผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มการจ่ายเงินปันผล โดยธนาคารพาณิชย์รัฐวิสาหกิจรายใหญ่ 6 แห่งได้ริเริ่มจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ช่วงสามเดือนที่ผ่านมา หุ้นธนาคารจีนกลับสูญเสียความน่าสนใจ โดยเริ่มมีแรงขายทำกำไรเข้ามา ขณะที่ตลาดโดยรวมกลับฟื้นตัว หุ้นธนาคารที่เคยชนะตลาดในช่วงก่อนหน้า จึงกลายเป็นผู้ตาม โดยข้อมูลจาก CGSI ล่าสุดชี้ว่า กระแสเงินทุนเหล่าได้เปลี่ยนเป้าหมายไปยังหุ้นกลุ่มประกันแทน ส่งผลให้ในเดือนสิงหาคม ยอดซื้อสุทธิรายเดือนในหุ้นธนาคารจีนต่ำสุดนับตั้งแต่กันยายน 2024
นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มขายทำกำไรหลังได้ผลตอบแทนสูงในช่วงหลายปี และหันเงินลงทุนไปสู่กลุ่มเทคโนโลยี ยา และพลังงานใหม่ โดยเฉพาะหลังความสำเร็จของสตาร์ตอัพ AI จีน DeepSeek ที่เป็นข่าวใหญ่ก่อนหน้านี้ ทำให้นักลงทุนบางส่วนย้ายเงินออกจากหุ้นธนาคารไปสู่กลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตดีกว่า พิจารณาได้จากหุ้นกลุ่มธนาคารจีนที่เริ่มเผชิญกับแรงกดดัน โดยดัชนี FTSE China Bank ได้ปรับตัวลงแล้วกว่า 8% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี Hang Seng Tech กลับปรับตัวขึ้น 7% ในช่วงเวลาเดียวกัน
Implication: สำหรับนักลงทุน แนวโน้มดังกล่าวอยู่ในทิศทางเดียวกับมุมมองที่เราได้แนะนำในช่วงที่ผ่านมา ว่าการให้น้ำหนักกับหุ้นเทคโนโลยีจีนอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่ากลุ่มธุรกิจดั้งเดิม เนื่องจากมีโอกาสเติบโตที่ชัดเจนกว่าและความเสี่ยงด้านงบดุลที่น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่า Momentum Tracker ของตลาดหุ้นจีนปรับขึ้นแรงจนเข้าสู่ภาวะ overbought แล้ว การรอจังหวะให้ราคาปรับฐานก่อนทยอยสะสม อาจช่วยลดความเสี่ยงระยะสั้นและเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุนได้มากกว่า
ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตาม
วันอังคาร — จีน: รายงานดัชนี NBS Manufacturing PMI เดือนกันยายน ตลาดคาดอยู่ที่ 49.6 จาก 49.4 ในเดือนก่อน แม้ปรับขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่ในโซนหดตัว ส่วนสหรัฐฯ: รายงาน JOLTs Job Openings เดือนสิงหาคม ตลาดคาดว่าจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 7.1 ล้านตำแหน่ง จาก 7.18 ล้านตำแหน่งในช่วงก่อนหน้า
วันพุธ — สหรัฐฯ: รายงาน ISM Manufacturing PMI เดือนกันยายน ตลาดคาดอยู่ที่ 49.2 จาก 48.7 ในเดือนก่อน
วันศุกร์ — สหรัฐฯ: ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร Nonfarm Payrolls เดือนกันยายน ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 39,000 ตำแหน่ง ฟื้นตัวจาก 22,000 ตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า ขณะที่อัตราการว่างงานคาดว่าจะทรงตัวที่ 4.3%
แนวโน้มราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มแสดงความผันผวน โดยแรงกดดันกระจายตัวทั้งในดัชนี S&P500, Nasdaq100 และ Russell2000 สอดคล้องกับสัญญาณเชิงลบจาก sentiment tracking indicator หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น McClellan Volume Summation Index ที่ลดลง 56 จุดภายในสัปดาห์เดียว หรือ Put to Call Ratio ที่ปรับขึ้นจาก 0.57 เป็น 0.63 ตอกย้ำบรรยากาศการลงทุนที่ระมัดระวังมากขึ้น ขณะเดียวกัน Momentum Tracker ยังชี้ว่าทั้ง S&P500 และ Nasdaq100 อยู่ในภาวะ overbought ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อแรงขายทำกำไรระยะสั้น
