สำนักข่าวหุ้นอินไซด์( 29 กันยายน 2568)----------บลจ. พรินซิเพิล เพิ่มทางเลือกลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เปิดตัวกองทุนเปิด "พรินซิเพิล มาเลเซียน ฟิกซ์ อินคัม อันเฮดจ์" (PRINCIPAL MYRFIUH) กองทุนแรกของประเทศไทยที่ลงทุนในตราสารหนี้มาเลเซีย หนึ่งในประเทศผู้นำเศรษฐกิจของอาเซียนที่มีอัตราเติบโตแข็งแกร่ง เน้นลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดีระดับ Investment Grade (Rating เฉลี่ย AAA ถึง AA1) ผ่านการลงทุนใน Principal Lifetime Bond เป็นกองทุนหลัก ชูจุดเด่นกระบวนการลงทุนและการวิเคราะห์ทุกมิติ ส่งผลให้ตราสารหนี้ที่ลงทุนไม่มีประวัติผิดนัดชำระหนี้ กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนย้อนหลังดี 1 ปีที่ 5.7% และเฉลี่ย 3 ปีที่ 5.4% ต่อปี กำหนดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกวันที่ 29 กันยายน – 10 ตุลาคม 2568
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวกองทุนเปิด "พรินซิเพิล มาเลเซียน ฟิกซ์ อินคัม อันเฮดจ์" หรือ Principal Malaysian Fixed Income Fund Unhedged (PRINCIPAL MYRFIUH) นับเป็นกองทุนแรกในไทยที่ลงทุนในตราสารหนี้มาเลเซีย ที่มีคุณภาพดีระดับ Investment Grade (Rating เฉลี่ย AAA ถึง AA1) เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ โดยมาเลเซียถือเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตแข็งแกร่ง พร้อมทั้งนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชัดเจนจากแผนพัฒนาแห่งชาติเพื่อบรรลุเป้าหมายจีดีพีเติบโต 4.5 – 5.5% ต่อปี เน้นขับเคลื่อนด้วยโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การลงทุนตามนโยบาย Malaysia Digital Economy Blueprint การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลแห่งอาเซียน โดยประกาศตั้งเป้าปี 2030 เป็นผู้นำการผลิตและศูนย์กลางการผลิตชิปของโลก เสริมการเติบโตด้วยการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกปี 2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศ 16.9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและสูงกว่าช่วงก่อน COVID-19 ขณะที่การบริโภคในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลังของปีนี้ จากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้รัฐบาลมาเลเซียได้ใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายและนโยบายการคลังที่มุ่งลดการขาดดุล ช่วยสนับสนุนเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ ส่งผลให้ราคาพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีปริมาณพันธบัตรออกใหม่ลดลง
ขณะที่อันดับเครดิต (Credit Rating) ของพันธบัตรรัฐบาลมาเลเซียอยู่ในระดับสูงที่ A3 จาก Moody's rating และ A- จาก S&P Global rating (ที่มา: Bloomberg ณ เดือนสิงหาคม 2568) สะท้อนถึงเสถียรภาพทางการคลังและเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือในระยะยาว ทั้งนี้หากพิจารณาจะพบว่าตราสารหนี้มาเลเซียให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ไทยประมาณ 2% ต่อปีเกือบทุกช่วงอายุ เช่น พันธบัตรรัฐบาลมาเลเซียอายุ 5 ปี ให้ผลตอบแทนจนถึงวันที่ครบกำหนด (YTM) 3.06% เทียบกับพันธบัตรรัฐบาลไทยอยู่ที่ 1.16% นอกจากนี้ ธนาคารกลางของมาเลเซียมีศักยภาพลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าเมื่อเทียบกับไทย ส่งผลให้ต่างชาติลงทุนในตราสารหนี้มาเลเซียเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายจุมพล กล่าวว่า กองทุนเปิดพรินซิเพิล มาเลเซียน ฟิกซ์ อินคัม อันเฮดจ์ (PRINCIPAL MYRFIUH) มีทุนจดทะเบียน 3,000 ล้านบาท (Greenshoe 15%) กำหนดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) วันที่ 29 กันยายน – 10 ตุลาคม 2568 สั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท โดยมีนโยบายลงทุนใน Principal Lifetime Bond เป็นกองทุนหลัก ซึ่งบริหารจัดการโดย Principal Asset Management Berhad โดยผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของกองทุนฯ ที่มีประสบการณ์สูง มีกระบวนการลงทุนที่แข็งแกร่งด้วยการวิเคราะห์แบบ Top down จากภาพรวมเศรษฐกิจสู่ปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ และแบบ Bottom up จากปัจจัยพื้นฐานของสินทรัพย์ไปสู่ภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงการวิเคราะห์ผู้ออกตราสารเชิงลึกโดยทีม Credit Analyst ของพรินซิเพิล ด้วยกระบวนการคัดกรองที่เข้มงวด การวิเคราะห์ครบทุกมิติ และติดตามสถานะอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนปี 2538 หรือตลอด 30 ปี ตราสารหนี้ที่เข้าลงทุนไม่เคยมีประวัติผิดนัดชำระหนี้ กองทุนนี้มีผลตอบแทนดี โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงสิงหาคมอยู่ที่ 4.3% และ 1 ปีที่ 5.7% ต่อปี และ 3 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 5.4% ต่อปี (ที่มา: Bloomberg ณ เดือนสิงหาคม 2025) นอกจากนี้ ได้รับการจัดอันดับผลตอบแทนอยู่ในควอร์ไทล์ 1 หรือ 2 หรือ 50% แรกของกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกันอย่างต่อเนื่องทุกช่วงเวลา
ขณะที่สถานะพอร์ตลงทุนของกองทุนหลักของกอง PRINCIPAL MYRFIUH ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2568 มีตราสารหนี้คุณภาพในพอร์ตรวม 60 ตราสาร อายุเฉลี่ย 4.41 ปี อันดับเครดิตของตราสารเฉลี่ย AAA ถึง AA1 และให้ผลตอบแทนจนถึงวันที่ครบกำหนด 3.79% ต่อปี โดยวางกลยุทธ์เน้นลงทุนตราสารคุณภาพกว่า 90% ซึ่งเป็นสัดส่วนพันธบัตรรัฐบาล 18.7% และตราสารหนี้ระดับ Investment Grade เฉลี่ย AAA ถึง AA1 สัดส่วน 71.7% พอร์ตลงทุนเน้นกลุ่มธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอและมั่นคงในระยะยาว เช่น กลุ่มบริโภคและท่องเที่ยว, สาธารณูปโภค, กลุ่มบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ได้รับประโยชน์จากโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ และสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ตัวอย่างบริษัทที่เข้าลงทุนในตราสารหนี้ อาทิ GENTING MALAYSIA ผู้นำในธุรกิจรีสอร์ทและความบันเทิงครบวงจรของมาเลเซีย โดยในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ฯลฯ
กองทุนฯ มีนโยบายเปิดรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินริงกิตและบาท ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากการประหยัดต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging Cost) ที่ 2-2.5% ต่อปี และจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นหากเงินบาทอ่อนค่าในอนาคต โดยจากสถิติเมื่อแปลงเป็นสกุลเงินบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับริงกิตมาเลเซียไม่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญโดยพบว่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินริงกิตเฉลี่ย -0.77% ต่อปี สำหรับในปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปีถึงมิถุนายน 2568 ค่าเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับริงกิตประมาณ 0.34% ซึ่งเป็นผลตอบแทนเชิงบวกให้กับกองทุน ทั้งนี้ Bloomberg Consensus คาดการณ์ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินริงกิตประมาณ 2.5% ณ สิ้นปี 2570 ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเช่นกัน
โอกาสสร้างผลตอบแทนเติบโต จากเศรษฐกิจมาเลเซียที่แข็งแกร่ง อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้มาเลเซียที่ยังอยู่ในระดับสูงกับกองทุนเปิดพรินซิเพิล มาเลเซียน ฟิกซ์ อินคัม อันเฮดจ์ (PRINCIPAL MYRFIUH) เปิดเสนอขายครั้งแรกช่วงระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 10 ตุลาคม 2568 ผู้สนใจติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. พรินซิเพิล ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ, ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์, ธนาคารทิสโก้, KPLUS application และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หรือ โทร. 02-686-9500 หรือ www.principal.th