Today’s NEWS FEED

News Feed

KTAM มองสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายถึงแม้ยังมีความชะลอตัว แนะลงทุนกระจายความเสี่ยง รับมือตลาดผันผวน

77


สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 29 กันยายน 2568)-----------นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกในปี 2568 นี้ว่า เศรษฐกิจและตลาดการเงินโลกปั่นป่วนรุนแรงในช่วงต้นปี 2568 จากการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าโดยสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ต่างๆ ก็เริ่มคลี่คลายลง หลังมีการบรรลุข้อตกลงและการประกาศอัตราภาษีที่ชัดเจนและไม่ได้สูงเหมือนครั้งแรกที่ประกาศ อีกทั้ง เศรษฐกิจต่างๆ ได้แรงส่งจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า (Front loading) ก่อนที่ภาษีจะมีผลบังคับใช้ทำให้ภาวะเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด จึงเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุนฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องโดยมีหลายดัชนีทำสถิติสูงสุดใหม่

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกในไตรมาส 3 ยังคงทะยานขึ้นต่อ ซึ่งโดยปกติแล้วสินทรัพย์เสี่ยงจะให้ผลตอบแทนไม่ดีนักในไตรมาส 3 แต่ในปีนี้ ดัชนี MSCI ACWI ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.2% QTD (ที่มา: Bloomberg, ข้อมูล ณ วันที่ 19 ก.ย. 2568) ท่ามกลางความหวังว่าFed จะลดดอกเบี้ยมากขึ้น และผลกระทบจากการขึ้นภาษียังไม่ชัดเจน โดยเรามองว่าเศรษฐกิจยังคงอาจจะชะลอลงในช่วงถัดไปจากหลาย ๆ ปัจจัย อาทิ การเร่งส่งออกล่วงหน้าแทนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่จะชะลอลง การที่ Fed มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยมากขึ้น รวมถึงยุโรปที่คาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายด้านกลาโหมที่สูงขึ้นก็ดูลดลงไป อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวนี้ก็จะไม่มีความรุนแรงจนทำให้เศรษฐกิจหดตัวลง

อีกทั้ง ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามซึ่งอาจมีผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะถัดไป ทั้งเรื่องการตัดสินของศาลสูงสุดในเรื่องอำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการจัดเก็บ Tariff, การส่งผ่านภาษี (Tariff Pass-Through) ไปยังผู้บริโภค, ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่สมดุลบนความเสี่ยงจากที่เห็นการลดลงของทั้งอุปสงค์และอุปทานแรงงาน, การตัดสินใจดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ และปัญหาการขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ รวมไปถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และด้วยนโยบายที่ไม่แน่นอนของสหรัฐฯ นี้ เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นการกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยมองว่าความโดดเด่นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงมีอยู่ แต่อาจกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นๆ ที่มีการเติบโตที่ชัดเจน

โดยการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ จึงแนะนำ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม ออล เอเชีย แปซิฟิก อิควิตี้ ฟันด์ (KT-AASIA) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ Fidelity Funds - Pacific Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักมีนโยบายการบริหารจัดการเชิงรุกแบบ High-conviction ซึ่งจะลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไม่จำกัดเพียงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย ประกอบกับกลยุทธ์การลงทุนแบบ All-cap ที่ผสมผสานหุ้นขนาดใหญ่ผู้นำตลาด เข้ากับหุ้นขนาดกลางและเล็กที่ยังไม่ได้รับการวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง จึงช่วยสร้างโอกาสการเติบโตที่หลากหลายและมีศักยภาพในการค้นหาหุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง

กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เทคโนโลยี อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์ อิควิตี้ ฟันด์ (KT-WTAI) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนใน Allianz Global Artificial Intelligence (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากวิวัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ ปัจจุบันพอร์ตกองทุนหลักประกอบด้วยหุ้นผู้นำเทคโนโลยี เช่น NVIDIA, Microsoft, Broadcom, Meta และ TSMC ที่เป็นศูนย์กลางของเมกะเทรนด์ AI ในปัจจุบัน (ที่มา: Factsheet ของกองทุนรวมหลัก ณ 31 ก.ค. 2568 ผู้จัดการกองทุนหลักอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ที่ลงทุนตามดุลยพินิจ) โดยลักษณะที่ทำให้กองทุนนี้โดดเด่น คือการไม่จำกัดการลงทุนเฉพาะ Cloud, Data Center หรือ Semiconductor เท่านั้น แต่ยังเปิดกว้างไปยังอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ AI มาสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการนำ AI มาปรับปรุงกระบวนการ วิเคราะห์ข้อมูล และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน สำหรับนักลงทุนระยะยาว กองทุนนี้จึงไม่ใช่เพียง "Pure tech play" แต่เป็นวิธีการลงทุนที่จับธีม AI ในเชิงโครงสร้างได้อย่างครอบคลุมและสมดุลมากกว่า

และ กองทุนเปิดเคแทม ยูเอส โกรท อิควิตี้ ฟันด์ (KT-US) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของ AB AMERICAN Growth Portfolio (กองทุนหลัก) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทสหรัฐฯ ที่จดทะเบียนหรือมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลในสหรัฐฯ ปัจจุบันพอร์ตกองทุนหลักลงทุนในหุ้น NVIDIA, Microsoft, Amazon และ Meta (ที่มา: Factsheet ของกองทุนรวมหลัก ณ 31 ก.ค. 2568 ผู้จัดการกองทุนหลักอาจมีการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ที่ลงทุนตามดุลยพินิจ) โดยกองทุนหลักมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ bottom-up เชิง high-conviction จึงสามารถสร้างสมดุลระหว่างการกระจายการลงทุนในภาคส่วนต่าง ๆ ของสหรัฐฯ และสร้างโอกาสจากหุ้นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพการเติบโตสูงได้

สำหรับตลาดหุ้นไทย ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ดัชนี SET ปรับลดลงโดยมาจากปัจจัยภายนอกเรื่องความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีของสหรัฐฯ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ไม่เป็นไปตามคาด และภาคการท่องเที่ยวที่ไม่ฟื้นตัว รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ เริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ ก.ค. ท่ามกลางความคาดหวังต่อการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่พร้อมกับความพยายามฟื้นความเชื่อมั่นด้วยทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งอาจจะเป็นแรงส่งที่สำคัญสำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มการลงทุนที่มีโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน มีความผันผวนระดับต่ำ มีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง รวมทั้งได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ จึงแนะนำ 2 กองทุน ได้แก่

กองทุนเปิดกรุงไทย สมาร์ท อิควิตี้ ฟันด์ (KTEF) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนีชี้วัด โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ NAV ในหุ้นที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจสูงและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment Grade) ตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) หลักทรัพย์ของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (Unlisted Securities) และตราสารหนี้ที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) นอกจากนี้ ด้วยนโยบายของกองทุนได้เปิดโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนทำการวิเคราะห์ คัดเลือก และปรับพอร์ตการลงทุนให้มีความสอดคล้องกับภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการบริหารกองทุนจึงมีความคล่องตัว เหมาะสมกับภาวะตลาด มีการปรับตัว Sideway Up ในสภาวะปัจจุบัน

และกองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นไฮดิวิเดนด์ (KT-HiDiv) (ความเสี่ยงระดับ 6) เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนใน SET ที่มีปัจจัยพื้นฐานผลการดำเนินงานที่ดี มีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดีสม่ำเสมอ และ/หรือมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลในอนาคต นอกจากนี้ กองทุน KT-HiDiv-D และ KT-HiDiv RMF ยังได้รับรางวัลกองทุนยอดเยี่ยมจาก Morningstar Awards for Investing Excellence ในกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดใหญ่มา 2 ปีติดต่อกัน คือ ปี 2567 และปี 2568

สำหรับตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ มองว่า หาก Fed ส่งสัญญาณที่ Dovish มากขึ้นหลังการประชุมก็จะส่งผลดีต่อสินทรัพย์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าของตลาดที่แพงมาก และการปรับขึ้นของหุ้นรายตัวกระจายในวงกว้างแต่อาจจะกว้างเกินไป รวมถึงกระแสเงินทุนเริ่มมีการไหลออกจากสหรัฐฯ และไหลออกจากหุ้น Growth สู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้น นอกจากนี้ เรายังเห็นโอกาสจากปัจจัยบวกที่ Fed จะกลับมาผ่อนคลายนโยบายดอกเบี้ยอีกครั้ง จึงแนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ บอนด์ ฟันด์ (KT-BOND) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนใน PIMCO Funds : Global Investors Series PLC - Global Bond Fund (กองทุนหลัก) โดยกองทุนหลักลงทุนอย่างน้อยสองในสามของสินทรัพย์ของกองทุน ด้วยการกระจายพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ในสกุลเงินหลักของโลกที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้

ส่วนตลาดตราสารหนี้ไทย จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยลงได้อีกในปีนี้และปีหน้า โดยคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยนโยบายอาจจะไปสิ้นสุดที่ 1% อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้ได้รับรู้การลดดอกเบี้ยของ กนง. ไปมากพอสมควรแล้ว จึงทำให้ตลาดอาจเผชิญกับแรงขายทำกำไรและเกิดความผันผวนขึ้นได้บ้างในระยะสั้น แต่สำหรับมุมมองระยะกลาง ตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจโดยเฉพาะหากกระแสคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ กนง. เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจอีก และสามารถถือครองได้จนช่วงสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงนี้ จึงแนะนำ 2 กองทุน ได้แก่

กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ระยะสั้นพลัส (KTSTPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก และ/หรือตราสารทางการเงินซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่สามารถลงทุนได้ โดยเฉลี่ยอายุตราสารไม่เกิน 1 ปี เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นเพื่อรอจังหวะลงทุนในสินทรัพย์อื่น และกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ พลัส (KTFIXPLUS) (ความเสี่ยงระดับ 4) เน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 50 ของ NAV ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายจัดการอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ในพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่นเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด

นอกจากนี้ สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง การลงทุนในกองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ก็อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งภายใต้สถานการณ์ความผันผวนในปัจจุบัน โดย บลจ.กรุงไทย แนะนำ กลุ่มกองทุน KTMUNG, KTMEE, KTSRI และ KTSUK (ความเสี่ยงระดับ 5) ซึ่งเน้นการลงทุนโดยการจัดสรรเงินลงทุนในหลายสินทรัพย์ทั่วโลก โดยลงทุนแบบ Fund of Funds ภายใต้บริษัทจัดการกองทุน และจะลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งไม่เกินร้อยละ 79 ของ NAV มีทั้งหมด 4 กองแบ่งตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ (ไม่ใช่ระดับความเสี่ยงตามผลประเมิน Suitability Test)

ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ทุกวันทำการได้ที่ บลจ.กรุงไทย โทร. 0-2686-6100 กด 9 หรือธนาคารกรุงไทยและผู้สนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (ถ้ามี) หรือศึกษารายละเอียดได้ที่ www.ktam.co.th สนใจเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade ได้ที่ https://bit.ly/KTSTSignIn

ปัจจัยความเสี่ยงของกองทุนที่สำคัญ : ความเสี่ยงทางตลาด ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของหลักทรัพย์ ความเสี่ยงจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงในเรื่องคู่สัญญาในการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยง ความเสี่ยงที่เกิดจากการย้ายการลงทุนไปกองทุนอื่น ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน และความเสี่ยงจากข้อจำกัดการนำเงินลงทุนกลับประเทศ

คำเตือน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / กองทุนมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (ยกเว้นกองทุน KTFIXPLUS, KTEF และ KT-HiDiv) ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงโดยดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุนหรือจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ / ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคุ่มือการลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษี และเสียเงินเพิ่ม

 

 

อณุภา ศิริรวง

: รายงาน/เรียบเรียง โทร 02-276-5976 อีเมล์: reporter@hooninside.com ที่มา: สำนักข่าวหุ้นอินไซด์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สามารถติดตามหน้าเพจของ หุ้นอินไซด์ เพื่อรับข่าวเด่นและประเด็นที่คุณไม่ควรพลาดได้ตามขั้นตอนนี้