สำหรับแนวโน้มสัปดาห์นี้ เราคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวนใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อน จึงแนะนำกลยุทธ์ทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อาจขยับขึ้นได้อีกเล็กน้อย แต่คาดว่าจะเผชิญแรงซื้อคืนเมื่อเข้าใกล้ระดับแนวต้านสำคัญบริเวณ 4.22% ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน ปัจจัยสนับสนุนน่าจะมาจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองว่า yield พันธบัตรอายุ 10 ปี มีแนวโน้มอ่อนตัวลงไปทดสอบแนวรับสำคัญที่ระดับ 3.9% ภายในไตรมาส 4/2025 จากแรงซื้อคืนที่ทยอยกลับเข้ามาในตลาด
ราคาทองคำ (gold spot) ยังมีโอกาสขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 3,840 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระยะสั้น โดยได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงในหลายภูมิภาค อย่างไรก็ดี เมื่อราคาขยับเข้าใกล้แนวต้านข้างต้น นักลงทุนควรระมัดระวังแรงขายทำกำไร เนื่องจากภาวะตึงตัวทางเทคนิคที่เริ่มชัดเจนขึ้น ประกอบกับสัญญาณจากฝั่งเทรดเดอร์ที่สะท้อนความระมัดระวัง โดยสถานะ net long ในตลาดฟิวเจอร์สของสหรัฐฯ ลดลงสู่ 158,616 สัญญาในสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 160,473 สัญญาในช่วงก่อนหน้า
จากสัญญาณดังกล่าว เราแนะนำให้นักลงทุนระยะยาวรอจังหวะการอ่อนตัวของราคาก่อนทยอยสะสม ขณะที่นักเก็งกำไรระยะสั้นสามารถใช้แรงดีดตัวใกล้แนวต้านเป็นโอกาสขายทำกำไร แล้วค่อยหาจังหวะเข้าใหม่เมื่อราคาปรับฐานลงมา
ข้อจำกัดของรัสเซียต่อการส่งออกเชื้อเพลิง ซึ่งรวมถึงการห้ามส่งออกน้ำมันเบนซินโดยสมบูรณ์ และการจำกัดการส่งออกดีเซลบางส่วน ได้ผลักดันให้ราคาสัญญาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านสำคัญบริเวณ 72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันยังคงเผชิญความเสี่ยงจากสองปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) ตลาดกำลังจับตาอิรักในฐานะตัวแปรชี้นำราคา โดยมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาส่งออกน้ำมันผ่านตุรกี ซึ่งจะช่วยเพิ่มอุปทานให้กับภูมิภาคยุโรป และ 2) ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ซึ่งมีแนวโน้มกดดันความต้องการใช้น้ำมันในระยะถัดไป
แรงกดดันเหล่านี้สะท้อนชัดในข้อมูลตลาดฟิวเจอร์ส โดยอัตราส่วน Long-to-Short ของนักลงทุนอยู่เพียง 1.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวตั้งแต่ปี 2006 ที่ระดับ 5.5 เท่า บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นที่เปราะบางและความระมัดระวังของเทรดเดอร์ต่อทิศทางราคาน้ำมันในระยะสั้น ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ เราประเมินว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มเคลื่อนไหวต่อไปในกรอบ 65–72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คล้ายกับพฤติกรรมราคาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
ดัชนี SET มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250–1,320 จุด เพื่อสร้างฐานต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้า และแม้ว่าในภาพรวมของ Momentum Tracker จะยังไม่บ่งชี้ถึงภาวะ Overbought เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI EM แต่ต้องยอมรับว่าหุ้นในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงตลอด 12 สัปดาห์ ที่ผ่านมา นำโดยกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (+40.3%), ขนส่ง (+27.7%), การเงิน (+25.0%) และวัสดุก่อสร้าง (+22.8%) ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยจำเป็นต้องใช้เวลาในการพักฐาน เพื่อลดความร้อนแรงและสร้างเสถียรภาพสำหรับการปรับตัวขึ้นในระยะถัดไป
Quant Focus List (สัปดาห์นี้):
Commerce: COM7, CPALL, CPAXT, ICHI, ADVICE
SYNEX
สรุปภาพตลาดวานนี้
ศุกร์ที่แล้ว SET โดนเทในโค้งท้ายๆ โดยแรงขายของ DELTA เป็นหลัก ตามมาด้วย AOT GULF ส่วนหุ้นบวก OR PTT CPAXT และบวกแรงจากมีปัจจัยเฉพาะตัว เช่น TEAMG AS ITC
แนวโน้มตลาดวันนี้
Sideways up
ตลาดหุ้นสัปดาห์ที่แล้วน่าจะเสร็จสิ้นการปรับฐาน หลังจากย่อลงมาที่ 1270 จุด บวกลบ และรีบาวด์กลับมาได้สำเร็จ จากแรงซื้อหุ้นพลังงาน ปิโตรเคมี โรงกลั่น ส่วนกลุ่มที่เล่นแย่กว่าตลาด ได้แก่ ICT เกษตรอาหาร รพ. เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้คาด Sideways up ในกรอบ 1280/1270 แนวต้าน 1300/1310 จุด โดยมีปัจจัยหนุนบรรยากาศลงทุน จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทยที่ทำได้ทันที เช่น คนละครึ่งพลัส, วางแผนโรดโชว์หุ้นและประเทศไทย เพื่อดึงดูดเม็ดเงานต่างชาติได้ตรงจุด ส่วนปัจจัยลบคาดเริ่มคลี่คลาย เช่น ค่าเงินบาทที่กลับมามีเสถียรภาพ, เศรษฐกิจสหรัฐหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย หลังรายงาน GDP 2Q25 ขยายตัว 3.8% ดีกว่าที่ตลาดคาด
ส่วนประเด็นการลงทุนระยะสั้น เรายังคงโฟกัสไปที่
1) หุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์หลังบาทเริ่มกลับมาทรงตัวอ่อนค่า เราแนะนำ หุ้นท่องเที่ยว AOT โรงแรม ส่งออก และหุ้นสินค้าอุปโภคบริโภค
2) หุ้นรับนโยบายรัฐบาลอนุทิน เช่น คนละครึ่งพลัส OSP ICHI CBG CPAXT, เงินกู้ฉุกเฉิน, มาตรการสนับสนุนตลาดหุ้นไทย, โซลาร์ติดบ้าน WHAUP
3) ความคืบหน้าโครงการส่งตัวผู้ป่วยคูเวตมารักษาที่ รพ.ไทย BH, หุ้นเชื่อมโยงราคาพลังงาน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ที่เล่นสอดรับกับทิศทางราคาพลังงานตลาดโลก PTTEP PTTGC TOP SCGP IVL
ซึ่งดูจากรายชื่อหุ้นทั้งหมดที่เชื่อมโยงเราได้จัดไว้ในพอร์ตลงทุนตาม มุมมองกลยุทธ์ไว้ครอบคลุมแล้วในทุกประเด็น
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้-สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อลงมาตามแนวรับ เน้นไปที่หุ้นผลตอบแทนเงินปันผลสูง, หุ้นที่มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไร และ เพิ่มการเล่นหุ้นตามกระแสการเก็งกำไร
วิเคราะห์ทางเทคนิค
SET Index นับถอยหลังอีกเพียง 2 วันจะจบเดือนก.ย. ดังนั้นเราจะมาวิเคราะห์ภาพรายเดือนกันก่อนครับ จากกราฟด้านบน 1 แท่งเทียน = 1 เดือน โอกาสสูงมากๆ ที่ดัชนีจะปิดบวก ลุ้นปิดสวย ปิด high หรือหากปิดสูงกว่า 1,270 จุด จะส่งผลให้กราฟ month call “Bullish Engulfing” ขณะที่ price pattern แสดงจุดกลับตัว “Double bottom” จุดต่ำสุดผ่านพ้นไปแล้ว…จับตา MACD cross ตัดขึ้นในกราฟรายเดือน เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่มีความแม่นยำเลยทีเดียว สำหรับแนวต้านจะมีดังนี้ 1. ด่านแรก 1,300 จุด (เดิมเคยเป็นแนวรับ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นต้าน) 2.ต้านถัดไป 1330 จุด (EMA 25&200) เคยให้ไว้เป็นเป้าหมายการขึ้นในรอบบี้ กรณี “bull case” มองได้ถึง 1,400 จุด แนวรับ 1,250-1,270 จุด หากดัชนีย่อใกล้ๆแนวรับ แนะช้อนซื้อครับ
ไฮไลท์หุ้น: PTTEP จับตา Price pattern ขาขึ้นรอบใหม่!/ ICHI ทะลุ EMA 200…. วิ่งฉิว ตามแผน /CPAXT จ่อทะลุ EMA 200 (ขาขึ้นยังไม่จบง่ายๆ)/ COM7 “Bullish Flag”/ KCE เสี่ยงขาลง….Signal alert!
What to watch
สหรัฐรายงาน GDP 2Q25 ครั้งที่3 ขยายตัว 3.8% สูงกว่าครั้งแรก และครั้งสอง ที่ 3% และ 3.3% ตามลำดับ และพลิกบวกแรงหลังหดตัวใน 1Q25 -0.5% q-q สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯผ่านพ้นแรงกดดัน เศรษฐกิจถดถอย
17 โบรกเกอร์ ยื่น กลต. ปิดช่องโหว่เกณฑ์ขายชอร์ต เพื่อแก้ปัญหา Naked short
นายกอนุทินแถลงนโยบายต่อสภาวันนี้
ดัชนี ISM ภาคผลิตสหรัฐ เริ่มฟื้นตัว จาก 48.7 เป็น 49.2
หุ้นแนะนำวันนี้
AOT นอกจากปัจจัยฤดูกาล เราคาดว่าจะเห็นกระแสการทยอยปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรจากการปรับเพิ่มค่าภาษีสนามบิน คาดเริ่มเฟสแรกต้นปีหน้า
แนวรับ 39 ต้าน 42 Stop loss 37.5
รายงานพื้นฐานวันนี้
Tactical Idea
Blue Policy—Quick Wins, Big Moves
เราได้หาหุ้นที่ได้รับอานิสงค์เชิงบวกที่ต่อเนื่องจากการแถลงนโยบายวันนี้ ที่จะนำไปสู่ Action Plan
ด้านเศรษฐกิจ เน้นการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายให้กับประชาชน นโยบายที่ชัดคือ โครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งจะหนุนผู้บริโภคและค้าปลีก เช่น CPAXT, CPALL, BJC และ ICHI ขณะเดียวกัน มาตรการลดค่าครองชีพ อาจมีเซอร์ไพรส์เพิ่มเติม เช่น ค่าทางด่วน ซึ่งจะหนุน BEM รวมถึงตู้กดน้ำดื่มสะอาด ที่เป็นธีมเล็กแต่จับต้องได้ หนุน FORTH ส่วนการส่งเสริมโซลาร์ในครัวเรือนและเกษตร จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ GUNKUL รวมถึงการแก้หนี้รายบุคคลและเกษตรกรที่หนุนกลุ่มการเงินรายย่อย เช่น NCAP, JMT ด้านการท่องเที่ยวก็ยังเป็นหัวใจสำคัญ ทั้งการฟื้นความเชื่อมั่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติยาวนาน หุ้นที่จะได้ประโยชน์ตรงคือ AOT, BA, THAI, AAV, CENTEL และ SPA
ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รัฐบาลยกระดับเทคโนโลยีและกฎหมายใหม่ เช่น การปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์และยกโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลสู่ยุค AI หนุนหุ้นเทคโนโลยีอย่าง DITTO, BBIK, BE8, AIT, TKC, SKY ขณะเดียวกัน การเร่งติดตั้งระบบเตือนภัยและบริหารจัดการน้ำก็ยังเป็นธีมโครงสร้างพื้นฐานใหม่รวมไปถึงการจัดตั้งตลาดคาร์บอนเครดิต หนุน DITTO และ TEAMG ต่อเนื่องกันจะผลักดันพลังงานสะอาด รวมถึง EV จะเป็นบวกต่อ EA, NEX และ FORTH ในด้านการศึกษาและสาธารณสุขผ่านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ยังโยงไปถึง THCOM และ ITEL และประเด็นการปฏิรูปกฎหมายที่เปิดทางลงทุนใหม่ๆ ก็นับว่าเอื้อให้กับนิคมและสนามบิน เช่น WHA, AMATA, AOT และ THAI
สรุปหุ้นแนะนำ 6 ตัวในสัปดาห์แห่งนโยบายนี้ ได้แก่ AOT CPAXT FORTH GUNKUL EA DITTO
IT Retail Sector
iPhone 17 จุดกระแสหุ้นค้าปลีกไอที
การเปิดตัว iPhone 17 ได้รับการตอบรับแรงเกินคาด (ทุกรุ่น ยกเว้น Air series) ขายหมดตั้งแต่เปิดตัว ทำให้ยอดขายกลุ่ม IT Retail ใน 2H25 พุ่งแรง
โดย iPhone 17 ทั้งรุ่น standard, Pro และ Pro Max ขายหมดทั้งช่องทางออนไลน์และร้านค้าปลีก โดยความแรงมาจากการอัปเกรดชิป A19, กล้องใหม่, จอ ProMotion 120Hz และราคาเปิดตัว/ความจุต่ำกว่ารุ่นก่อนราว 10–12% ทำให้ pre-order เกินความคาดหมาย COM7 และ SYNEX มียอดจองมากกว่ารุ่น 16 ราว 10% ส่วน ADVICE พุ่งถึง 2x YoY
สินค้า Apple คิดเป็น 50% ของยอดขาย COM7 (มากที่สุดใน coverage) เทียบกับ SYNEX 37% และ ADVICE 13% โดยประวัติการณ์ทุกการเปิดตัว iPhone COM7 ได้แรงหนุน QoQ เสมอ ขณะที่ SYNEX ได้บวก 7–8 ครั้งใน 11 รอบที่ผ่านมา
ยอดขายรวมกลุ่ม IT Retail ในช่วง ก.ค.–กลางก.ย. โต +9% YoY ใกล้เคียงสมมติฐาน โดย ADVICE โดดเด่นสุดที่ +16–18% จากการเพิ่มสาขาที่ขาย Apple, SYNEX โต +10–12%, COM7 โต +6–8% ขณะที่ SIS โตเพียง 0–2% กำไรหลักรวมทั้งกลุ่มคาด 1.31 พันล้านบาท (+14% YoY, -13% QoQ) โดย COM7 นำเด่น เราคาดกำไร 3Q25 ของ COM7 ที่ 868 ล้านบาท (+20% YoY) จากยอดขายที่สูงและ SG&A คุมได้ดี ขณะที่ SIS อ่อนแอสุด คาดจะหดตัว -7% YoY
Fundamental view: เราคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม IT Retail จากความต้องการ iPhone 17 ที่ร้อนแรงและ Windows 10 replacement cycle โดย COM7 เด่นสุดทั้งด้าน mix, margin และกำไรที่โตต่อเนื่อง ขณะที่ SYNEX และ ADVICE ได้อานิสงส์ตามมา แต่ SIS จะยังอ่อนแรงต่อเนื่อง ใน 2H25
ITC (Idea)
ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น
Tariff กลายมาช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการเติบโต
Idea call หุ้น ITC วันนี้ เราสรุปประเด็นสำคัญ 5 เรื่อง
1) สินค้าใหม่ (NPD) คือ กระดูดสันหลัง (backbone) ของการเติบโต: ยอดขายจากสินค้าใหม่ (NPD) ใน 1H25 อยู่ที่ 1.63 พันล้านบาท (+12% YoY) คิดเป็น 20% ของรายได้ ซึ่งเกินทั้งปี 2024 (1.39 พันล้านบาท หรือ 8%) แล้ว สะท้อนว่าการออกสินค้าใหม่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาษีและ FX ได้จริง
2) Premium mix จะฟื้นตัวกลับเหนือ 50% ในปี 2026: แม้ 1H25 premium mix ลดลงเหลือ 47.5% แต่ผู้บริหารย้ำว่าการออกสินค้าใหม่ เช่น premium cat drinks, semi-moist treats, pâté จะหนุน mix ฟื้นตัว และผลัก GM ให้นิ่งราว 24–25%
3) ตลาดโตต่อ ฐานลูกค้าขยายต่อเนื่อง: ตลาด pet food & treats ทั่วโลกปี 2025 ยังโต +3% YoY ITC ซึ่งซัพพลายให้ผู้เล่นระดับโลกกว่า 6% ของ global wet cat food chain จึงได้ประโยชน์โดยตรง การเติบโตของผู้เล่นใหญ่ 1–2% สามารถแปลงเป็น upside 3–5% ทั้งนี้ 1H25 ได้ลูกค้าใหม่ 26 รายในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย, 3Q25 เพิ่มอีก 2 รายในยุโรป และขยายจากแบรนด์ในสหรัฐฯ ทำให้ความเสี่ยงการพึ่งพาลูกค้าเดิมลดลง ขณะที่ private label ช่วยเพิ่ม volume โดยไม่กดดัน GM
4) Transformation program เป็น catalyst ระยะกลาง: ค่าใช้จ่าย SG&A จากการปรับโครงสร้างในปี 2025 ราว 440–500 ล้านบาทจะหมดไปหลังปี 2026 ส่งผลให้มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มตั้งแต่ 2027 เป็นต้นไป โดยคิดเป็น EPS เติบโตราว ~30% ในปี 2027 หรือ 2028 ที่ยังไม่ได้รวมในประมาณการปัจจุบัน
5) Valuation ยังไม่แพง + Upside จาก Mitsubishi: เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2026–28 ขึ้น 4–11% คาด EPS โต 11–12% ต่อปี (2026–27E) โดยประมาณการกำไรใหม่ PER 2026 คิดเป็นเพียง 14.4x เทียบกับ peer ธุรกิจ OEM ราว 20x และยังมี upside จาก synergy ที่อาจเกิดขึ้นจากพันธมิตรระหว่าง TU–Mitsubishi
สรุปประเด็นจาก Quick take
PTTGC
พีทีที โกลบอล เคมิคอล
ขายหุ้นสามัญในบริษัท Kuraray GC Advance Materials
PTTGC แจ้งการขายหุ้นสามัญสุดส่วน 20.1% ในบริษัท Kuraray GC Advance Materials จำกัด ให้กับบริษัท Kuraray Co., Ltd. (KRR) มูลค่าราว 800 ล้านบาท (คิดเป็น PBV ~ 1 เท่า) คาดว่าจะลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นในวันที่ 14 ต.ค. และโอนหุ้นแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. นี้ ภายหลังการโอนหุ้น PTTGC จะถือหุ้นเหลือ 13.3%, KRR 73.4%, และ Sumitomo Corporation 13.3%
View from fundamental: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อข่าวดังกล่าว เนื่องจากเราคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่องบการเงินของ PTTGC เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ (ราคาเป้าหมาย 28 บาท)
Technology
Implications จากการเปิดตัว "microfluidic" cooling ของ Microsoft
ช่วง 2-3 วันก่อน Microsoft ได้เปิดเผยถึงการพัฒนา in-chip microfluidics cooling โดยการให้ของเหลวผ่านร่องเล็กๆบนชิปได้โดยตรง ซึ่งการทดสอบในแล็บให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ cold plate ปัจจุบันถึง 3 เท่า และลดอุณหภูมิสูงสุดภายใน GPU ได้ถึง 65% ในบาง workload
Implications: หากเทคโนโลยีถูกพัฒนาและสามารถนำมาต่อยอดได้จริง อาจลดความต้องการบางส่วนของโมดูล thermal/cooling ภายนอก (cold plates, heat sinks, liquid cooling modules) กระทบ Sentiment ต่อ DELTA Taiwan เป็นหลัก สำหรับ DELTA (ไทย) ยังไม่ได้ทำส่วนนี้ แต่อยู่ในแผนงานนำสินค้าจากบริษัทแม่มาทำตลาดใน SEA อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีนี้ยังมีปัจจัยท้าทายจากทั้งการนำไปใช้จริง และการบำรุงรักษาในทางกลับกันระยะยาวหากอุปกรณ์ชิปแรงขึ้น ระบายความร้อนสูงขึ้น ความซับซ้อนของ power delivery จะเพิ่มตามมา DELTA อาจได้โอกาสใน power management / power conversion ที่ต้องรองรับชิปที่มีความต้องการพลังงานสูง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
นภนต์ ใจแสน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
ภูวดล ภูสอดเงิน, AISA นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน